beabadoobee: ทำไมคนดังถึงต้องพูดถึงปัญหาสังคม และอัลบั้มใหม่ที่เป็นตัวแทนของผู้หญิงทั่วโลก | Sanook Music

beabadoobee: ทำไมคนดังถึงต้องพูดถึงปัญหาสังคม และอัลบั้มใหม่ที่เป็นตัวแทนของผู้หญิงทั่วโลก

beabadoobee: ทำไมคนดังถึงต้องพูดถึงปัญหาสังคม และอัลบั้มใหม่ที่เป็นตัวแทนของผู้หญิงทั่วโลก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ถ้าจะให้พูดถึงแนวเพลงของ beabadoobee สาวน้อยวัย 20 ปีเชื้อสายฟิลิปปินส์-อังกฤษ เราอยากให้คุณได้ลองฟังเสียงใสๆ ที่มาพร้อมกับกีตาร์และพลังงานด้านบวก เนื้อเพลงพูดถึงชีวิต ความรัก และเรื่องราวต่างๆ ที่วัยรุ่นทุกคนต้องประสบพบเจอ และในช่วงที่ดนตรี EDM กำลังรุ่งเรือง หัวใจกรันจ์-อัลเทอร์เนทีฟร็อคของเธอยังคงสร้างสรรค์ผลงานเพลงสไตล์ยุค ‘90s ออกได้เป็นอย่างดีชนิดที่เรียกว่าหากหลับตาฟัง ไม่เห็นว่าเพลงนี้ปล่อยในปีไหน จะคิดว่าเป็นศิลปินวัยรุ่นยุค ‘90s ทำเพลงเองด้วยซ้ำ และเราก็เป็นหนึ่งในคนที่หยุดฟัง “Care” เพลงแรกที่ปล่อยออกมาจากอัลบั้มเต็มชุดแรกในชีวิตของเธอ Fake It Flowers ไม่ได้เลยตั้งแต่วันแรกที่ได้ฟัง

Bea พูดถึงอัลบั้ม Fake It Flowers ว่า “ความผิดพลาดที่ฉันเคยทำในความสัมพันธ์กับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อฉันยังเด็ก มันเหมือนเป็นการดึงฉันได้มองย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่เจ็บปวดเหล่านั้น การได้เขียนเพลงในอัลบั้มนี้เป็นเหมือนการบำบัดจิตใจของฉันได้ ซึ่งมันก็ช่วยฉันได้ดีที่สุด ทุกเพลงในอัลบั้มนี้เขียนมาจากเรื่องส่วนตัวของฉันมากๆ และฉันเองก็รู้สึกกลัวมากที่จะเปิดเผยมันออกมา”

“การยอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบ ความผิดพลาด และความเปราะบาง เป็นหัวใจหลักของอัลบั้ม Fake It Flowers นี้ซึ่งเป็นการบันทึกอย่างตรงไปตรงมา และฉันหวังว่าทุกคนจะได้เห็นว่าฉันกำลังเรียนรู้และเติบโตขึ้นผ่านบทเพลงจากอัลบั้มนี้”

beabadoobee หรือชื่อจริง Beatrice Laus พูดคุย และร้องเพลงสดๆ กับสื่อมวลชนจากฝั่งเอเชีย รวมถึง Sanook Music อย่างเป็นกันเองจากห้องนอนของเธอที่อังกฤษ ที่เธอเรียกว่าเป็นสถานที่ที่เป็นจุดกำเนิดของความมหัศจรรย์ นั่นคือที่ที่ส่วนใหญ่เธอขลุกตัวแต่งเพลงนั่นเอง นอกจากเธอจะตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมาแล้ว ความน่ารักสดใสของเธอก็อดทำให้ทุกๆ คนที่ได้ฟังยิ้มตามไม่ได้


fakeitflowers

ทำอัลบั้ม Fake It Flowers ช่วงโควิด-19 เป็นอย่างไรบ้าง?

