Kingdom: Legendary War กับการแสดงที่เป็นตำนาน โดย คันฉัตร รังษีกาญจน์ส่อง | Sanook Music

Kingdom: Legendary War กับการแสดงที่เป็นตำนาน โดย คันฉัตร รังษีกาญจน์ส่อง

Kingdom: Legendary War กับการแสดงที่เป็นตำนาน โดย คันฉัตร รังษีกาญจน์ส่อง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

จบไปสดๆ ร้อนๆ เมื่อ 3 มิถุนายนที่ผ่านมา สำหรับ Kingdom: Legendary War รายการช่อง Mnet ที่เอาวงบอยแบนด์ 6 วงมาแข่งขันกัน ได้แก่ BtoB, iKON, SF9, The Boyz, Stray Kids และ ATEEZ ที่คราวนี้เปลี่ยนกฎว่าไม่มีการคัดออก แต่ใช้วิธีตัดสินที่หนึ่งจากคะแนนรวมตอนจบ เดาว่าคงป้องกันกระแสโวยวายเพราะแต่ละวงมีฐานแฟนคลับแน่นหนาอยู่

ตลอดสามเดือนของ Kingdom มีดราม่าเกิดขึ้นเป็นระยะ เริ่มรายการไปได้พักเดียว ฮยอนจิน Stray Kids ต้องถอนตัวจากการพักงาน ส่วน ยุนโฮ TVXQ! ก็ขอยุติบทบาทพิธีกรเนื่องจากเขาทำผิดกฎเว้นระยะห่างทางสังคม, ฟุตเทจเก่าของบางวงมีการเบลอหน้าสมาชิกที่ลาออกไปแล้ว จนแฟนคลับไม่พอใจ, ช่วงกลางรายการดันมีแดนเซอร์ติดโควิด แต่หนักสุดคงเป็นเรื่องแต่ละวงได้รับแจ้งเรื่องงบประมาณของโชว์ไม่เท่ากัน ซึ่งตอนหลัง Mnet ก็ออกมาขอโทษว่าเป็นการสื่อสารที่ผิดพลาด (จ้ะ...)

ส่วนรูปแบบโชว์ก็คล้ายกับ Road to Kingdom (2020) ที่เน้นความอลังการเนื่องจากไม่มีผู้ชมในห้องส่ง จึงออกแบบเวทีให้มีพื้นที่กว้าง(หรือยาว)ได้เป็นพิเศษ เน้นการตัดต่อและเคลื่อนกล้องจากกล้องหลายตัว ซึ่งก็ต้องชื่นชมทีมถ่ายทำถึงความเป๊ะแบบไม่มีพลาด แต่ผู้ชมบางส่วนเริ่มรู้สึกเบื่อหรือชินชากับเทคนิคแบบนี้แล้ว ต้องมาติดตามกันว่า Mnet จะสรรหากิมมิคอะไรมาอีกในรายการหน้า (ถ้ายังคิดจะทำน่ะนะ)

ทั้งนี้ผู้เขียนขอสรุปถึง Kingdom ด้วยการพูดถึงทั้ง 6 วงและโชว์ที่น่าประทับใจของพวกเขา

SF9

แม้จะเดบิวต์มาตั้งแต่ปี 2016 เราต้องยอมรับว่า SF9 ยังไม่ปังเท่าที่ควร (วงเพิ่งชนะรางวัลรายการเพลงครั้งแรกเมื่อต้นปี 2020) จุดเด่นของวงคือรูปร่างสูงเหมือนนายแบบ ทว่าเมมเบอร์แต่ละคนล้วนมีงานเดี่ยวเป็นของตัวเอง (นักแสดง, เล่นมิวสิคัล, พิธีกร ฯลฯ) จึงหาเวลาซ้อมด้วยกันยาก หลายโชว์ในรายการก็ไม่ครบ 9 คน แต่ต้องนับถือพวกเขาที่ทำงานอย่างหนัก

