คุยแบบโลกไม่สวยกับ “BrandNew Sunset” เรื่องการตั้งคำถามใน “ความไม่รู้” ผ่านอัลบั้ม “The Machiner”
คงไม่มีใครปฏิเสธความหนักแน่นในแนวทางเมทัลของวงดนตรี BrandNew Sunset ที่ดูจะเข้มข้นเรื่อยๆ ตามกาลเวลา เกือบ 2 ทศวรรษที่ 5 สมาชิกอย่าง ตูน-ศุภลักษณ์ โตวัชระกุล (ร้องนำ), ชาย-สุชาย ชูเชิด (กีตาร์), เติร์ก-วรุตม์ หุนตระกูล (กลอง), ก้อง-ธนัช คงเกรียงไกร (กีตาร์) และ ยุทธ-กานต์ณัฐ พหลกุล (เบส) ยืนหยัดในสิ่งที่พวกเขาหลงใหลมาตลอด จนกระทั่งการเดินทางมาถึงอัลบั้มชุดล่าสุดที่ใช้ชื่อว่า The Machiner
บทสนทนาระหว่าง Sanook Music และ BrandNew Sunset ในหนนี้ดูจริงจังและซีเรียสกว่าครั้งไหนๆ อาจจะเป็นเพราะเรื่องราวที่พวกเขาหยิบมาเล่าในอัลบั้ม The Machiner นั้นคือการตั้งคำถามกับชีวิต กับบางอย่างที่หาที่มาที่ไปไม่ได้ และแน่นอนว่าอาจจะยังไร้ซึ่งคำอธิบาย ผ่านท่วงทำนองในแบบฉบับของวงที่ยังคงดุดันเหมือนเคย ซิงเกิลที่ปล่อยออกมาอย่าง “The Machiner”, “Headspin” และ “The Sun That Never Came” คือคำยืนยันที่ทำให้เหล่าสาวกยังสุดเหวี่ยงกับสิ่งที่ได้ยิน
อาจจะด้วยอายุอานามที่มากขึ้น ทำให้การให้กำลังใจที่ซ่อนอยู่ในบทเพลงส่วนใหญ่ของ BrandNew Sunset แปรเปลี่ยนไปสู่การมองโลกให้ “จริง” มากยิ่งขึ้น ซึ่ง ตูน-ชาย-ก้อง ขอเป็นตัวแทนมาเล่าสิ่งที่เป็นนามธรรมในอัลบั้ม The Machiner ให้กระจ่างชัด แล้วหลังจากฟังครบทุกแทร็ค คุณจะคิดหรือตีความเช่นไร ทางวงก็เปิดโอกาสให้คุณแสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่
ก่อนจะถามถึงอัลบั้มชุดใหม่ของ BrandNew Sunset เราอยากทราบว่า อัลบั้ม Of Space and Time ได้มอบอะไรให้กับพวกคุณบ้าง?
ตูน : เหมือน Of Space and Time ทำให้เราเดินทางมาถึงจุดคลี่คลายของอัลบั้มที่ทำมาทั้งหมด พวกเราคิดกันว่าต้องเดินทางมาอีกที่หนึ่งแล้ว ที่ซึ่งไม่ใช่ที่เดิมที่พวกเราเคยอยู่ จากที่ BrandNew Sunset ก็ชัดเจนกับแนวทางอยู่แล้ว อัลบั้ม Of Space and Time คือการตอกตะปูย้ำเข้าไปอีกว่า เราแน่วแน่ที่จะออกมาจากที่เดิมๆ
ชาย : พูดถึงด้านโปรดักชั่น ผมว่า Of Space and Time พวกเราพยายามคิดให้ง่ายขึ้น แต่ก่อนเวลาเราทำอัลบั้มมันจะเป็นเรื่องใหญ่ ต้องเตรียมการเยอะ แต่เหมือน Of Space and Time ทำให้เราผ่อนคลายมากขึ้น ใช้สมองมากกว่าใช้แรง จนต่อยอดมาถึงอัลบั้มใหม่นี้ คือวิธีการทำงานง่ายขึ้น แต่เราจะละเอียดตรงกระบวนการการแต่งเพลงก่อนที่จะไปอัดจริง
ก้อง : เรียกได้ว่า Of Space and Time เป็นบทสรุปของ BrandNew Sunset ในพาร์ตๆ หนึ่งตลอดกว่า 10 ปีที่ผ่านมาครับ ตั้งแต่อัลบั้มแรกจนมาถึงอัลบั้มที่ 4 เรารวมทุกอย่างที่เรารู้สึกว่ามันใช่ มันดีไว้ใน Of Space and Time แล้วเราก็เดินทางต่อมาถึงชุดนี้
การก้าวออกมาจากที่เดิมๆ มันยากหรือง่ายสำหรับพวกคุณ?
ตูน : มันไม่ยาก แต่มันท้าทายว่า เรายอมรับตรงนี้แล้วว่าเราต้องการไปอีกที่หนึ่ง แต่แฟนเพลงที่เขารู้จักเราตั้งแต่ต้นมา เขาก็ต้องก้าวออกมาจากจุดนั้นถ้าเขาเชื่อมั่นในพวกเรา แล้วเราก็นำเสนอในสิ่งที่อยากไปเขาไปสู่สิ่งใหม่ๆ ด้วย นอกจากนั้นอัลบั้ม Of Space and Time เป็นอัลบั้มที่ก้องเข้ามาเป็นสมาชิก และเป็นเวทีของก้องเหมือนกันที่ได้พิสูจน์ว่า ก้องตั้งใจเข้ามาและขับเคลื่อน BrandNew Sunset ต่อไป
ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป BrandNew Sunset ต้องปรับตัวมากไหมในวันที่โลกขับเคลื่อนด้วยโซเชียลมีเดีย?
ก้อง : ปรับเยอะครับ พวกเราเติบโตมากับอีกเจเนอเรชั่นหนึ่ง แต่บางทีเราจะแก้ปัญหาโดยการเลี่ยง อันไหนเราไม่รู้มาก เราก็จะไม่ลงไปทำเองหมด ก็ให้เจเนอเรชั่นใหม่ที่เขามีความรู้หรือมีพื้นฐานทางสื่อที่เกิดขึ้นมาใหม่เข้าไปทำแทนพวกเราจะดีกว่า แต่เราก็เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดนะ
ชาย : จำได้ว่าตอนอัลบั้ม Welcome Home ยังเป็น Hi5 อยู่เลย พอ Of Space and Time ปรับมาเป็นเฟซบุ๊กแล้ว อัลบั้มใหม่นี่พวกเราเพิ่งมีอินสตาแกรม (หัวเราะ)
เคยมีช่วงเวลาไหนบ้างไหมที่อยากเลิกทำวง?
ตูน : ไม่มีนะ มันอาจจะเป็นช่วงเวลาที่ต้องแก้ปัญหาอย่างไรที่จะได้ทำเพลงต่อไปมากกว่า พวกเรามีเรื่องงานประจำที่ต้องวางแผนให้เป๊ะอะไรแบบนี้ด้วย ต้องแบ่งเวลา คือมันอยู่ในดีเอ็นเอของพวกเรา มันเลิกไม่ได้หรอก คือถ้าจะไปถึงจุดที่บอกว่าเลิก พวกเราใช้คำว่าพักแทน
ก้อง : ผมมองว่าเราโชคดีด้วยซ้ำที่ยังได้เล่นดนตรีอยู่ ทั้งที่จริงๆ แล้วเพื่อนๆ ที่รู้จักกัน ที่เล่นดนตรีมาพร้อมๆ กันก็เลิกกันไปเกือบหมดแล้ว ยิ่งอายุจะ 40 กันแล้วด้วย ผมมองว่าถ้าเราไม่ได้เล่นดนตรี คล้ายๆ ว่าชีวิตมันขับเคลื่อนไม่ได้ เพราะว่าเราชอบตรงนี้ที่สุด
ชาย : อาจจะเป็นเพราะวิธีการทำงานของ BrandNew Sunset ด้วย สมมติทัวร์ 2 ปี พอเริ่มทำอัลบั้ม เราหยุดรับงานเลยนะ เพื่อที่จะเขียนเพลงอย่างเดียว พอทำอัลบั้มเสร็จ เราก็จะไม่โฟกัสเรื่องการเขียนเพลงแล้ว ไปทัวร์ ไปเพอร์ฟอร์แมนซ์อย่างเดียว ผมว่ามันเป็นข้อได้เปรียบของวงดนตรีที่ทำอัลบั้มเต็มนะ
เดินทางมาถึงอัลบั้มชุดล่าสุดที่พวกคุณใช้ชื่อว่า The Machiner?
ตูน : มันคือนามธรรมที่จับต้องไม่ได้ ผมว่ามันเป็นอย่างนั้นนะ
ชาย : จริงๆ พวกเราต่อยอดมาจากอัลบั้มที่แล้วนะ เราตั้งข้อสงสัยในสิ่งที่เราไม่รู้ แล้วเราก็เปรียบทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะเป็น คน เก้าอี้ โต๊ะ เป็น Machine แล้ว The Machiner ก็เปรียบเสมือนพระเจ้า หรืออาจจะเป็นสิ่งที่อยู่เบื้องบนเราอีกทีก็ได้ เป็นคำที่ไม่มีรากศัพท์ด้วยครับ เป็นคำพิเศษที่เราคิดกันขึ้นมา
ตูน : ผมอยากให้คนฟังแต่ละคนตีความคำว่า The Machiner ไม่เหมือนกัน สมมติว่าน้ำแก้วนี้ คนเทน้ำลงไปคือ Machiner อาจจะเทหก เทล้น เทพอดีก็แล้วแต่ หรือถ้าเป็นคนในเครื่องแบบ คนที่เป็น Machiner ของคนๆ นั้นอาจเป็นคนที่ให้ล้มคดีก็ได้ แล้วแต่ว่าคนฟังจะนึกถึงอะไรมากกว่า
ก้อง : ผมเชื่อว่าในวง 5 คนตอบคำถามนี้ก็ตอบไม่เหมือนกันนะ อย่างที่ตูนบอกแหละว่ามันเป็นนามธรรมจริงๆ อย่างผมก็จะคิดว่า The Machiner คือสิ่งที่มองไม่เห็น ที่พวกเราตั้งคำถามว่า ทำไมวันนี้เราต้องไปเจอคนนี้ ทำไมชีวิตเราต้องไปทำแบบนี้ ทำไมเราต้องทำอาชีพนี้ ทำไมจังหวะนี้เราต้องไปเจออะไรแบบนี้ ทำไมวันนี้รถต้องชน ประมาณนี้
ชาย : ถ้าจะให้ลึกลงไปอีก มันเหมือนการสงสัยการมีอยู่ของพระเจ้าเลยนะ ทำไมอยู่ดีๆ วันหนึ่งทุกคนต้องใส่หน้ากากเพราะฝุ่น เว้นไปอีกพักหนึ่ง ทำไมทุกคนต้องใส่หน้ากากเหมือนเดิม แต่ไม่ใช่เพราะว่าฝุ่นแล้ว
ก้อง : หรือ... ถ้าเราจะไม่มองในด้านของพระเจ้า มันอาจจะเป็นใครก็ตามที่ครองโลกใบนี้ไว้หรือเปล่า อย่างไอ้เชื้อไวรัสโควิด-19 มันอาจจะเกิดขึ้นมาตามธรรมชาติก็ได้ หรืออาจจะมีใครสักคนทำเพื่อเปลี่ยนโลกก็ได้ The Machiner คือสิ่งนี้สำหรับผม
ตูน : มันอาจจะถูกฝังลงไปในโลกเมื่อร้อยล้านปีที่แล้วก็ได้ มีใครเอามาปล่อยไว้
ชาย : ใช่ หรือเราอาจจะเป็นแค่เชื้อโรคอยู่ในลำไส้ของสัตว์อะไรอีกสักอย่างซึ่งเราไม่รู้ไง
การตั้งคำถาม ตั้งข้อสงสัยของพวกคุณ มันเป็นสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจนานแล้ว หรือเพิ่งไปประสบพบเจออะไรมาหรือเปล่า?
ชาย : พวกเราแก่กันขึ้นมั้ง มันอาจจะมีบางวันที่เราเคยสงสัยว่า เอ๊ะ อยู่ดีๆ เราเกิดขึ้นมาได้ไงวะ จู่ๆ มันเกิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้ไงวะ
ตูน : มุมมองในการมองโลกมันก็เปลี่ยนไปตามวัย
ก้อง : มันจะแตกต่างจากชุดแรกๆ ที่เนื้อหาของ BrandNew Sunset จะเป็นการให้กำลังใจ เป็นเรื่องระหว่างคนกับคน ซึ่งใน Of Space and Time ก็ยังมีเรื่องของคนกับคนอยู่ แต่พอหลุดมาแล้ว วิสัยทัศน์ของพวกเรามันลึกไปกว่านั้น แต่อย่างในพาร์ตดนตรี พวกเราก็เล่นไปตามมู้ดของเรา เราไม่ได้แปะคำว่า The Machiner แล้วต้องออกมาเป็นมู้ดแบบขึงขังแข็งกร้าวอะไรแบบนั้น
ชาย : อีกอย่างหนึ่งคือ The Machiner น่าจะเป็นอัลบั้มแรกที่เราไม่มีกรอบอะไรเลย เพลงนึกจะยาวก็ยาว นึกจะสั้นก็สั้น มันจะมีมู้ดของมันอยู่
ก้อง : มันอาจจะเป็นการถูกชักจูงจากมู้ดของดนตรีก็ได้นะ ที่ทำให้เราเขียนเนื้อเพลงราวๆ นี้ออกมา คล้ายๆ ว่ามันซัพพอร์ตกัน หรืออาจจะมาจากสิ่งที่ติดอยู่ในใจเราลึกๆ มา 4-5 ปีก็ได้
ตูน : BrandNew Sunset มันมีเรื่องของการสิ้นโลกอะไรเทือกๆ นี้มาตั้งแต่อัลบั้มแรกๆ แล้ว อย่างอัลบั้ม Realistic ก็มีพูดถึงเรื่องการทำลายล้าง โลกมันก็มีอายุขัยของมัน แล้วมันก็มีความวุ่นวาย สักวันหนึ่งมันก็ต้องหมดอายุไป แล้วสถานการณ์ตอนนี้มันก็มองในเชิงนั้นได้ จากที่เราเคยให้กำลังใจในชุดแรกๆ ใช่ไหม พอมาถึงชุดหลังๆ นี้พวกเราพยายามจะบอกว่า เราให้กำลังใจแหละ แต่ว่าในการให้กำลังใจมันมีอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นแล้ว ไม่ใช่มาบอกว่า เฮ้ย ไม่เป็นไร มึงดูทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นไปตอนนี้สิ มันจะไม่เป็นไรได้ยังไง คือเราก็อยากให้โลกใบนี้มันไม่เป็นอะไร แต่มองดูตอนนี้ มันจะไม่เป็นไรไม่ได้แล้วนะ เราทุกคนก็ต้องดูแลตัวเองมากขึ้น
ไม่ใช่เวลาที่จะมาโลกสวยแล้ว?
ตูน : ใช่เลย มันหลอกกันไม่ได้แล้ว ฝุ่นแค่นี้ไม่เป็นไรหรอก อีกนานกว่าจะเข้าถึงปอด... ใช่เหรอ มันไม่ใช่แล้วไง
ชาย : มันก็เลยวนเวียนอยู่กับคำว่า The Machiner เนี่ยแหละ เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างเราไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร แต่พวกเรามีความมองโลกในแง่ร้ายมากขึ้นตามอายุ และมีความเป็นจริงมากกว่าอัลบั้มอื่นๆ แต่ทุกอย่างตั้งอยู่บนเรื่องราวที่จับต้องไม่ได้ ฟังอัลบั้มนี้เหมือนดูหนังเรื่องหนึ่ง
ก้อง : อย่างในเพลงสุดท้ายถ้าฟังกันจริงๆ เราก็บอกนะว่า เราก็ไม่รู้นะว่ามันเป็นอะไร และเราก็ไม่สามารถไปจับต้องอะไรได้ด้วย
แสดงว่า BrandNew Sunset ไม่มีคำตอบหรือบทสรุปให้สำหรับการตั้งคำถามครั้งนี้?
ทุกคน : ไม่มี
ชาย : อย่างเพลงสุดท้ายมันจะเล่าว่า พวกเราจากอีกที่หนึ่งโทรศัพท์กลับมาบอกโลกมนุษย์ในปัจจุบันว่ามันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เหมือนคุยกับรุ่นลูกรุ่นหลาน
ก้อง : ก็เหมือนจะคลี่คลาย แต่ก็ยังไม่ได้ตอบขนาดนั้น เพราะมันกลับกลายเป็นว่า โลกมันไม่มีอะไรเลยนะ ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น มันว่างเปล่า
อัลบั้มที่แล้วมีเพลงความยาว 17 นาที อัลบั้มนี้มีเซอร์ไพรส์อะไรแบบนั้นไหม?
ชาย : (หัวเราะ) คือตอนนั้นเหมือนฟีลมันยังไม่จบ เรายังเล่าเรื่องไม่หมด
ก้อง : เราไม่ได้ตั้งใจนะ ทุกคนชอบมาถามว่า เราจะเป็นพวกโปรเกรสซีฟหรือเปล่าที่ทำเพลงนานๆ แต่เราไม่ได้คิดอย่างนั้น อย่างเพลง “Time” มันเริ่มมาจากแค่ 3-4 นาที เราก็ค่อยๆ ต่อไปเรื่อยๆ ยังไม่จบเว้ย ไปได้ต่อก็ทำต่อ ไอ้ความยากของการทำเพลงแบบไม่มีกรอบก็คือ มันจะพอหรือยัง ถ้ามันไม่พอ มันไม่พอจริงหรือเปล่า พอสุดท้ายเราตัดสินใจแล้ว มันเกินหรือขาดหรือเปล่า
การตั้งข้อสงสัย ตั้งคำถามใน The Machiner มันสะท้อนถึงอะไรบางอย่างในสังคมไทยด้วยหรือเปล่า?
ชาย : มันรวมหลายเรื่องมากเลยนะสำหรับอัลบั้มนี้ ผมว่าน่าจะเป็นอัลบั้มที่ตั้งแต่ต้นจนจบมันครอบคลุมเรื่องที่กว้างที่สุดแล้ว มีความไกลตัวที่สุดและใกล้ตัวที่สุดด้วย มีความประชดประชัน เปรียบเปรยกับอะไรบางอย่าง
ตูน : คือทั้งๆ ที่เป็นเรื่องที่รู้อยู่แล้วว่ามันถูกหรือผิด บางทีมันก็คือการหลอกตัวเองอยู่เหมือนกัน ผมคิดว่าบางครั้งคนเราคิดว่าเราคอนโทรลชีวิตของตัวเองได้ใช่ไหม แต่จริงๆ ไม่มีอะไรที่เราคอนโทรลได้อย่างที่คิดหรอก ทุกอย่างเลย The Machiner สื่อความอย่างนั้นแหละในมุมมองของผม ผมว่าต้องอย่าไปยึดติดอะไรมาก อาจจะคอนโทรลได้ใน 10-20 ปี แต่ที่สุดแล้วใครก็ไม่รู้คอนโทรลเราอยู่ อาจจะเป็นอีกกาแล็กซีหนึ่งหรืออะไรก็แล้วแต่
หรือแม้กระทั่งวันหนึ่งทุกคนก็ต้องตาย?
ชาย : ใช่ครับ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ผมว่าอัลบั้มนี้เนื้อหาโคตรธรรมะเลย สุดท้ายพวกเราก็คือ Machine ตัวหนึ่ง ใน Machiner
ก้อง : โดยส่วนตัวผมมองว่า มันเป็นแค่มุมมองของวงนะ แค่อยากจะพูดในสิ่งที่พวกเราคิดแค่นั้นเอง เพราะผมมองว่าคนเราไม่เหมือนกัน อย่างเราคิดแบบนี้ เชื่อแบบนี้ อีกคนอาจบอกว่า ไม่เห็นจะเป็นไรเลย เขาเชื่ออีกอย่างหนึ่ง แต่สุดท้ายก็กลับมาตรงที่ว่า เราไม่สามารถคอนโทรลอะไรได้ ทุกสิ่งก็เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ก็เหมือน The Machiner ที่เราไม่รู้ว่าเขาคือใคร คุณคิดว่าคุณยิ่งใหญ่มากใช่ไหม ครองโลกใช่ไหม แต่คุณรู้ได้อย่างไรว่ายังมีอะไรอยู่เบื้องบนคุณอีก
ตูน : ฟังแล้วคุณอาจจะปล่อยวางก็ได้นะ ผมอยากให้ทุกคนปล่อยวางกับอะไรที่เราคิดว่าอยากให้อยู่ภายใต้การควบคุมของเรา และในความที่เราควบคุมอะไรมได้ เราก็ต้องใช้ชีวิตอย่างมีสติด้วย มีสติแบบโลกไม่สวย
ดูเหมือนว่าทุกวันนี้ผู้คนจะตั้งคำถามในแบบที่ BrandNew Sunset ทำมากขึ้นเรื่อยๆ?
ก้อง : ส่วนตัวผมมองว่า คนยุคหลังๆ มานี้สิ้นหวังกันเยอะนะ ไม่ว่าจะด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป หรือปัญหาอะไรก็ตาม ผมว่าชีวิตมันอยู่ยากขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่อยากจะพูดผ่านอัลบั้ม The Machiner ก็คือ ถ้าเขาเข้าใจเราหรือได้มาอ่านบทสัมภาษณ์นี้ เราอยากบอกว่าทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ คล้ายๆ ว่าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ถูกไหม เราก็ไม่รู้หรอกว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร สุดท้ายชีวิตมันก็เหมือนเกิดมาเพื่อเสี่ยงดวงเหมือนกัน คนนี้จะเป็นอย่างนู้น คนนู้นจะเป็นอย่างดี แต่สุดท้ายต้องเอาตัวรอดให้ได้ คนยุคใหม่ต้องเข้มแข็งพอ
ตูน : ผมมองว่าเยอะขึ้น แล้วเขาก็ไปหาที่พึ่ง ซึ่งที่พึ่งของเขาก็ไม่รู้ว่ามันใช่อย่างที่เขาคิดไว้หรือเปล่า ผมเข้าใจนะว่าคนเราก็ต้องหาเสาหลักไปยึดเหนี่ยวจิตใจ บางคนพึ่งศาสนา บางคนพึ่งมนต์ดำ ก็แล้วแต่
ก้อง : หรืออย่างที่คนไปฟังไลฟ์โค้ชเยอะๆ แล้วบางทีเรามองว่าเขาไม่ได้พูดลึกซึ้งอะไรเลย ไปฟังมันทำไมวะ เรื่องแค่นี้มึงก็คิดเองได้ แต่เหมือนคนมันสิ้นหวัง แล้วพอคนพูดอะไรที่ดีๆ เหมือนต้นไม้ที่จะแห้งตายอยู่แล้ว เอาน้ำไปหยอดหยดหนึ่งก็เหมือน โอ้โห มหาศาล แต่จริงๆ แล้วมันไม่มีอะไรเลย ทุกคนต้องเรียนรู้แล้วก้าวผ่านได้ด้วยตัวเอง ถ้าแกร่งก็อยู่ ไม่แกร่งก็ตาย ผมมองชีวิตเป็นอย่างนั้น ถ้าคุณยอมแพ้ก็จบไปแค่นั้นเอง ชีวิตมันไม่ได้มีอะไรมาก มีแค่อยู่หรือตาย
ชาย : และเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็ทำให้ BrandNew Sunset สร้างหนังที่ชื่อว่า The Machiner ขึ้นมา จากสิ่งที่เป็นนามธรรม ให้กลายมาเป็นรูปธรรมที่อยากให้ทุกๆ คนได้ฟังกันครับ
อัลบั้มภาพ 14 ภาพ