beabadoobee: โชคดีมากที่ฉันอัดเพลงในอัลบั้มนี้เอาไว้ทั้งหมดก่อนที่จะเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส และก่อนที่จะมีการล็อกดาวน์เกิดขึ้น มีแค่เพลงเดียวที่อัดหลังช่วงล็อกดาวน์ นั่นคือเพลง “How Was Your Day?” ตอนนั้นมีอุปกรณ์ไม่พอ และฉันก็อยากให้เพลงนี้มีซาวด์ที่ lo-fi มากๆ ฉันอัดเพลงนี้ที่บ้านของแฟนฉันในช่วงที่มีการล็อกดาวน์เพราะการระบาดของโควิด ก็ยากเหมือนกัน แต่ก็ทำออกมาได้สำเร็จค่ะ


อัลบั้ม
Loveworm ได้แรงบันดาลใจในการแต่งเพลงมาจากแฟนของคุณเอง แล้วแรงบันดาลใจหลักของอัลบั้ม Fake It Flowers คืออะไร?

beabadoobee: ไอเดียหลักของการแต่งเพลงในอัลบั้มนี้มาจากการที่ฉันมีสิ่งที่อยากจะบอกกับใครสักคน แต่ฉันพูดออกไปไม่ได้ เลยเหมือนกับการเขียนจดหมายถึงใครคนนั้นที่ท้ายที่สุดแล้วฉันก็ไม่ได้ส่งไปให้เขา มันเลยเต็มไปด้วยเรื่องที่ค่อนข้างส่วนตัวมากๆ แต่ละเพลงอาจจะพูดถึงคนนั้นคนนี้ไปเรื่อย และมีสองสามเพลงที่พูดถึงคนคนเดียวกันที่ทำร้ายจิตใจฉันได้ลงคอ (หัวเราะ) แต่โดยรวมก็พูดถึงประสบการณ์ชีวิตของฉันที่ได้เจอมาทั้งหมด ในอัลบั้ม EP อาจจะพูดถึงชีวิตของฉันช่วงหนึ่ง แต่ในอัลบั้มนี้จะพูดถึงช่วงชีวิตของฉันตั้งแต่เด็ก วัยรุ่น มาจนถึงตอนนี้เติบโตเป็นผู้หญิงอย่างเต็มตัวค่ะ


เพลงไหนที่ใช้เวลาทำนานที่สุด?

beabadoobee: (คิดนาน) ฉันว่าน่าจะเป็นเพลง “Sorry” และก็เป็นเพลงที่ฉันภูมิใจที่สุดด้วย เนื้อเพลงของเพลงนี้ทำให้ฉันต้องใช้พลังใจในการร้องค่อนข้างมาก เพราะพูดถึงเรื่องยากๆ ที่ฉันประสบพบเจอมาในชีวิต และค่อนข้างใช้เวลาอยู่นานที่ตัวฉันเองจะรวบรวมความกล้าที่จะต้องเพลงนี้ออกมา และตัดสินใจบันทึกเสียงเพลงนี้ในห้องอัด และตอนที่ฉันร้องท่อนฮุก มือกีตาร์และมือกลองของฉันก็ร้องเพลงนี้ตามไปด้วย (หัวเราะ) ซึ่งก็ทำให้เพลงมันพิเศษมากยิ่งขึ้น ตอนอัดเพลงนี้ก็เลยใช้เวลานานพอสมควร ราวๆ 1 สัปดาห์ได้ จากที่ทั้งอัลบั้มฉันใช้เวลาทำอยู่ราวๆ 2 เดือนกว่า แต่ก็คุ้มค่ามากๆ เลยทำให้เพลงนี้เป็นเพลงที่ฉันภูมิใจมากที่สุดในอัลบั้มนี้ค่ะ


Fake It Flowers
มีซาวด์ของกีตาร์ และดนตรีกรันจ์-อัลเทอร์เนทีฟร็อคยุค ‘90s อย่างเห็นได้ชัด คุณได้แรงบันดาลใจจากศิลปินในยุคนั้นคนไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า?

beabadoobee: มีหลายวงเลยค่ะ ทั้ง Veruca Salt, The Cranberries, The Cardigans, My Bloody Valentine, The Smashing Pumpkins, Suzanne Vega, Alanis Morissette และ Juliana Hatfield จริงๆ ยังมีอีกเยอะค่ะ (ยิ้ม)


ถ้าให้เลือกเพลงจากอัลบั้มนี้ให้แฟนๆ ชาวไทยสักเพลง จะเลือกเพลงอะไร?

beabadoobee: อืมมม (คิดนาน) ฉันอยากหาเพลงที่มันแฮปปี้ๆ เพราะฉันคิดว่าแฟนๆ ที่ไทยน่าจะอยากได้เพลงที่มีซาวด์สนุกๆ คิดว่าน่าจะเป็นเพลง “Dye It Red” ฉันชอบเพลงนี้มาก และคิดว่าเพลงนี้น่าจะทำให้แฟนๆ ชาวไทยทุกคนลุกขึ้นมาเต้นได้ ทำให้ทุกคนลืมปัญหาของตัวเอง และเต้นไปด้วยกันได้ Girls rule! (ทำท่าเต้นไปด้วย)

พูดถึงศิลปินที่คุณได้รับอิทธิพลทางดนตรีมาในอัลบั้มนี้ ในฐานะที่เคยเป็นแค่คนฟังเพลง แต่ในตอนนี้มาเป็นศิลปินหญิงที่มีอิทธิพลทางดนตรีกับผู้หญิงทั่วไปแล้ว รู้สึกอย่างไรบ้าง?

beabadoobee: ต้องบอกตามตรงว่าเราต้องเคยมีประสบการณ์หรืออยู่ในสังคมที่มีกลุ่มที่กดขี่เพศหญิงอยู่ และฉันเองก็เคยเจอมาบ้างเหมือนกัน โดยเฉพาะการที่ฉันเป็นผู้หญิงเอเชีย ก็มักถูกสอนว่าห้ามพูดเสียงดัง อย่าทำตัวน่ารำคาญ อย่าพูดจาประชดประชัน รวมถึงการที่เป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่ไม่ได้ ฉันเลยอยากทำอัลบั้มที่ผู้หญิงฟังแล้วรู้สึกว่า “เออ ช่างมันเถอะ ฉันจะโหวกเหวกโวยวาย ทำตัวน่ารำคาญให้เต็มที่ แล้วสุดท้ายฉันก็จะดีขึ้นเอง” ฉันรู้สึกเรามีสิทธิที่จะทำตัวน่ารำคาญมากเท่าไรก็ได้ เพราะอย่างไรคุณก็ได้เรียนรู้จากข้อผิดพลาดของตัวเอง และเมื่อคุณรู้สึกสบายใจที่ได้เป็นตัวเองมากขึ้นเท่าไร คุณก็จะมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้นเท่านั้น คุณจะได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ในชีวิตของคุณด้วยตัวคุณเองมากขึ้น ทุกครั้งที่ฉันเศร้า ฉันจะลุกขึ้นเต้นที่ตรงหน้ากระจกนั้น (หันกล้องให้ดูกระจกตรงตู้เสื้อผ้าในห้องนอน) แล้วก็เปิดอัลบั้มที่ชอบฟัง เช่น Siamese Dream ของ The Smashing Pumpkins หรือ Eight Arms to Hold You ของ Veruca Salt แล้วก็เต้นไปเลย ไม่ต้องห่วงว่าคุณจะเต้นได้ห่วยแตกแค่ไหน ให้คุณรู้สึกมั่นใจในตัวเอง และมีความสุขกับตัวเองมากขึ้น และฉันก็อยากให้อัลบั้ม Fake It Flowers เป็นอัลบั้มที่คุณจะเปิดในช่วงเวลานั้นของชีวิตของผู้หญิงสักคนบนโลกใบนี้ก็ยังดี 


การที่เป็นศิลปินที่มีเชื้อสายฟิลิปปินส์ และมีชื่อเสียงในวงกว้าง พร้อมกับการยอมรับในผลงานอย่างกว้างขวางแบบนี้ คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง?

beabadoobee: เหลือเชื่อมากเลยค่ะ (หัวเราะ) ผู้คนที่ร่วมทำงานกับฉันด้วยกันมาตลอดดูแลใส่ใจฉันดีมากเลย ฉันเติบโตผ่านช่วงวัยรุ่นมาด้วยสิ่งแวดล้อมที่คนรอบข้างไม่ค่อยสนใจฉันมากเท่าไร ฉันเลยคิดว่าที่เพลงของฉันสามารถสื่อถึงความรู้สึกของใครหลายๆ คนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไปถึงแฟนๆ ทั่วโลกได้แบบนี้ มันน่าเหลือเชื่อมากจริงๆ แล้วทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาเริ่มต้นมาจากห้องเล็กๆ ห้องนี้นี่เอง (ห้องนอนของเธอที่อังกฤษ) 


คุณเป็นศิลปินคนหนึ่งที่มักแต่งเพลงในห้องนอน และคิดว่ามีหลายคนที่เริ่มต้นแต่งเพลงจากในห้องนอนของตัวเองเช่นกัน คุณมีคำแนะนำอะไรถึงพวกเขาเหล่านั้นไหม?

beabadoobee: ไม่ว่าจะแต่งเพลงในห้องนอน หรือที่ไหนๆ แพชชั่นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการแต่งเพลง ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่เล็กๆ ที่เป็นที่ที่คุณสร้างสรรค์ผลงานของคุณอย่างไม่มีที่สิ้นสุดที่อาจต้องใช้เวลากับมันอย่างยาวนาน ที่ที่คุณใช้เตียงเป็นโต๊ะทำงาน ที่ที่คุณจะเปิดโอกาสให้ตัวเองได้เรียนรู้ดนตรีแนวใหม่ๆ ซาวด์ใหม่ๆ เรียนรู้คอร์ดเพลงใหม่ๆ ขอเพียงแค่คุณรักษาแพชชั่นที่คุณมีต่อดนตรีเข้าไว้ก็เพียงพอค่ะ


คุณเป็นที่พูดถึงในโลกโซเชียลมีเดียในประเทศไทยหลังจากที่คุณโพสต์ข้อมูลเกี่ยวกับ #WhatsHappeninginThailand ที่ชาวไทยออกมาชุมนุมเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยที่แท้จริง คุณคิดว่าศิลปิน และบุคคลที่มีชื่อเสียงควรออกมาพูดถึงปัญหาสังคมหรือไม่?

beabadoobee: ฉันคิดว่าถ้าคุณมีพื้นที่ของตัวเองที่มีคนติดตาม 100 กว่าคน หรือในกรณีของฉันที่มีคนติดตามกว่า 800,000 คน มันก็เป็นพื้นที่ที่คุณสามารถพูดถึงสิ่งที่คุณเชื่อ สิ่งที่ทุกคนต้องให้ความสนใจได้ บางครั้งสื่อก็ปกปิดข้อมูลหลายๆ อย่างกับเรา ดังนั้นมันจึงจำเป็นที่เราต้องพูดถึงปัญหาที่ไม่ได้เป็นที่สนใจมากนัก เพื่อให้หลายๆ คนรับรู้ถึงปัญหาที่มันเกิดขึ้น ถ้าคุณมีพื้นที่แบบนั้น แม้ว่าบางครั้งฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมผู้คนถึงมาสนใจคำพูดของฉันกันมากมายขนาดนี้ แต่กับปัญหาในสังคมต่างๆ ถ้าฉันสนใจในเรื่องนั้นๆ ด้วย มันก็คุ้มค่ามากๆ ที่ฉันทำให้ผู้คนหันมาฟังฉันได้ ฉันทำให้คนคลิกมาอ่านข้อมูลต่างๆ มาลงชื่อในแคมเปญ และทำให้หลายๆ คนลุกขึ้นมาทำทุกอย่างที่พวกเขาสามารถทำได้จากการโพสต์ของฉัน

beabadoobee's instagrambeabadoobee's instagram


แฟนๆ ในเอเชียจะมีโอกาสได้ชมคอนเสิร์ตอัลบั้ม Fake It Flowers ของคุณไหม?

beabadoobee: ฉันคาดหวังเหลือเกินว่าจะได้เจอกับพวกคุณ แต่เพราะปัญหาโรคระบาดทำให้โอกาสมันค่อนข้างน้อยถ้าจะให้เจอกันในช่วงนี้ ได้แต่หวังว่าโควิดจะรีบๆ หายไปสักที ฉันจะได้เจอพวกคุณในเอเชียเร็วๆ เอเชียเปรียบเสมือนเป็นบ้านอีกหลังหนึ่งของฉัน เพราะฉันเองก็เป็นคนฟิลิปปินส์ เพราะฉะนั้นฉันจะไปหาพวกคุณให้ได้ ไม่ว่าคุณจะอยากให้ฉันไปหรือไม่ก็ตาม (หัวเราะ)

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook