"Nantida 60s" เมื่อเพลงและดนตรีชั้นครูเผยเสน่ห์ 360 องศาของ "นันทิดา แก้วบัวสาย"
นับตั้งแต่ชนะและคว้ารางวัล นักร้องสมัครเล่นยอดเยี่ยมแห่งเอเชียปี พ.ศ. 2522 ดีวาตลอดกาลอย่าง ตู่-นันทิดา แก้วบัวสาย ก็ได้ก้าวเข้าสู่วงการเพลงและกลายเป็นศิลปินยุคแรกของค่าย GMM Grammy และมีผลงานโดดเด่นออกมาต่อเนื่อง จนหลายคนจดจำเธอในฐานะดีวาแถวหน้า แม้เราจะได้เห็นเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาในบทบาทอื่นๆ นอกจากการเป็นศิลปิน แต่เธอก็ยังคงแบ่งเวลามาจับไมค์ร้องเพลงแม้โอกาสอาจจะไม่ได้เอื้ออำนวยด้วยภาระหน้าที่
และล่าสุดผู้จัดอย่าง World Artists Thailand ก็ได้สร้างความประหลาดใจด้วยการจัดงาน The Nightclub Concert Ep.3 Nantida 60s ที่แฟนๆ จะได้ฟัง ตู่ นันทิดา ร้องเพลงลูกทุ่ง ลูกกรุง และ สากล ยุค 60 ที่ถูกเรียบเรียงใหม่และผสมผสานเพลงฟังค์และโซล จนนำไปสู่รสชาติดนตรีที่แปลกใหม่ และงานครั้งนี้้ป็น EP. 3 จากเซ็ทการแสดงชุด The Nightclub Concert ที่จัดมาแล้ว 2 ครั้ง
ด้วยความที่เราคุ้นเคยกับการแสดงของ ตู่ นันทิดา จากเพลงไทยอย่าง “เขียนไว้ข้างเตียง”, “ดีเจเสียงใส” และ “วิมานดิน” ทำให้เราอยากเห็นเธอกับเพลงที่คาดไม่ถึง อย่างเพลงในยุค 60 ที่จะถูกดูแลซาวด์แง่มุมต่างๆ อย่าง “วงต้นเสียง” วงระดับปรมาจารย์ด้านดนตรี ที่ควบคุมวงโดย อั๋น-ปธัยวัฒน์ วิจิตรเวชการบุญ และ โซ่-แมนลักษณ์ ทุมกานนท์, บี-โสตถินันท์ ไชยลังการณ์ และ หนึ่ง-อภิวัฒน์ พงษ์วาท 3 สมาชิก ETC. ที่มาเป็นมิวสิคไดเร็คเตอร์ จนเราอยากรู้ว่าสิ่งที่ทางผู้จัดและตู่ นันทิดาอยากทำบนเวทีคืออะไรกันแน่
โดยในช่วงแรก ตู่ นันทิดา ได้มาพร้อมเพลงยุค 80 ที่มีกลิ่นอายความเป็นลูกกรุงอย่าง “ลมรัก” ของ The Hot Pepper Singers ก่อนตามด้วยเพลงอมตะ “รักข้ามขอบฟ้า” และ “ความรักเจ้าขา” ก่อนตามด้วยเพลง “สิ้นสวาท” ก่อนจะต้อนรับแฟนๆ เข้าสู่คอนเสิร์ต The Nightclub Concert Ep.3 Nantida 60s พร้อมทักทายทุกคนอย่างเป็นกันเอง และอธิบายถึงธีมคอนเสิร์ตและย้อนภาพความทรงจำคลับยุค 60 สำหรับแฟนๆ ที่ไม่เห็นภาพของยุคนั้น และมาถึงพาร์ท 2 ของงาน นันทิดาก็ได้มาพร้อมเพลง “คนึงหา” ซึ่งคราวนี้ผู้ชมทางบ้านก็ได้ตื่นเต้นเมื่อการแสดงได้เปลี่ยนเป็นสีขาวดำ และฉากหลังเป็นคลับ LOLITA ก่อนตามด้วยเพลง “รักเอ๋ยรักข้า” ที่เป็นอีกหนึ่งผลงานซึ่งทำให้เราได้ฟังเสียงทุ้มเสน่ห์ของเธอ ที่บอกเลยว่าเข้ากับตัวเพลงและให้มิติการถ่ายทอดเรื่องราวแบบที่ศิลปินหลายคนทำไม่ได้