การแสดงของ SF9 ส่วนใหญ่จะเน้นที่คาริสม่าและความเซ็กซี่ของสมาชิกวง แต่โชว์โดยรวมออกมาคล้ายๆ กันไปสักหน่อย แต่ที่ผู้เขียนชอบที่สุดคือเพลง "The Stealer" (คัฟเวอร์เพลงของ The Boyz) ที่มีเรื่องราวแบบหนังฟิล์มนัวร์ เป็นการแสดงที่ดูลึกลับ อันตราย แต่ก็น่าหลงใหล

iKON

วงที่ผ่านการแข่งขันในรายการมานับครั้งไม่ถ้วน เลยมาออก Kingdom แบบชิลล์กว่าชาวบ้าน (บ๊อบบี้เผลอหาวออกอากาศจนกลายเป็นมีมในโลกออนไลน์) แม้จะได้อันดับกลางๆ ตลอดรายการ แต่ดูเหมือน iKON จะไม่ได้กังวลอะไรนัก เอาเข้าจริงแล้วตัววงค่อนข้างเสียเปรียบ เพราะเป็นวงฮิปฮ็อปที่เน้นเรื่องเพอร์ฟอร์แมนซ์มากกว่าโปรดักชัน แต่วงก็ปรับตัวเข้ากับรายการได้เป็นอย่างดี ส่วนโชว์โปรดของผู้เขียนคือการเอาเพลงที่ต่างกันสุดขั้วอย่าง "Love Scenario" กับ "Killing Me" มาจับคู่กัน กลายเพลงแบบคู่ตรงข้ามด้านสว่าง-ด้านมืดที่เข้ากันอย่างประหลาด

ATEEZ

วงน้องเล็กของรายการที่แม้แฟนในเกาหลีอาจจะไม่เยอะ แต่พวกเขาโด่งดังในต่างประเทศเอามากๆ (น่าเสียดายที่โควิดทำให้เวิลด์ทัวร์ต้องยกเลิกไป) ATEEZ โดดเด่นอยู่แล้วด้านเพลงที่เน้นความจัดจ้าน ส่วนโชว์ของพวกเขาก็แสดงถึงความรอบรู้ เป็นวงที่มี reference เยอะกว่าใคร ผสมผสานทั้ง หนัง Pirates of the Caribbean, ซีรีส์ Money Heist, เพลงคลาสสิค ไปจนถึงแนวคิดอนาธิปไตย (anarchism) แต่มันก็กลายเป็นดาบสองคมอยู่เหมือนกัน เพราะผู้ชมบางส่วนอาจจะเข้าไม่ถึงโชว์ของพวกเขา

การแสดงสุดโดดเด้งของ ATEEZ น่าจะเป็นการเอาเพลง "Wonderland" ผสมกับ Symphony No.9 ของดโวชาค พ่วงด้วยคอนเซ็ปต์โจรสลัด ใครๆ ก็ล้วนอ้าปากค้างกับฉากที่มีหนวดหมึกยักษ์โผล่ออกมา

BtoB

เชื่อว่าหลายคนตกใจพอสมควรที่ BtoB ตัดสินใจเข้าร่วมรายการนี้ ด้วยความที่เดบิวต์มาร่วมสิบปี คนพากันงงว่าจะมาแข่งอะไรอีก สมาชิกก็เข้ากรมกันจนตอนนี้เหลือเมมเบอร์อยู่ 4 คน แถมช่วงหลัง BtoB จะโดดเด่นด้านเพลงบัลลาด ซึ่งดูไม่เข้าพวกกับ Kingdom เลย อย่างไรก็ดี พวกเขาพิสูจน์ตัวเองว่าไม่ได้ร้องได้แต่เพลงช้า จะเพลงเต้น แร็ป มิวสิคัลพวกเขาทำได้หมด

และถึงจะถูกจดจำในฐานะพี่ใหญ่สายฮา แต่เวลาต้องแซ่บก็ไม่แพ้ใคร โดยเฉพาะในโชว์คัฟเวอร์เพลง "Back Door" ของ Stray Kids ที่เรียบเรียงใหม่จนเหมือนกลายเป็นผลงานตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นสามนาทีแรกยังเป็นการถ่ายทำแบบลองเทค (ถ่ายยาวไม่ตัดต่อ) เสียด้วย ตบท้ายด้วยช็อตมินฮยอกถอดเสื้อที่ทำเอาผู้แข่งขันทีมอื่นพากันกรีดร้อง

The Boyz

ตำแหน่งผู้ชนะจาก Road to Kingdom กลายเป็นสิ่งที่มาย้อนทำร้ายพวกเขาเสียเอง เนื่องจาก The Boyz ปล่อยของไปหมดแล้วในรายการก่อนหน้า ไม่ว่าจะเทคนิคการสลับมุมกล้องหรือการใช้พร็อพสุดอลังการต่างๆ นานา โชว์ของวงเลยอาจจะดูจืดลงไปบ้าง แต่พวกเขาก็เปลี่ยนไปเน้นด้านเพอร์ฟอร์แมนซ์แทน โดยเฉพาะการเต้นที่พร้อมเพรียงยิ่งกว่าเดิม โดยเฉพาะตอนคัฟเวอร์เพลง "Monster" ของ EXO แต่ส่วนตัวแล้วผู้เขียนชอบโชว์ที่พวกเขาร้องเพลง "O Sole Mio" ของ SF9 ในแง่ไลน์เต้นและโปรดักชันดีไซน์ที่เล่นกับธีมสีดำ-แดง-ทองได้อย่างสวยงาม

Stray Kids

อาจเป็นอีกวงที่แต่ละการแสดงค่อนข้างคล้ายกัน ด้วยคอนเซ็ปต์หมาป่าที่วงเกาะเกี่ยวไปตลอดรายการ หรือมุกตอนจบที่ปิดเพลงด้วยคณะแดนเซอร์หลายชีวิต แต่คนดูต่างยอมรับว่าทุกโชว์ของ Stray Kids ล้วนทรงพลัง หนักแน่น น่าติดตาม และมี ‘ช็อตจำ’ เสมอ เช่น ฉากที่ฟิลิกซ์กระโดดผาดโผนในเพลง "Wolf" ของ EXO (นั่นไง หมาป่าอีกแล้ว) ที่คอลแลบกับสมาชิกวง BtoB และ ATEEZ แต่โชว์ยอดเยี่ยมของวงน่าจะเป็นการมิกซ์เพลง "Ddu-Du Ddu-Du" (BLACKPINK) เข้ากับ God's Menu ของตัวเองอย่างชาญฉลาด แถมการแทรกมุกจากหนัง Deadpool และ Ant-Man ก็ยิ่งทำให้ดูสนุกเข้าไปอีก

            

อย่างไรก็ดี โชว์ที่ผู้เขียนเห็นว่าเหมาะสมสำหรับการเรียกว่าเป็น ‘ตำนาน’ น่าจะเป็นเพลง "Love poem" (ของ IU) ที่ขับร้องโดย อึนกวัง (BtoB), ซึงมิน (Stray Kids) และ จงโฮ (ATEEZ) ที่ประสานเสียงได้อย่างลงตัว ไม่โชว์พาวจนเกินไป ออกมาลึกซึ้งกินใจ ชนิดที่ว่าไอยูเองยังเอาไปชื่นชมในไอจีสตอรี่ของเธอเอง

ก็ถือว่าจบกันไปอีกรายการ แต่อย่านึกว่าจะหมดเรื่องหมดราวกันง่ายๆ เพราะเดี๋ยว Mnet ก็จะมีรายการเซอร์ไววัลใหม่ชื่อ Girls Planet 999 ที่จะออนแอร์เดือนสิงหาคมนี้ เป็นการแข่งขันของไอดอลหญิงจากเกาหลี จีน และญี่ปุ่น เรียกได้ว่าวงการเคป็อปนี่มีการแข่งขันอย่างไม่สิ้นสุดเสียจริง! 

____________________

kanchat

ผู้เขียน - คันฉัตร รังษีกาญจน์ส่อง

(Kanchat Rangseekansong)

เปิดโลกดนตรีและไอดอลกับคันฉัตร

อัลบั้มภาพ 6 ภาพ

อัลบั้มภาพ 6 ภาพ ของ Kingdom: Legendary War กับการแสดงที่เป็นตำนาน โดย คันฉัตร รังษีกาญจน์ส่อง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook