หมู พงษ์เทพ เผยป่วยจนเล่นกีตาร์ไม่ได้ ย้อนเรื่องรักที่ถูกกีดกันจนเป็นเพลง "น้ำตาหอยทาก"
ถือเป็นศิลปินเพื่อชีวิตระดับตำนานของประเทศไทย ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจริงๆสำหรับ หมู-พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ เมื่อได้มาแขกรับเชิญคนพิเศษในรายการ Club Friday Show ผลิตโดย CHANGE2561 เจ้าตัวก็ได้เปิดใจแบบหมดเปลือกในทุกเรื่องราวชีวิตตั้งแต่ที่กว่าจะได้เข้ามาในเส้นทางสายดนตรีชีวิตก็ลำบากมาก ส่วนในเรื่องหัวใจชีวิตนี้ไม่เคยที่จะอยากแต่งงานกับใคร แต่พอเจอคนที่อยากแต่งงานใช้ชีวิตด้วยก็ต้องผิดหวังสะเทือนใจอย่างหนักเพราะครอบครัวผู้หญิงที่รักให้เลือกทิ้งไมค์และไปค้าขาย พร้อมเล่าอาการเส้นเลือดในสมองตีบทำให้ตอนนี้เล่นกีตาร์ไม่ได้ตอนนี้ได้เพียงแต่อุ้มไว้เท่านั้น
ย้อนกลับไป น้าหมู พงษ์เทพ กระโดนชำนาญเข้าวงการมาได้ยังไงก่อนที่จะได้มาอยู่ตรงนี้?
หมู พงษ์เทพ : คือ ผมได้เรียนศิลปะ ที่เรียนไม่ได้สอบได้นะครับ คือเขารับ 30 คน แต่คนมาสมัคร 28 คนเลยได้ คือ เรียนไปเราเขียนรูปก็ไม่เก่ง ครูก็บอกว่า หมู … ครูว่าหมูจบเลยนะ ไม่ต้องเรียนแล้วไปทำงานเถอะ เราก็เดินออกจากโรงเรียนไปด่านเกวียนไปทำเตาเผาไปปั้นนกฮูก ปั้นโอ่ง ปั้นไห ตอนเรียนชอบเป่าขลุ่ยชอบดนตรี เข้าวงการคือ ผมมาอยู่ด่านเกวียนปั้นโอ่ง ปั้นไห่ ไปวันหนึ่ง หงา (คุณสุรชัย จันทิมาธร) เขาตั้งวงคาราวานแล้วเขามีเพลงเพลงหนึ่งเพลง “นกสีเหลือง” เพลงนี้ต้องประกอบด้วยขลุ่ย เขาไปเล่นที่โคราชเขาก็ถามว่าเพื่อนๆเขาว่ามีเพื่อนที่เป่าขลุ่ยเป็นไหม เพื่อนก็บอกว่า หมู ไงชอบเป่าขลุ่ยมีขลุ่ยเต็มบ้านเลยก็ไปรับผมที่ด่านเกวียน ไปเป่าขลุ่ยที่โรงภาพยนตร์ลาสเวกัสเพลง “นกสีเหลือง” ผมไม่เคยได้ยินเลยตอนนั้นผมก็ไว้ผมยาว ใส่ชุดสีดำ ม่อฮ่อม เราก็ถาม พี่หงา ว่าเป่ายังไงเขาก็บอกเราว่าอยากเป่ายังไงก็เป่าไปเถอะ พอเพลงขึ้นเราก็เป่าไปตามเพลงพอจบเพลงคนก็ตบมือใหญ่เลย พอเราเป่าเสร็จเพลงนั้นเพลงเดียวเราก็ลงจากเวทีแล้วก็กลับด่านเกวียนเลย ตอนนั้น พี่หงา เขาเป็นเจ้าแรกที่พยายามจะสร้างเพลงเพื่อชีวิตขึ้นมา แต่ก่อนผมไม่รู้ผมเรียก หงา เรียกเป็นเพื่อนไม่รู้ว่าแกอายุมากกว่าผมตั้งหลายปี ตอนหลังเลยต้องเรียก พี่
ซึ่งในช่วงชีวิตหนึ่งของ น้าหมู เคยลำบากมาก?
หมู พงษ์เทพ : เราไปอยู่กับครอบครัวหนึ่งเขามีพ่อ แม่ ลูกเนอะเขาก็ซื้อข้างถุงสามถุงกินกันสามคนเขาก็จะแบ่งให้เราเราก็บอกว่าไม่เอาอิ่มแล้วเราก็เลยลงมาข้างล่างให้เขาได้กินข้าวกัน ช่วงนั้นคือ ดินแดงน้ำท่วมเราอยู่ตรงแฟลตดินแดงตอนนั้นอุจจาระลอยมาตอนนั้นเราคิดว่าอยากเป็นหมามาก คือ ถ้าเป็นหมาก็อิ่มไปแล้วเพราะกินอุจจาระได้ ตอนนั้นมันไม่มีเงิน ไม่มีอะไรเลยสักอย่างช่วงไม่นานหรอกแต่ช่วงไม่นานมันเป็นความไม่นานที่จมดิ่งที่สุดมันรู้สึกว่านาน ทรมานมาก จากโคราชจะมานี่ก็ขอเงินเพื่อนนะ แล้วก็ขอรองเท้าเพื่อนมาคู่หนึ่ง แต่พอเพลงคนกับหมาออกคือ ที่นี่ยืดๆ ตั้งวง ที่มาของเพลง "คนกับหมา" คือ แอ๊ด เขากำลังนั่งเขียนเพลง "ชีวิตฉันมีแต่หมาพาไป" เขาก็บอกเราว่าพี่ต้องร้องเพลงนี้เหมาะกับพี่มากเราก็ช่วยกันขัดเกลา เล็ก เขาก็เอากีตาร์มาแจมเขาก็บอกว่าใช่ๆพี่หมูต้องร้องเพลงนี้เพราะท่าทางแปลกๆน้ำเสียงแปลกๆอะไรแปลกๆต้องพี่ตอนนั้น คาราบาวเขาทำ เมด อิน ไทยแลนด์ ตอนนั้นดังมาก ตอนนั้นที่เขาจะขาย เมด อิน ไทยแลนด์ ให้แกรมมี่เขาก็เอาผมไปด้วย อากู๋ ก็ยังไม่รู้จัก หมู พงษ์เทพ คนไหนก็ไม่รู้ พอฟังเพลงชีวิตฉันมีแต่หมา เฮ้ย มันดูถูกคนตาบอดหรือเปล่าสมาคมคนตาบอดเขาไม่ชอบอะไรแบบนี้นะ เราก็บอก อากู๋ อย่างไปคิดอย่างนั้นสิคิดว่ามันเป็นเพลงมันตลก แอ๊ด เลยบอกว่าถ้าไม่เอาพี่หมู ด้วย คาราบาวไม่ต้องขายคือเขาก็หวังดีกับเรา แกรมมี่ ก็เลยเอาคาราบาว พงษ์เทพ แถมแต่พ่วงไปคือดังทั้งคู่เลย แล้วคนแถวต่างจังหวัด พวกเจ้านายที่เป็นข้าราชการไม่กล้าเดินหน้าเลยตอนเที่ยงกลัวเป็นหมา (หัวเราะ) เพราะมีคนมากระซิบเราพี่ๆ เขียนเพลงนี้ผมไม่กล้าให้ลูกน้องเดินตามเลย แต่ว่าเอาเข้าจริงๆ แล้วเพลงคนกับหมา คือ เป็นเพลงที่ แอ๊ด เริ่มต้นที่จะเขียนออกมาให้เรามันไม่ใช่ตัวเรา 100 เปอร์เซ็นต์ เราก็ยังนึกว่าสักวันต้องเป็นตัวเราก็เลยเขียนเพลง "ตังเก" คือ ตัวจริงเลย ตอนนั้นมหาวิทยาลัยรามคำแหงเขาจัดรับน้องที่ ปากน้ำปราณบุรี แล้วเขาเชิญผมไปเล่นเมื่อก่อนนั้นเล่นคนเดียว พอเล่นเสร็จก็นอนกับเขา พอเช้าก็หากินกาแฟก็ได้ยินพวกตังเกเขาสาวแห เขาทุ่นแหกัน เราก็คิดมีแต่คนโคราช คนขอนแก่น คนอุดรธานี สำเนียงเขาก็เล่าว่ามาจากขอนแก่น บางคนมาจากอุดรธานี จำเป็นต้องมาลงทะเล เมาคลื่นก็ฝันว่ามีงานทำก็จะมีเรือสักลำ เราก็ขอออกทะเลไปกับเขาด้วยนะ อยากรู้ว่าการเมาทะเลเป็นยังไงไปครั้งเดียวเลยอ้วกเขียวอ้วกแดงเลย กลับมาก็เขียนไม่นาน แต่เก็บไว้อยู่ 2 ปี ไม่กล้าเอามาร้องเพราะว่ากลัวว่าจะเป็นลูกทุ่งเกินไป จนกระทั่งมาทำอัลบั้ม คนจนรุ่นใหม่ อากู๋ ก็บอกว่า หมู ขออีกสักเพลงนะเพราะเพลงมันยังไม่โจ๊ะๆ เท่าไหร่ยังเหลือเพลง "ตังเก" ก็เลยเอามาใส่ลงไปคือ ประสบความสำเร็จมาก พิมพ์วันละหมื่นม้วน ผมยกปกไปพิมพ์จนเจ็บเอว ตอนนั้นรายได้คือ ตอนนั้นม้วนละ 10 บาทขายได้ประมาณหนึ่งล้านสี่แสนม้วน ได้เงินมา 14 ล้านบาทก็ไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไร เงินเยอะมากมันน่าแปลกนะผมใช้เงินไม่เป็นเลย เราก็ปรึกษาพี่เล็ก คาราบาวว่าเงินเยอะขนาดนี้ทำอะไรดี พี่เล็ก ก็บอกว่าหาเลี้ยงเหล้าเพื่อนไปเรื่อยๆ (หัวเราะ)
ขอมาพูดถึงเรื่องความรักของ น้าหมู กันบ้างย้อนกลับไป พอพูดถึงความรักครั้งแรกที่เห็นมันเป็นดวงขึ้นมาไหม?
หมู พงษ์เทพ : ชีวิตผมมันค่อนข้างอาภัพนะ เหมือนโบราณที่บอกว่าถ้าเรามุ่งมั่นเป็นศิลปินมันต้องขายวิญญาณมันต้องทุ่มเททั้งหมดจะเจ็บ จะปวด จะรวดร้าวอย่างไร เราก็ต้องยอมเพราะว่าเราขายไปแล้วเราให้มันไปแล้วเหมือนซาตานมาเอาวิญญาณเราไปเพื่อเป็นข้อแลกเปลี่ยนให้เราเป็นศิลปินครั้งแรกที่เจอตอนอยู่ในป่า “นกเขาไฟ” เพลงนี้ผู้หญิงคนหนึ่งคนชนชาติลัวะ ผู้หญิงจะเป็นผู้ที่ชี้นำทุกเรื่องแม้กระทั่งเรื่องความรัก สมมติเขารักผมเนี่ยเขาจะไปปลุกต้นยาสูบพอแก่แล้วก็จะมาหั่นมาซอยแล้วหมักด้วยน้ำผึ้งไปแขวนไว้ที่ชายคาบ้านให้น้ำหมอกน้ำค้าง ให้แดดอ่อนๆลูบไล้ยาสูบของเธอให้นุ่มนิ่มหอมหวานแล้วก็ไปเด็ดใบสะลอเปามาพันยาเส้น แล้วก็ไปปลูกต้นกัญชง แล้วไปวางให้แม่น้ำซัดสาดเส้นใยที่อ่อนแอขาดไปเหลือเส้นใยที่แข็งแรงมาถักเป็นด้ายย้อมด้วยสีแดงจากต้นชาดมาเอาย้อมแดงแล้วด้ายนี้เอามาพันเป็นยาสูบแล้วยื่นให้นั่นแหละคือบอกว่า ฉันรักเธอ ผมก็เอาไปแต่งเพลง “นกเขาไฟ” คือนกเขาไฟมันตัวเล็กแต่มันแข็งแรง โต้ลม โต้พายุได้ ผู้หญิงที่เขาชอบผมเขาเป็นผู้นำวัยรุ่น เป็นคล้ายๆแกนนำของกลุ่มวัยรุ่นเขาเอายาเส้นมายื่นให้ผม เขาเป็นผู้หญิงที่สวยมากหัวเถิงเพราะว่าเขาเป๊อะ คือ แบก เอาหนังพาดหัวไว้วางของแล้วมัดไปที่เก๊อะ คือ ตะกร้าใส่ข้าว แล้วก็พันหัวเดินขึ้นเขาแล้วเดินกล้ามน่องเป็นมัดๆเลยสวยมาก ผมก็บอกว่าเราแต่งงานกันไม่ได้หรอกเพราะว่าผมเป็นคนที่ราบ เขาเป็นคนบนภู เพราะผมขึ้นไปไม่ได้เพราะภูมันสูง คุณก็ลงไม่ได้เพราะว่าห้วยมันลึก เป็นความรักครั้งแรกบนเขา เราก็รู้สึกประทับใจเขาเพราะว่าเขาเป็นเพื่อนที่ดีมากแล้วก็แข็งแรง ปกป้องเราได้ เขาขอเราแต่งงานด้วย
ที่สุดแล้วอีกหนึ่งเพลงที่มีแรงบันดาลใจมาจากผู้หญิง หรือว่าเป็นแรงบันดาลใจมากจากความรักด้วยคือเพลงอะไร?
หมู พงษ์เทพ : ที่หนักที่สุดและที่สะเทือนที่สุด คือเพลง "น้ำตาหอยทาก" คือเรารู้จักผู้หญิงมาหลายๆ คนแต่พอมาเจอผู้หญิงคนนี้แล้วเนี่ย วันนั้นเรารู้สึกว่าอยากจะแต่งงานด้วยเลย เพราะชีวิตของผมไม่รู้สึกถึงเรื่องแต่งงานเลยแต่ว่าทางฝ่ายหญิง พ่อแม่เขาเนี่ย เขาจะเป็นคนจีนเขาจะค้าขาย แม่เขาก็เสนอว่าถ้าจะอยู่กับลูกเขาต้องเลิกร้องเพลงแล้วมาค้าขาย เราก็ไม่ได้ ไม่ใช่เรา ความรักครั้งนี้มันเป็นครั้งหนึ่งที่สะเทือนอารมณ์ที่สุดพอสมควร ตอนนั้นเราก็มีชื่อเสียงแล้วเพราะความรักครั้งนี้มาหลังเพลง "ตังเก" ซึ่งเราก็บอกว่าไม่ได้หรอก อีกอย่างหนึ่งคือผมหวงแหนความเป็นตัวเองเยอะจะไม่ให้ใครมาเปลี่ยนอะไรได้เราเลยนึกว่าเอ๊ะ … ถ้าเราหวงความเป็นตัวเองมาก เขาก็ต้องหวงตัวเองด้วย หวงบ้านด้วยถ้าอย่างนั้นก็โอเคก็เสียใจบ้างอย่างไปฟูมฟายเพราะว่าเรายังหวงตัวเราไม่อยากให้ใครมาเปลี่ยน เขาก็อยากให้ลูกเขาเป็นอย่างนั้นตามวิถีที่เขาคิดอย่างนั้น เราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปก้าวก่ายหรือต่อว่าต่อขาน ที่เขาไม่ชอบให้เราร้องเพลงเพราะว่าเขามีความคิดเก่าๆอยู่ว่า เต้นกินรำกินมันไม่ยั่งยืน
เราพยายามทำให้เขาเห็นไหมว่าเราสามารถเลี้ยงเขาได้?
หมู พงษ์เทพ : ทำนะครับ เราไปอยู่บ้านเขาด้วยไปทำร้านอาหาร เราก็ทำทุกอย่าง คือเข้าใจว่าเราทำอะไรก็ได้แต่ต้องร้องเพลง แต่เขาบอกว่าร้องเพลงไม่ได้ หลังจากนั้นเราก็ไปหาเพื่อนที่เขาใหญ่นั่งใต้ต้นไทรใหญ่ข้างๆมีห้องน้ำที่โรงแรม แล้วเพื่อนก็เดินไปเข้าห้องน้ำ เดินมาบอกเราว่าเสียใจ เหยียบหอยทากร้องไห้ระงมเลย เราก็ถามกลับไปว่าเห็นน้ำตาหอยทากเหรอ เราก็เขียนเพลงเลย เธอบอกว่ารักนั้นกินไม่ได้ เธอไม่เข้าใจยามรักไม่กินก็อิ่ม คือ "น้ำตาหอยทาก" หัวใจของเราเหมือนหอยทากถูกเหยียบ ตอนแรกออกมาสี่เดือนแรกขายไม่ได้นะ เพราะว่าคนฟังงงมันเป็นยังไง "น้ำตาหอยทาก" หลังจากสี่เดือนหลังจากนั้นถึงขายได้ห้าแสนกว่าม้วน
ย้อนมาเรื่องสุขภาพ ได้ยินว่าคุณใช้เงินกับการรักษาเยอะมาก?
หมู พงษ์เทพ : มนุษย์เราแปลกทุ่มเททำงานหนักไม่หลับไม่นอนไม่กิน เก็บเงินเก็บทองเต็มบ้านไม่ห่วงตัวจนกระทั่งวันหนึ่งเกิดเจ็บป่วยขึ้นมา ก็ต้องขายทรัพย์ทั้งหมดที่หามาได้เพื่อที่จะมารักษาตัวเอง ซึ่งเราทำอย่างนั้นทำไมถึงเวลาแล้วที่จะต้องตัดตัวเองบ้างว่าควรทำงานขนาดไหน พักผ่อนขนาดไหน มันเลือกได้และบังคับตัวเองได้ ซึ่งตั้งแต่ที่ผมไม่สบายก็เลิกเหล้า แต่บุหรี่ไม่สูบอยู่นานแล้วสามสิบปีแล้ว ซึ่งในช่วงที่ผมป่วยใช้เงินในการรักษาตัวเองเยอะมากครับ ขายบ้าน ขายรถ ขายม้า ขายหมดเลยครับ ชีวิตของผมคือหมดแล้วก็มี เพราะจริงๆ มะเร็งไม่ได้เป็นโรคภัยไข้เจ็บเดียวที่ผมเจอ เพราะหลังจากนั้นก็มาเจอเส้นเลือดตีบอีก หลังจากนั้นมาประมาณปี 2562 เพราะว่าเครียดแล้วก็เดินทางมาก ทำงานหนักเพราะว่าของขายไปหมดเราก็อยากได้ทรัพย์กลับคืนมาผู้จัดการก็หางานเก่งบางทีบางเดือนนะครับ 18-20 งานไม่ได้เข้าบ้านเลยนอนโรงแรมเสมือนเป็นบ้านไปเลย
แล้วตอนนี้อาการป่วยตอนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?
หมู พงษ์เทพ : ผมเลิกที่บาร์ โรงเบียร์เยอรมันพระราม 2 กลับมาเข้าที่โรงแรมเปิดน้ำอุ่นกำลังจะอาบน้ำแล้วเรารู้สึกวูบมันชาไปครึ่งตัวเลย มันชาแล้วเหมือนจะล้มผมก็เลยรีบประคองตัวเองแล้วบอกน้องว่าให้พาเราไปโรงพยาบาลหน่อยไม่รู้ว่าเป็นอะไร เขาก็ให้นอนหมอก็เอ็กซ์เรย์ก็ไม่เจอแต่สันนิษฐานว่าเป็นเส้นเลือดอุดตันชั่วคราว ความดันคงสูงแล้วมันดันเลือดไปอุดตันแล้วมันก็หลุดเข้าไปแค่วินาทีเดียว ร้ายแรงมากข้างนี้หมดความรู้สึกเลย เดี๋ยวนี้ยังเล่นกีตาร์ไม่ได้เลย ด้านนี้ปัจจุบันก็ยังไม่ปกติ คือ มันเหมือนชำรุดไปแล้ว หมอบอกว่าพอเส้นสมองที่มันเลี้ยงฝั่งนี้ตีบเลือดมันไม่ลงมาเลี้ยง มันก็เลยเสียไปครึ่งหนึ่งเลย ตอนนี้เราก็ได้แต่อุ้มไว้เพราะว่ามันเล่นไม่ได้ เวลานั่งคิดถึง อยากเล่นก็อุ้มกีตาร์เปิดเพลงตัวเองคิดว่าตัวเองเล่น ตอนนี้ก็เปิดเพลงตัวเองฟังแล้วก็มีพลังที่อยากจะร้องเพลงตัวเองบ้าง
อัลบั้มภาพ 10 ภาพ