ไขความสำเร็จ K-POP กับหนทางสู่อันดับ 1 ในตลาดอเมริกา | Sanook Music

ไขความสำเร็จ K-POP กับหนทางสู่อันดับ 1 ในตลาดอเมริกา

ไขความสำเร็จ K-POP กับหนทางสู่อันดับ 1 ในตลาดอเมริกา
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ยุค ‘90s เป็นช่วงที่ K-POP เริ่มจุดกระแสดังเปรี้ยงปร้างจนกระจายไปทั่วภูมิภาคเอเชีย แฟนเพลงในภูมิภาคเดียวกันคงทราบกันดีถึงความฮอตของศิลปินจากเกาหลีใต้ แม้ K-POP ในช่วงนั้นจะโด่งดันจนสามารถตีตลาดเพลงญี่ปุ่นซึ่งเป็นตลาดเพลงที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกและใหญ่ที่สุดในเอเชีย แต่ยังคงไม่สามารถก้าวไปสู่ตลาดเพลงอันดับ 1 ของโลกอย่างอเมริกาได้

หากย้อนกลับไปเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ค่าย Big 3 ของเกาหลีอย่าง YG, SM และ JYP ใช้ความพยายามเป็นอย่างมากเพื่อผลักดันศิลปินในสังกัดเข้าสู่ตลาดเพลงอเมริกา เริ่มตั้งแต่ยุคบุกเบิกของค่ายอย่าง BOA, SE7EN, Wonder Girls จนถึงยุคปัจจุบันอย่าง BTS และ BLACKPINK

K-POP กับความพยายามกว่าทศวรรษ

มีศิลปินมากมายที่ถูกส่งไปอเมริกาเพื่อหวังจะบุกตลาดเพลงอเมริกา เช่น ศิลปินชื่อดังชาวเกาหลีใต้จากค่าย YG อย่าง SE7EN หรือ ชเวดงอุค ที่ปล่อยมิวสิกวิดีโอเพลง “Girls” เดบิวต์ในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2009 ซึ่งเพลงนี้ได้แรปเปอร์สาวชาวอเมริกันชื่อดังอย่าง Lil' Kim มาร่วมฟีเจอริง โดยผู้ที่มารับหน้าที่โปรดิวซ์ คือ Darkc hild ที่เคยทำงานเพลงร่วมกับศิลปินชื่อดังอย่าง Michael Jackson, Janet Jackson, Britney Spears และอีกมากมาย แม้เขาใช้เวลาเกือบ 2 ปี เพื่อเตรียมตัวบุกตลาดเพลงอเมริกา แต่การเดบิวต์ครั้งนี้กลับไม่ค่อยประสบความสำเร็จมากนัก

ความหวังของวงการ K-POP จุดประกายขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อ BoA จากค่าย SM และ Wonder Girls จากค่าย JYP กลายเป็นศิลปินเกาหลีใต้กลุ่มแรกที่ติดชาร์ต Billboard 200 และ Hot 100 ในปี 2009 ซึ่ง BoA หรือ ควอนโบอา เป็นศิลปินเกาหลีคนแรกที่ได้ไปเดบิวต์ที่อเมริกา โดยทางต้นสังกัดของเธออย่าง SM ลงทุนทุ่มเงินจำนวนมากจ้างโปรดิวเซอร์ระดับโลกอย่าง Diane Martel ที่เคยร่วมงานกับศิลปินระดับโลกอย่าง Mariah Carey, Christina Aguilera, Justin Timberlake, Jennifer Lopez และอีกมากมาย BoA เดบิวต์เพลง “Eat You Up“ แม้พลังเสียง กับ ท่าเต้นของเธอ จะเป็นที่ชื่นชมของโปรดิวเซอร์อย่างมาก แต่การเดบิวต์ครั้งนี้ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร

เช่นเดียวกับ Wonder Girls ที่แม้เพลง Nobody“ ได้รับความนิยมไปทั่วเอเชีย อีกทั้งยังสามารถติดชาร์ต Billboard Hot 100 ของสหรัฐอเมริกาได้ จนทางต้นสังกัดของพวกเธออย่าง JYP ส่ง Wonder Girls ไปบุกตลาดเพลงอเมริกา ซึ่งการตัดสินใจครั้งนั้นนับว่าผิดพลาดเป็นอย่างมาก นอกจากพวกเธอจะไม่ประสบความสำเร็จในตลาดเพลงอเมริกาแล้ว กระแสของพวกเธอในเกาหลีใต้และเอเชียก็แผ่วลงไปด้วย ยางฮยอนซอก ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งประธานต้นสังกัดของ YG กล่าวว่า ความพยายามของ JYP ในการส่ง Wonder Girls บุกตลาดเพลงอเมริกานั้นยากเข้าขั้น "งมเข็มในทะเลทราย"

ในปี 2012 ถือเป็นปีที่สร้างปรากฏการณ์ฟีเวอร์ให้กับวงการเพลงเกาหลีใต้เป็นอย่างมาก เนื่องจากเพลง “Gangnam Style” ของ PSY หรือ พักแจซัง จากค่าย YG ได้รับความนิยมถล่มทลายจากทำนองเพลงติดหูและท่าเต้นควบม้าสุดฮิต ส่งผลให้ยอดวิวเพลงบนยูทูบในขณะนั้นของ PSY แซงหน้าศิลปินระดับโลกอย่าง Justin Bieber, Carly Rae Jepsen, One Direction, Katy Perry และอีกมากมาย นอกจากนี้ยังขึ้นอันดับ 2 ในชาร์ต Billboard Hot 100 หลายสัปดาห์ ส่งผลให้ “Gangnam Style” กลายเป็นเพลงฮิตแห่งปี 2012 เรียกได้ว่าไม่เคยมีศิลปินคนไหนในวงการ K-POP เคยทำได้มาก่อน PSY ถือเป็นศิลปินที่บุกเบิกเส้นทางเข้าสู่ตลาดเพลงอเมริกาของ K-POP ถึงเขาจะโด่งดังเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกแต่เขาไม่สามารถก้าวไปสู่ศิลปินระดับโลกได้ เพราะแม้ PSY จะได้เซ็นสัญญากับค่าย Island Records ที่มีศิลปินชื่อดังอย่าง Elton John, Shawn Mendes และอีกมากมาย แต่หลังจากเพลง “Gangnam Style” ก็ยังไม่มีผลงานไหนดังเปรี้ยงปร้างอีกเลย ซึ่งหลังจากการสร้างปรากฏการณ์ของ PSY ก็มีศิลปินชื่อดังชาวเกาหลีใต้มากมายที่พยายามบุกตลาดอเมริกาแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร

เหตุผลในการผลักดัน K-pop เข้าสู่ตลาดเพลงอันดับ 1 อย่างอเมริกา

ความพยายามในการผลักดันศิลปินเกาหลีใต้ให้มีที่ยืนในระดับโลก ไม่ใช่แค่การสร้างรายได้ให้กับประเทศ, สร้างวัฒนธรรม Hallyu หรือ Korean Wave ให้แพร่ขยายไปทั่วโลกเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงความมั่นคงและความก้าวไกลในอนาคตของ K-POP เนื่องจากอุตสาหกรรมบันเทิงเกาหลีใต้ถูกรัฐบาลจีนคว่ำบาตรในปี 2016 ทำให้ศิลปินชาวเกาหลีใต้ถูกห้ามไม่ให้ปรากฏตัวผ่านสื่อจีน สินค้าที่ใช้รูปศิลปินเกาหลีต้องถูกลบออก มิวสิควิดีโอ K-POP ถูกบล็อกไม่ให้สตรีมมิ่งในประเทศจีน คอนเสิร์ตศิลปินเกาหลีทั้งหมดในจีนถูกยกเลิก จากปรากฏการณ์ดังกล่าว ส่งผลให้อุตสาหกรรมบันเทิงเกาหลีใต้ที่ขณะนั้นกำลังกวาดกำไรจำนวนมากในตลาดจีนเสียหายเป็นอย่างมาก แฟนเพลงเกาหลีคงรู้กันดีว่า แฟนคลับชาวจีนมีกำลังซื้อมากขนาดไหน การถูกจีนคว่ำบาตรในครั้งนั้นส่งผลให้เศรษฐกิจของเกาหลีใต้หยุดชะงัก ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้นค่ายเพลงเกาหลีจึงต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อที่จะบุกตลาดอเมริกาให้เป็นแหล่งรายได้ของอุตสาหกรรมเพลงเกาหลีใต้