แต่หลังจากนั้นนันทิดาก็เปลี่ยนอารมณ์ด้วยเพลง “Please Mr Postman” ของ The Carpenter และ “Jailhouse Rock” ของ Elvis Presley ก่อนตามด้วย “Twist And Shout” จาก The Beatles, “Copacabana (At the Copa)” ของ Barry Manilow ที่ทำเอาเราเซอร์ไพรส์กับการแสดงของเธอ เพราะถึงแม้จะมีโทนเสียงทุ้มต่ำ แต่เราก็ได้เห็นนันทิดามากับเพลงที่สนุกสนานและเสียงค่อนข้างสูง และระหว่างที่โชว์เราได้เห็นเธอเต้นรำไปกับเพลง และเล่นกับพร็อพอย่างหุ่นผู้ชายรวมถึงแสงสีที่คล้ายสายรุ้ง และช่วงที่ขั้นโชว์เราก็ได้เห็นมือกลองและมือ Percussion 2 คน โชว์ลีลาการเคาะจังหวะที่เป็นการคั่นกลางระหว่างการแสดง ก่อนจะกลายเป็นการดวลกลองของสองมือกลองบนเวที ที่ทำผู้ชมในแชทแซวว่าเหมือนดูภาพยนตร์ โหมโรง เวอร์ชั่นกลองชุด
และหลังจากที่เราได้คึกครื้นไปกับโชว์แล้ว ก็ถึงคิวของ ตู่ นันทิดา ที่มากับเพลงของ สุเทพ วงศ์กำแหง, ชรินทร์ นันทนากร และ เศรษฐา ศิระฉายา ซึ่งหลังจากที่เผยความรู้สึกที่ผูกพันที่มีกับเพลงของเศรษฐาแล้ว ก็เป็นการแสดงเพลง “เป็นไปไม่ได้” ของ The Impossibles และตามด้วยเพลง “รักคุณเข้าแล้ว” ของ สุเทพ วงศ์กำแหง ที่ถูกเรียบเรียงใหม่ให้กลายเป็นเพลงโซลผสมฟังค์ และตามด้วยเพลง “ไหนว่าจะจำ” ของ The Impossible ที่มากับความเป็นโซล ฟังค์ และแจ๊ส โดยเพลงนี้นันทิดาได้มาพร้อมมาดที่เท่สไตล์ศิลปินชายที่ต่างจากลุคในโชว์พาร์ทก่อนหน้า
พอถึงช่วงกลางงานก็ถึงคิวเพลง “ลมสวาท” ของ ชรินทร์ ที่ระหว่างขั้นโชว์นันทิดาก็ได้เล่าถึงความทรงจำวันที่ชรินทร์ชักชวนเธอมาร่วมแสดงภาพยนตร์ เพลง ”รักดอกไม้บาน” และตามด้วยเพลง “วนาสวาท” ที่เป็นการแนะนำแขกรับเชิญอย่าง ไชยา มิตรชัย ที่มากับเสียงสูงซึ่งเข้ากับโทนทุ้มต่ำของ นันทิดา ได้จนเราประหลาดใจ ก่อนจะตามด้วยความรู้สึกเข้าใจทันทีว่าทำไมไชยาถึงถูกเลือกมาเป็นแขกรับเชิญแม้ตอนแรกเราจะมองว่า ทั้งสองนั้นแตกต่างและแทบไม่มีจุดเชื่อมกันเลย
หลังจากช่วงที่เอ ไชยา และ ตู่ นันทิดา ได้ทักทายกับแฟนๆ ทางบ้าน ก็ถึงพาร์ทการแสดงที่ทั้งคู่ร้องเพลง “มนต์รักลูกทุ่ง” และตอนที่ไชยาร้องเพลง “ขาดฉันแล้วจะรู้สึก” ของ ธานินทร์ อินทรเทพ และ “คุณจะงอนมากไปแล้ว” ของ สุเทพ วงศ์กำแหง ที่เป็นเพลงลูกกรุงซึ่งมากับกลิ่นอายความเป็นโซลและแจ๊สที่ผสมกันอย่างลงตัว ก่อนที่นันทิดาจะมาขึ้นแสดงเพลง “จํากันบ่ได้กา” ที่มาพร้อมภาพที่ชวนนึกถึงอดีตก่อนตามด้วยเพลงสนุกอย่าง “แฟนใครไม่มีป้ายแขวนคอ” ที่กลายเป็นลูกทุ่งผสมแจ๊สและดิสโก้รวมถึงมีกลิ่นจังหวะซัลซ่าชวนโยกตาม และเพลงสนุกๆ อย่าง “นัดพบหน้าอำเภอ” ของ พุ่มพวง ดวงจันทร์ ไปจนถึงเพลงที่หลายคนคุ้นเคยอย่าง “ดีเจเสียงใส” และเพลง “วิมานดิน” ที่นันทิดาได้บรรจงถ่ายทอดด้วยเสียงที่ใส่ใจในทุกวรรคของเพลง และตั้งใจในการส่งอารมณ์ให้ทุกคนเคลิ่้มไปพร้อมกัน ขณะยืนบนเวทีที่มีการจำลองควันให้คล้ายเมฆ ซึ่งโชว์นี้มากับกลิ่นอายโซลและแจ๊สแบบมินิมัลที่เน้นเสริมอารมณ์เสียงร้องของนันทิดา ก่อนตามด้วยเพลง “ขอเป็นคนหนึ่ง” ที่มาพร้อมดนตรีที่หนักผสมกับการร้องที่มีพลัง เหมือนกับว่ามันเป็นคำขอบคุณทรงพลังที่นันทิดามีให้กับแฟนๆ และคำส่งท้ายที่มีให้กับทุกคน
สำหรับการแสดงครั้งนี้บอกเลยว่าการแสดงของ นันทิดา แก้วบัวสาย นั้นดีและทัชใจเราไม่ว่าจะเป็นเพลงช้าที่เผยให้เห็นเสน่ห์เสียงทุ้มและประสบการณ์ชีวิตที่ทำให้เธอสามารถถ่ายทอดคำร้องออกมาได้เข้าถึงใจพวกเรา ไปจนถึงเพลงสนุกสนาน และระหว่างโชว์ถึงแม้จะมีช่วงที่เธอต้องหยุดพักหลังแสดงเพลงที่ต้องใช้พลังงานในการแสดงเยอะ หรือมีพาร์ทที่ลืมเนื้อและมีการดูเหมือนผิดคิวเล็กๆ ในพาร์ทของการเก็บไมค์แดนเซอร์ตอนโชว์เพลงสากล แต่เธอก็สามารถจัดการสถานการณ์เฉพาะหน้าได้ดี อย่างในพาร์ทลืมเนื้อเราเองก็ไม่ทราบจนกระทั่งเธอออกมาบอกเองขณะพูดคุย ส่วนช่วงระหว่างพักนั้นเธอก็ได้นำการพูดคุยและเปิดโอกาสให้ทีมนักดนตรีได้โชว์ฝีมือเต็มๆ ผ่านการโซโล่ จนเราแอบไม่อยากเชื่อว่าเธอห่างจากเวทีเป็นปี เพราะการแสดงของเธอเหมือนคนที่ขึ้นเวทีบ่อยครั้งจนควบคุมสถานการณ์ได้ดี
นอกจากการแสดงแล้ว คอนเสิร์ตครั้งนี้ยังได้เผยให้เห็นด้านเป็นกันเอง กับแฟนๆ ของ ตู่ นันทิดา รวมถึงตอนที่เธอส่งอารมณ์กับแดนเซอร์ และการที่เธอให้เกียรติทีมงานและศิลปินรุ่นพี่ที่เธอนำเพลงมาร้องผ่านการเล่าเรื่องในอดีต โดยเราเองชื่นชอบสคริปต์งานครั้งนี้ทั้งในแง่ความพยายามที่นันทิดาอยากให้ทุกคนเห็นภาพซีนดนตรีดนตรีและไนท์คลับยุค 60 รวมถึงเรื่องราวมุมต่างๆ ของเธอ ที่ทำให้เรารู้สึกอยากฟังเธอเล่าเรื่อยๆ จนเรามองว่าคอนเสิร์ตครั้งนี้ถือเป็นโชว์ที่ทำให้เราได้เห็นเสน่ห์และความสามารถในฐานะศิลปินของเธอแบบรอบตัว ส่วนเรื่องความใส่ใจแฟนๆ นั้น บอกเลยว่าเธอเซอร์วิสรัวๆ จนเราไม่แปลกใจเลยที่ก่อนหน้านี้มีเพื่อนร่วมงานเธอมาให้สัมภาษณ์ในรายการ Behind The Song ของ GMM Grammy ว่า ต฿ นันทิดา เป็นศิลปินที่เอาของขวัญจากแฟนๆ กลับบ้านทุกชิ้นเวลาไปคอนเสิร์ตและใส่ใจความรู้สึกแฟนๆ มาก
สำหรับการแสดงครั้งนี้ก็มากับเวทีเล่นระดับที่มากับการเล่นแสงสีเสียงและจอภาพที่มาพร้อมกราฟฟิคแต่ละเพลง ที่เสริมการแสดงแต่ละช่วงได้ดีและทำให้นันทิดากับนักดนตรีสามารถเล่นกับกราฟฟิคขณะเคลื่อนไหวได้ จนเรามองว่าเวทีและศิลปินนั้นส่งเสริมกันดี และงานครั้งนี้ก็มีการสอดแทรกความเป็นไนท์คลับอย่างการมอบดอกไม้และขอเพลงจากทีมงาน รวมถึงมีลูกเล่นใหม่อย่างการวิดีโอคอลล์กับผู้ชมที่ยังไม่เคยมีใน 2 คอนเสิร์ตก่อนหน้านี้ ส่วนทางด้านระบบ Browser ก็มีช่วงค้างบ้าง ซึ่งเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้สำหรับคอนเสิร์ตออนไลน์ที่สุนทรียภาพก็ขึ้นอยู่กับสัญญาณเน็ตและอุปกรณ์การชม
หากสมมุติคอนเสิร์ตครั้งนี้เป็นภาพยนตร์แล้ว ตู่ นันทิดาเป็นผู้ที่ได้รับรางวัลนักแสดงยอดเยี่ยม เหล่านักดนตรีจากวง ต้นเสียง และทีม Music Director อย่าง บี โซ่ และ หนึ่ง ETC. ก็ควรได้รับรางวัลนักแสดงสมทบและผู้กำกับยอดเยี่ยมเช่นกัน เพราะงานนี้ได้มาพร้อมดนตรีที่ครบและเราได้ฟังทุกซาวด์แบบเต็มอิ่ม โดยเฉพาะพาร์ทการดวลกลองและ Percussion นั้นทำให้เรารู้สึกแอบอยากฝึกตามเลย ซึ่งทางผู้จัดก็ได้มอบสปอร์ตไลท์ให้กับพวกเขาเต็มที่ผ่านการแพนกล้องที่โฟกัสการเล่นพวกเขา ในขณะที่ดนตรีก็มีการเรียบเรียงผสมผสานความเป็นลูกกรุง และกลิ่นอายโซลฟังค์แจ๊สไว้อย่างดี ไม่มากไม่น้อยเกินไป และพอองค์ประกอบดังกล่าวมาเจอกับการร้องของตู่นันทิดา ก็ทำให้โชว์นี้ค่อนข้างเป็นกำไรคนฟังทั้งแง่ความสุข ไปจนถึงการที่เราได้ฟังเพลงในเซ็ทลิสต์ในรูปแบบที่หาฟังไม่ได้ จนเราเองอยากให้เอาเพลงที่ถูกนำมาโชว์ไปเรียบเรียงใหม่ตามสไตล์คอนเสิร์ตนี้และวางขายแบบเป็นทางการ ถ้าจะมีเรื่องเดียวที่เราติดเกี่ยวกับซาวด์ก็คือช่วงท้ายพาร์ทเพลงสากล มีครั้งหนึ่งที่เสียงวงคอรัสที่ดังชัดเจนมาเจอกับเสียงของตู่ที่กำลังร้องสดจนเราได้ยินแค่เสียงคอรัส แต่สำหรับเราภาพรวมงานก็ยังมองว่าออกมาดี
สำหรับเรา The Nightclub Concert Ep.3 Nantida 60s ได้แสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าจะไปลิ้มลองหรือสัมผัสความท้าทายในสายอาชีพไหน ตู่ นันทิดา ก็ยังคงเป็นศิลปินที่ถ่ายทอดอารมณ์เพลงด้วยความสามารถที่ไม่ธรรมดา มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร และยังมีเสน่ห์รวมถึงความใส่ใจที่ทัชใจแฟนๆ และสิ่งนั้นก็ทำให้ตลอด 40 ปีที่ผ่านมา ภาพจำของเธอในฐานะศิลปินคือสิ่งที่ชัดเจนอันดับต้นๆ เสมอ
อัลบั้มภาพ 53 ภาพ