“Torrayot” เรียนรู้ที่จะดำดิ่ง สู่ความตายที่เต็มไปด้วยความสุข ในแบบฉบับ “อู๋ The Yers”
ความทรงจำนับตั้งแต่ทีเซอร์แรกโปรเจกต์เดี่ยวของ อู๋-ยศทร บุญญธนาภิวัฒน์ ที่ปรากฏขึ้นก่อนที่คอนเสิร์ตครบรอบ 10 ปีวงดนตรี The Yers จะเริ่มต้นขึ้น ยังคงชัดเจน ยอมรับโดยสัตย์จริงว่าทีเซอร์กระชับฉับไวที่จับต้นชนปลายแทบไม่ทันนั้นทำให้เราใจเต้นตึกตัก คำว่า “Torrayot” คือสิ่งที่ตราตรึงที่สุดในค่ำคืนวันนั้น
ไล่เรียงมาดูซิงเกิลเปิดตัวอย่าง “รอยมืดดำ” ที่ทำเอาร้องอุทานขึ้นมาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ด้วยความหนักแน่น อึมครึม และแปลกแหวกแนวไปจากซาวด์อันคุ้นเคยจาก The Yers ซิงเกิลถัดๆ มาอย่าง “Beads”, “อย่างที่เธอต้องการ” และล่าสุด “สะกด” ก็เป็นเครื่องตอกย้ำได้เป็นอย่างดี ว่าชายผู้นี้กำลังนำเสนออะไรให้กับวงการ
Torrayot คือความไม่แยแสต่อกระแสหลัก คือตัวตนอีกฝั่งหนึ่งของฟรอนต์แมนวง The Yers และจากเพียง “ความรู้สึก” เจ็บปวดรวดร้าว ทรมาน และโศกเศร้า บัดนี้ อู๋ ยศทร กำลังจะจูงมือคนฟังไปสู่การเผชิญหน้ากับ “ความตาย” ในอัลบั้ม Facing Death by Now
FB - Torrayot
บทสัมภาษณ์ด้านล่างนี้คือการกะเทาะเปลือกและดำดิ่งไปสู่ความมืดมนในแบบฉบับ Torrayot โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน ปิดมือถือ และดื่มด่ำกับรสชาติแห่งความมืดหม่นให้เต็มที่กันไปเลย
ก่อนอื่นใด รู้สึกอย่างไรกับปรากฏการณ์ทุกฟอร์แมตของอัลบั้ม Facing Death by Now ถูกพรีออเดอร์หมดอย่างรวดเร็ว?
Torrayot: ก็ไม่ได้คิดไว้ครับ คือถ้าสังเกตดีๆ ฟีดแบ็กของโปรเจกต์ Torrayot มันต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาก แทบจะเป็นอันเดอร์กราวนด์อยู่แล้ว แม้กระทั่งแฟนเพลง The Yers เองก็ไม่ได้รับได้ทุกคน ที่เห็นได้ชัดที่สุดคือเราปล่อยวิดีโอไป ตอนนี้ยอดวิวเยอะที่สุดอยู่ที่ประมาณ 7 หมื่น นั่นคือเพลงแรก “รอยมืดดำ” เพลงล่าสุดอย่าง “สะกด” นี่ไม่ต้องสืบ ปล่อยในแชนเนลตัวเองด้วย คืนแรกนี่ปรี๊ดเลย ถล่มทลายที่สุดตั้งแต่เคยปล่อยมาคือ 400 วิว (หัวเราะ) ไม่เคยเห็นตัวเลขแบบนั้นมาก่อน คือเราก็คิดแล้วแหละว่าอัลบั้มเนี่ยจะเอาแค่ประมาณหนึ่งพอ เพราะกลุ่มเราไม่ได้เยอะ แต่พอได้รับฟีดแบ็กนี้ก็หาสาเหตุไม่ได้นะว่าเพราะอะไรวะมันถึงเป็นแบบนี้ ตั้งตัวไม่ทัน
จากที่คุณบอกว่าฟีดแบ็กของ Torrayot มันก็ไม่ได้หรูหราฟู่ฟ่า รู้สึกเฟลบ้างไหม?
ไม่เฟลครับ เพราะสิ่งที่เราอยากได้จากโปรเจกต์นี้คือการทดลองอยู่แล้ว เราอยากทดลองนู่นนี่เพื่อสร้างสรรค์อะไรให้กับวงการบ้าง เพราะเรารู้สึกว่า เราอยู่ในสถานะที่พูดอะไรหรือว่านำเสนออะไรแล้วคนเชื่ออยู่ประมาณหนึ่งแล้ว เรามีคนติดตาม มีแฟนเพลง ที่ชอบไลฟ์สไตล์เรา ชอบรสนิยมเรา เราเลยรู้สึกว่า เฮ้ย มันน่าจะดีเหมือนกันนะถ้าเราได้แสดงรสนิยมอีกฝึ่งหนึ่งของเราที่มันยังไม่ได้เป็นที่นิยมในคนไทยหรือในวงการมากนัก เราอยากจะให้มันมีซีนนี้อยู่บ้าง
เรียกได้ว่า อยู่ขั้วตรงข้ามกับดนตรีกระแสหลัก?
ใช่ แล้วเรารู้ตั้งแต่แรกว่ามันจะเป็นอย่างนี้ เราแจ้งไว้ในครั้งแรกที่เดบิวต์ในนาม Torrayot หลังจากคอนเสิร์ต 10 ปีของ The Yers แคปชั่นประมาณว่า ถ้าเกิดว่าคุณชอบ The Yers มากๆ คุณอาจจะเกลียด Torrayot ไปเลยก็ได้ คือเขาไม่ได้แสดงออกหรอกว่าเขาไม่ชอบ แต่เรารับรู้ได้เลว่าคนที่มีปฏิสัมพันธ์กับเราทางโซเชียลของ The Yers กลุ่มนี้หายไปเยอะมากนะ แล้วเราเป็นคนทำเพลงทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลัง เรารู้ว่าเพลงแบบนี้มันไม่ใช่เพลงสำหรับคนหมู่มากอยู่แล้ว ซึ่งจริงๆ เราพอใจกับฟีดแบ็กที่ได้รับนะ เพราะมันก็สามารถทำให้คนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งรู้สึกว่า มันมีคนในสายเมนสตรีมกล้าทำอะไรแบบนี้แล้วว่ะ นั่นแหละคือประสบความสำเร็จแล้ว
อีกประเด็นที่คุณโพสต์ชี้แจงในโซเชียลมีเดียแล้วก็คือ อัลบั้ม Facing Death by Now จะไม่มีให้ฟังในสตรีมมิง?
หลายคนมองว่านี่คือการตลาด ซึ่งเราไม่ได้คิดถึงการตลาดเลย เรื่องเดียวที่เราเราคิดถึงคือคุณค่าของการฟังเพลง แต่กลับกลายเป็นมีคนเข้าใจว่า โห... นี่คือกลยุทธ์ใหม่ของวงการเพลงไทย
มีคนคิดไปเบอร์นั้นเลยหรือ?
ใช่ครับ มีข้อความส่งผ่านอีกคนมาถึงเราว่า อู๋ทำอย่างนี้ได้ไงวะ ไวนิลค่ายเขา 500 แผ่น ทุกวันนี้ยังตั้งอยู่ที่ออฟฟิศอยู่เลย ความเข้าใจของเราคือ เราชอบแบบนี้ อยากให้มันมีคุณค่าแบบนี้ เรานำเสนอแบบนี้ เราไม่ได้มองว่า เฮ้ยกูนี่แหละจะมาเปลี่ยนวงการการฟังเพลงให้คนไม่ฟังสตรีมมิง ไม่ใช่เลย (หัวเราะ) เราแค่มองไปที่ตู้เก็บซีดี เราชอบเก็บ แล้วเวลาเรามีอัลบั้มที่ไม่มีในสตรีมมิง เรารู้สึกว่าโอ้โหมันมีคุณค่าจังเลย ทุกครั้งที่เราเปิดฟังมันมีความสุข ความสุขที่คนไม่ได้ครอบครองไม่มีทางรู้สึกได้ ซึ่งความรู้สึกนี้มันหายไปตั้งแต่สตรีมมิงเข้ามา เราก็เลยอยากให้ความรู้สึกนั้นกลับมาอีกครั้งกับแฟนเพลงของเรานี่แหละ สิ่งที่เราอยากจะบอกคือ มันไม่ใช่กลยุทธ์หรือวิธีการทำตลาดอะไรของเราเลย ซึ่งบางคนอาจจะเข้าใจผิด โอเค สตรีมมิงมันมีข้อดี เราไม่เคยปฏิเสธมัน แต่เรารู้สึกว่าสำหรับ Torrayot คนฟังน่าจะต้องการสมาธิมากๆ มันไม่ใช่เพลงสำหรับการฟังไปด้วยอาบน้ำไปด้วยแน่ๆ
อันนี้จริงมากๆ
ทุกวันนี้อยู่บนรถเราไม่ได้ฟังเลย หรือจะเปิดลั่นบ้านระหว่างการถูบ้านหรือกวาดบ้านไม่ได้ ก็เลยรู้สึกว่า เออถ้ามันเป็นอัลบั้มที่ต้องตั้งใจฟังแล้ว ก็ทำแค่ฟอร์แมต physical อย่างเดียว แล้วมันไม่จำเป็นจะต้องไปอยู่ในสตรีมมิงเพื่อเปิดฟังง่ายๆ นึกออกไหม ถ้าใครไม่ลองมันไม่รู้จริงๆ นะ เพลงมันจะอินได้คือมันต้องฟังโดยที่ไม่มีอะไรรบกวนเรา
รวมไปถึงการดูคอนเสิร์ตของ Torrayot ด้วยไหมที่ต้องตั้งใจฟังตั้งใจดู?
ใช่ เราไม่ได้ต้องการให้คนดูมาร้องเพลงพร้อมกัน เปิดแฟลชไลท์ โบกมือพร้อมกันอะไรแบบนั้น เราอยากให้เขามารับประสบการณ์ในโมเมนต์แห่งการเล่นสดนั้น ด้วยอารมณ์ที่นิ่งและมีสมาธิ เพราะฉะนั้นคุณไม่จำเป็นต้องร้องเพลงเป็นก็ได้ แต่ถ้าใครอยากจะร้องเป็นและอินกับมันมากๆ ก็กลับไปฟังที่บ้าน หรือจะซื้อวอร์คแมนหรือเครื่องเล่นเทปอะไรก็ตามแล้วก็ใส่หูฟังฟังคนเดียว
ฟังคุณพูดแล้วก็นึกไปถึงการใส่เทปเข้าเครื่องเล่นแล้วเปิดอ่านปกแบบจริงๆ เหมือนกันนะ?
ถูก แล้วเราเชื่อว่า 80% ของคนฟังสตรีมมิงคือฟังเพลย์ลิสต์ หรือเข้าไปฟังศิลปินคนหนึ่งแล้วเบื่อ แล้วก็เปลี่ยน เราไม่ได้อยากให้เพลงของเราไปอยู่ในหมวดนั้น เราพยายามจะให้วัฒนธรรมที่เราพูดถึงเมื่อสักครู่นี้กลับมาอีกครั้งให้ได้ เพราะเราเชื่อว่ามันยังมีคนที่รับรู้ได้ถึงไอ้ความสุขแบบนี้อยู่ ซึ่งเราก็เพิ่งจะรับรู้ได้ไม่นานมานี้ตอนที่เกิดโควิด-19 เราเริ่มรู้ละว่าเดี๋ยวไม่มีงานยาวๆ แน่ ก็เลยเซ็ตระบบไวนิลแบบจริงจังไว้ที่ห้องทำงานเล็ก ลองเอาแผ่นไวนิลที่เราซื้อตุนไว้มาเปิด นั่งฟัง โอ้โห... มาหมดเลย ฟังไปก็ยิ้มไป เพลงเก่า เพลงใหม่ โดยเฉพาะเพลงเก่าที่เรารู้สึกดีกับมัน นี่มันตัวกูเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้วเลย ที่กูไปร้านเทปแถวบ้าน ซื้อเทปกลับมานั่งดีใจ ฉีกปกออกมา อยู่กับมันเป็นชั่วโมง คือหลายๆ คนพูดแบบนั้น แต่ไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร อ่ะในเมื่อ Torrayot เป็นโปรเจกต์ทดลองแล้ว กูขอทดลองวัฒนธรรมนี้ให้กลับมาอีกทีหนึ่งได้ไหม
จากเสพติดความเจ็บปวด ความเหงา เศร้า ผิดหวัง หม่นหมองในรูปแบบของ The Yers มาสู่ Torrayot ที่คุณเลือกใช้ชื่ออัลบั้ม Facing Death by Now ที่แปลว่า การเผชิญหน้ากับความตาย?
เราว่ามันคือเรื่องเดียวกัน แต่ The Yers มันเป็นจุดที่นำเสนอได้มากกว่า และมีเรื่องราวที่เปอร์เซ็นต์มันเป็น universal มากกว่า Torrayot แล้วมันสามารถเข้าไปอยู่ในใจคนได้ง่ายกว่า ย่อยง่ายกว่า คือของ Torrayot เรื่องราวมันก็แทบจะช่วงเวลาเดียวกันกับตอนเราทำ The Yers นั่นแหละ แต่เราจะมีจุดที่... คือคนเรามันจะมีจุดดิ่งมากๆ แล้วนึกถึงเรื่องอะไรที่มันไม่ดีเอาซะเลย เราขุดไอ้ตรงนั้นมาเล่าใน Torrayot
มันอนุมานได้ไหมว่าคุณก็เคยเผชิญหน้าหรือนึกถึงเรื่องอะไรที่ไม่ดีเอาซะเลยอย่างที่คุณว่า?
เราเคยมีความคิดนั้นวาบหนึ่ง อันนี้ไม่เคยเล่าที่ไหนเลยนะ Sanook คือที่แรกเลย คือเราเป็นโรคปวดขา ปวดขาแบบไม่มีเหตุผล อยู่ดีๆ ก็ปวด มันเป็นเรื่องเล็กน้อยมากสำหรับใครบางคนนะ แต่เรากลับรู้สึกว่า เกิดมาให้ตัวเองทรมานเหรอ ทำไมจะต้องทนอยู่กับเรื่องอะไรแบบนี้ด้วยวะ แล้วพอเจอบ่อยๆ เข้า เหมือนบางวันเราตื่นขึ้นมาแล้วความคิดมันแย่มากๆ ต้องตบหน้าตัวเองแล้วพยายามนึกถึงสิ่งดีๆ หมอจิตวิทยาบอกเราเป็นโรค Adjustment Disorder ดิ่งด้วยตัวเอง และจัดการกลับมาได้ด้วยตัวเอง ไม่ถึงขั้นซึมเศร้า แต่มันเป็นก้าวแรก เป็นแขนงของโรคซึมเศร้า ซึ่งจะนำพาไปสู่การเป็นซึมเศร้าได้ถ้าไม่รู้จักจัดการมัน
การขุดลงไปให้ดิ่งกว่าการทำเพลงสำหรับ The Yers มันเป็นอย่างไร?
ง่ายๆ เลยอย่างเพลง “Facing Death by Now” หรือ “รอยมืดดำ” มันคือเพลง “พายุหมุน” เรื่องราวเดียวกันเลย ช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน แต่ “Facing Death by Now” มันคือบทสรุปหลังจากที่เจอเหตุการณ์ที่หนักหน่วงมาแล้ว ให้กำลังใจตัวเองแล้ว คืออัลบั้มชุดนี้มันส่วนตัวมากๆ น่ะ แล้วมันขุดลงไปลึกมากๆ เรื่องบางเรื่องไม่ต้องพูดก็ได้ แต่เราอยากจะพูด เพราะงานนี้เราไม่แคร์คนนอกแล้ว มันเป็น inside out อย่างเดียว ไม่ใช่ outside in
ช่วงเวลาที่คุณพบเจอเรื่องเลวร้าย แล้วดิ่งมากๆ แต่ละวันคุณก้าวข้ามผ่านมันไปด้วยวิธีไหน?
เราโชคดีครับที่ ณ โมเมนต์นั้นเราอยู่บ้านที่เรียกว่า บ้านใหญ่ มีครอบครัวใหญ่ เราเจออะไรหนักๆ เดินลงมาข้างล่างเราเจออาม่า อาแปะ พี่ชาย เราดันโชคดีที่อยู่ในครอบครัวที่อบอุ่น ที่สำคัญคือแฟนเรา เรามีอะไรจะคุยกับแฟนเรามากที่สุด เรื่องที่เอ็กซ์คลูซีฟมากๆ แม้กระทั่งพ่อแม่ก็ไม่บอกอะไรแบบนั้น เราโชคดีที่ดันเป็นคนที่มีความรักอยู่รอบตัว มันช่วยจัดการเรื่องบางเรื่องที่เราเก็บไว้ได้ แล้วโรค Adjustment Disorder มันสามารถคำนวณได้นะว่า เราอยู่เพื่อใคร เรามีชีวิตเพื่อใคร เกิดมาเพื่ออะไร
พื้นฐานดนตรีของ Torrayot คือร็อค แต่สิ่งที่เราสัมผัสได้เพิ่มเติมจาก The Yers คือเสียงแห่งความบิดเบี้ยวทั้งหลาย?
จริงๆ เราชอบเอฟเฟกต์กีตาร์มาตั้งแต่หลังจากทำอัลบั้มแรกของ The Yers เสร็จ ตอนทำอัลบั้ม Y คืออัดเพลงกันมั่วมาก เละเทะมาก (หัวเราะ) เราชอบ The Cure ก็ไปซื้อกีตาร์รุ่นที่ Robert Smith ใช้มาอัดทั้งที่เสียงไม่ได้เข้าเลย (หัวเราะ) แล้วผมก็เริ่มลงลึกเรื่องเอฟเฟกต์เรื่อยๆ แล้วก็มีความใฝ่ฝันว่าสักวันหนึ่งอยากทำบอร์ดเอฟเฟกต์ หรืออยากมีเอฟเฟกต์เก็บไว้เยอะๆ อยากให้เป็นก้อนเอฟเฟกต์ที่ราคาแพงและหายาก แต่เป้าหมายของบอร์ดเอฟเฟกต์นี้ก็คือ ไม่ให้ใครมาครหาว่า กูมีไว้โชว์ กูอยากจะมีไว้ และกูอยากจะทำเพลงด้วยเอฟเฟกต์นี้ด้วย เราเป็นคนไม่ค่อยชอบการมีอุปกรณ์ดนตรีแพงๆ ครอบครองไว้แล้วไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรกับมันเลย มาถึงอัลบั้มเดี่ยวของเราที่อยากจะโชว์วงจรของเราว่า เราสามารถทำอะไรกับมันได้บ้าง นั่นคือสีสัน คือเสียงประหลาดๆ ที่เกิดขึ้นใน Torrayot
แต่เสียงประหลาดๆ ที่เราได้ยินมันใช่มากเลยนะ
เสียงแตกที่เราใช้ใน Torrayot เป็นเสียงแตกจำพวกที่เรียกว่า Fuzz เสียงกีตาร์มันมีเสียง Clean แตกระดับแรกคือ Overdrive แตกระดับสองคือ Distortion แตกมากที่สุดคือ Fuzz ซึ่งเราไม่เข้าใจนะว่า ทำไมคนไทยถึงไม่นิยมใช้ Fuzz กันสักเท่าไหร่ อาจจะด้วยแนวเพลงด้วยมั้ง เรารู้สึกว่าคนไทยจะชอบอะไรที่มันฮิต หรือเขาบอกว่าดีก็เลยใช้กัน แต่เราดันเป็นพวกแอนตี้อะไรที่มันฮิตตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว (หัวเราะ) เราก็เลยเริ่มศึกษาพวกเอฟเฟกต์ที่เสียงบ้าๆ บอๆ เสียงเพี้ยน เสียงยิ่งเหี้ยเท่าไหร่ นั่นแหละสิ่งที่เราต้องการ มันคือความหลงใหลอีกอย่างในชีวิตเราเลย
รู้ได้อย่างไรว่าจะใช้เสียงเอฟเฟกต์นี้กับเพลงนี้ ท่อนนี้?
คือพอเราได้เอฟเฟกต์มาเยอะ เราก็มีตัวเลือก เสียงนี้มันเป็นอย่างนี้ว่ะ เป็นอย่างนั้นว่ะ แล้วเราก็มีห้องอัดเป็นของตัวเอง ก็ที่ทรยศสตูดิโอนี่แหละ เราก็สามารถทดลองไปได้เรื่อยๆ มีเวลาไม่จำกัด เฮ้ยก้อนนี้เหมาะกับท่อนนี้ว่ะ ลองบิดกับเล่นดู คือเอาเอฟเฟกต์ทั้งหมดมาวางกองกัน ต่อให้เรียบร้อย แล้วลองเล่นดู อันนี้ไม่ได้ ผ่านไป แต่มันจะมีบางก้อนที่เรามุ่งมั่นว่า เฮ้ยอัลบั้มนี้ต้องมีเสียงนี้ ก็มี แต่บางก้อนก็ซื้อมาทำอะไรก็ไม่รู้ ไม่ได้ใช้เลย อัดไปจนถึงแทร็คสุดท้าย เอ๊ะ ก้อนนี้ซื้อมาทำไมวะ (หัวเราะ) คือมันไม่เข้ากับอัลบั้มจริงๆ แต่เราชอบเสียงมันน่ะ คือเราคิดว่า มันจะไม่มีเลยเหรอวะคนที่ทำอัลบั้มๆ หนึ่งแล้วได้ใช้ศักยภาพของเอฟเฟกต์กีตาร์แพงๆ แปลกๆ หายากให้มันเต็มประสิทธิภาพจริงๆ
ในวันที่แฟนเพลงของ Torrayot มีซีดี เทปคาสเซตต์ หรือไวนิลอัลบั้ม Facing Death by Now อยู่ในมือ สิ่งที่คุณอยากให้พวกเขาได้รับจากสิ่งที่เขาถืออยู่หรือเปิดฟังอยู่คืออะไร?
เราอยากให้ลองเปิด airplane mode ไว้ แล้วปิด wifi ครับ (หัวเราะ) แค่นั้นเลย สิ่งที่เราอยากจะบอกมันอยู่ในนั้นหมดแล้ว ถ้ากด play เมื่อไหร่คือให้กดปิดมือถือเมื่อนั้น ใช้เวลาประมาณ 40 นาทีอยู่กับมัน แค่นั้นเลยที่ต้องการ (หัวเราะ)
ด้วยสังคมในตอนนี้ที่เต็มไปด้วยความโหดร้าย ความเน่าเฟะ ที่อาจจะส่งต่อไปสู่การเผชิญหน้ากับความตายสำหรับใครบางคน คุณคิดว่าสิ่งแย่ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมมันจะดีขึ้นไหมในอนาคต?
เรารู้สึกว่า ไม่ว่าจะตอนนี้ อดีต หรืออนาคต เราว่ามันมีทั้งเรื่องดีและไม่ดีเกิดขึ้นรอบตัวเราตลอดเวลา ให้มองมันเป็นบททดสอบของชีวิต ถ้าเราผ่านมันไปได้คือเราชนะมันแล้ว ไม่ต้องไปกังวลว่าจะอยู่กับมันไม่ได้ อย่างเพลง “Facing Death by Now” ชื่อมันอาจจะดูแรง แต่เนื้อเพลงมันบอกว่า ความทรงจำไม่ดีมันทำร้ายเราตลอดเวลา แต่ตราบใดที่เรายิ้มได้ ยังเดินได้ ไอ้สิ่งเลวร้ายพวกเนี้มันทำอะไรเราไม่ได้หรอก ณ ตอนนี้กูอยู่กับความตายแล้ว ผลลัพธ์คือไม่มีอะไรเลย
และท้ายที่สุดทุกคนก็ต้องตาย?
ใช่ แล้วพอถ้าเรารู้ได้แล้วว่าชีวิตนี้เราต้องตาย ถ้าเราเตรียมใจไว้แล้วว่า เดี๋ยววันหนึ่งครอบครัวเราทุกคนก็ต้องตาย เพื่อนที่เรารักที่สุดก็ต้องตาย คนที่เรารักทุกคนบนโลกนี้ต้องตายหมด เราจะแฮปปี้มาก เราจะเข้าใจได้ว่า มันเป็นแค่ส่วนหนึ่งในชีวิต ก็ถ้ายังไม่รู้ว่ามันจะมาวันไหนก็รีบทำเรื่องดีๆ ให้แก่กันดีกว่า
คำว่า “ทรยศ” ได้มอบอะไรให้กับชีวิตคุณบ้าง?
มันทำให้ผมได้เรียนรู้ว่า ผู้ใหญ่ไม่ค่อยชอบครับ (หัวเราะ) เวลาผู้ใหญ่ได้ยินคำนี้เขาจะไม่ชอบ ตั้งแต่ชื่อสตูดิโอแล้ว ในทางกลับกัน มันสอนเรามากๆ เลยก็คือ อย่าไปฟังคนอื่น ฟังตัวเองดีกว่า เราชอบคำว่า ทรยศ เพราะว่ามันดูประชดประชันในแบบเราดี แล้วก็ดูไม่ได้ทำร้ายใครดี ยกเว้นตัวเราเองนะ (หัวเราะ) คนทักมาเยอะครับ ทั้งชื่อ ทรยศสตูดิโอ ทั้งชื่อโปรเจกต์ Torrayot ว่ามันจะดีเหรอ คือเราก็เหมือนเดิม เราเป็นอย่างไรเราก็เป็นแบบเดิม จงเชื่อในอีโก้ตัวเองที่ไม่ได้ไปทำร้ายใครครับ
แล้วคำว่า “ความตาย” ล่ะ?
ความตายคือความสุขครับ เรามองว่าอย่างนั้นนะ ความตายคือที่สุดของมนุษย์แล้ว สำหรับชีวิตมนุษย์ ความตายที่การที่หมดทุกข์หมดโศกแล้ว หมดการทดสอบทุกอย่างในชีวิตแล้ว ไม่ต้องกลัวเลย
อัลบั้มภาพ 31 ภาพ