ความสำเร็จที่ฉุดไม่อยู่ของ BTS และ BLACKPINK

หลังจากความพยายามกว่าทศวรรษ ในท้ายที่สุด K-POP สามารถตีตลาดเพลงอเมริกาได้ นาทีนี้คงไม่มีใครหยุดความปังของ 2 หัวหอกอย่าง BTS จากค่าย Bighit และ BLACKPINK จากค่าย YG ที่ผลักดันกระแส K-POP เข้าสู่ตลาดเพลงอเมริกาอย่างเป็นทางการ ถึงขั้นสื่ออเมริกาขนานนามว่า เป็น ศิลปิน K-POP ชายและหญิงที่โด่งดังมากที่สุดในโลก หากมองในแง่ของผลงานและการทำลายสถิติหลายต่อหลายครั้ง คงไม่มีใครปฏิเสธชื่อเสียงนี้ได้

เริ่มด้วยบอยแบนด์อย่าง BTS หรือ บังทัน ที่แม้ช่วงแรกคนจะไม่ได้ให้ความสนใจเท่าที่ควรนักเมื่อเทียบกับบอยแบนด์จากค่าย Big3 ของเกาหลีอย่าง YG, SM และ JYP แต่ด้วยความเก่งกาจทั้งการร้อง เต้น จนถึงแต่งเพลงของสมาชิกทั้ง 7 คนของวง ทำให้ BTS ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากหลังจากปล่อยเพลง “I Need U” จากอัลบั้ม The Most Beautiful Moment in Life: Young Forever จนได้รับรางวัล อัลบั้มยอดเยี่ยม จาก Melon Music Awards 2016 หลังจากนั้น BTS ก็ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง จนสามารถสร้างรายได้อย่างถล่มทลาย ทำให้บริษัท Bighit ที่เกือบจะล้มละลายเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงเท่านั้น บังทัน ยังเป็นศิลปิน K-POP กลุ่มแรกที่สามารถตีตลาดเพลงอเมริกาและยุโรป จนต้นสังกัดอย่าง Bighit ก้าวขึ้นไปเป็น Big 4 ของเกาหลีอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด เพราะตั้งแต่สิบกว่าปีก่อน ก็ไม่มีค่ายเล็กไหนก้าวขึ้นมาเทียบเคียงจนสามารถเป็น Big 4 ได้ แม้กระทั่งค่ายเพลงของเจ้าแม่ครองชาร์ตเพลงอย่าง IU

BTS สร้างประวัติศาสตร์มากมายให้กับวงการ K-POP จากการตีตลาดเพลงอเมริกา เช่น การได้รับรางวัล Top Social Artist เป็นเวลา 4 ปีซ้อนนับตั้งแต่ปี 2017 ซึ่งเป็นรางวัลที่ Justin Bieber เคยชนะถึง 6 ปีซ้อน จากงาน Billboard Music Awards ได้รับรางวัล Favorite Social Artist ในปี 2018-2020 และ Favorite Duo or Group – Pop/Rock ในปี 2019 และ 2020 จากงาน American Music Awards นอกจากนี้อัลบั้ม Love Yourself: Tear ส่งผลให้ BTS กลายเป็นศิลปิน K-POP กลุ่มแรกที่มีอัลบั้มเปิดตัวอันดับ 1 ในชาร์ต Billboard Hot 200 หลังจากนั้นทุกอัลบั้มของ BTS อย่าง Love Yourself: Answer, Map of the Soul: Persona, Map of the Soul: 7 และ BE ต่างเปิดตัวอันดับ 1 ทั้งสิ้น ทำให้ BTS สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการมีอัลบั้มเปิดตัวที่ 1 ติดต่อกัน 5 อัลบั้ม เทียบเท่าสถิติของศิลปินระดับตำนานอย่าง The Beatles ที่เคยทำสถิติไว้ที่ 4 อัลบั้มเมื่อปี 1968 ซึ่งจากปรากฏการณ์เหล่านี้ทำให้สื่อต่างชาติตั้งฉายาให้ BTS ว่าเป็น The Beatles แห่งศตวรรษที่ 21

ทางฝั่งเกิร์ลกรุ๊ปอย่าง BLACKPINK ก็ไม่น้อยหน้า เพราะตั้งแต่ความนิยมของ 4 สาว ก่อตัวขึ้นมาในปี 2016 กราฟของพวกเธอไม่เคยตกลงอีกเลย เมื่อปี 2018 BLACKPINK ทำสถิติเป็นศิลปินหญิงเกาหลีที่มีซิงเกิลเปิดตัวติดชาร์ตในสหรัฐ อันดับสูงสุดในประวัติศาสตร์ จากเพลง “Ddu-Du Ddu-Du” ไม่เพียงแค่ความสำเร็จในชาร์ทเพลงเท่านั้น แต่ความนิยมของ BLACKPINK ในตลาดอเมริกา เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้จากการที่ 4 สาวออนทัวร์ในอเมริกาเหนือ 6 เมือง และตั๋วขายหมดทุกรอบ นอกจากนี้ BLACKPINK ยังเป็นศิลปิน K-POP หญิงกลุ่มแรกที่ได้ขึ้นโชว์ในเทศกาล Coachella เมื่อปี 2019 ขณะที่รายการทีวีโชว์ดังๆ ของอเมริกา เชิญพวกเธอไปออกรายการอย่างล้นหลาม ไม่ว่าจะเป็น Good Morning America ของช่อง ABC รายการ Late Show with Stephen Colbert ทางช่อง CBS และอีกมากมาย 

ไม่เพียงเท่านั้น BLACKPINK ยังทำลายสถิติ เป็นวง K-POP วงแรกที่มียอดผู้ติดตามทะลุ 60 ล้าน บน Youtube ทำให้ 4 สาว กลายเป็นศิลปินที่มียอดผู้ติดตามมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากศิลปินเบอร์ 1 อย่าง Justin Bieber ถือเป็นปรากฏการณ์สำคัญสำหรับวงการเพลงเกาหลี นอกจากนี้พวกเธอยังสร้างประวัติศาสตร์บนยูทูป โดยการกวาด 10 อันดับแรกของมิวสิควิดีโอเพลงของศิลปิน K-POP หญิงที่มียอดวิวสูงสุดไปครองทั้งหมด และอีกมากมายที่พวกเธอสร้างประวัติศาสตร์ไว้ เรียกได้ว่า ไม่เคยมีเกิร์ลกรุ๊ปวงไหนทำได้มาก่อน

 

BTS และ BLACKPINK ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับ K-POP โดยการบุกตลาดเพลงอเมริกา อีกทั้งยังสร้างกระแสฟีเวอร์ให้กับวงการเพลงเกาหลีใต้ ทำให้ชาวต่างชาติจำนวนมากเริ่มให้ความสนใจใน K-POP ในอนาคตเราอาจจะได้เห็นศิลปิน K-POP วงอื่นๆ บุกตลาดอเมริกา รวมถึงตลาดโลกได้อีก และบทเรียนจากความสำเร็จของ K-POP อาจน่าสนใจมากพอที่จะทำให้คนในวงการเพลงบ้านเราดัน T-POP สู่ตลาดโลกได้บ้าง 

Story: Pornnapat W.

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook