รีวิว NCT 127 NEO CITY: SEOUL-THE LINK คอนเสิร์ตที่ศิลปินและแฟนคลับต่างโหยหา
NCT 127 2ND TOUR ‘NEO CITY : SEOUL - THE LINK’ คอนเสิร์ตออฟไลน์ (ที่เราได้ดูออนไลน์) ครั้งแรกในรอบเกือบ 3 ปี ที่หนุ่มๆ โตขึ้น เก่งขึ้น แพรวพราวขึ้น และลึกซึ้งมากขึ้น
ในมุมของแฟนๆ ที่ไม่ได้เจอศิลปินบนเวทีคอนเสิร์ตมานานเปนปี เราคงจะคิดถึงพวกเขาอยู่ไม่น้อย แต่ในมุมของศิลปินเองก็ไม่ได้คิดถึงแฟนคลับน้อยไปกว่ากัน ยิ่งเป็นอาชีพที่ต้องการ “กำลังใจ” จากแฟนๆ อยู่เป็นทุนเดิมด้วยแล้ว การแสดงบนเวทีที่ไร้คนดูมันยิ่งน่าเศร้ายิ่งกว่า
NCT 127 เองก็เป็นศิลปินอีกวงหนึ่งที่เจอพิษโควิด-19 เล่นงานอย่างหนักจนต้องยกเลิกทัวร์อเมริกา NCT 127 2nd Tour 'NEO CITY – The Awards' ในปี 2020 ไปอย่างน่าเสียดาย แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดี เมื่อพวกเขาได้เป็นศิลปินเบอร์แรกของค่าย SM Entertainment ในการจัดคอนเสิร์ตแบบออฟไลน์ หรือคอนเสิร์ตในรูปแบบปกติได้เมื่อทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง และยังเป็นศิลปินกลุ่มแรกที่ได้จัดคอนเสิร์ตที่ Gocheok Sky Dome ฮอลล์คอนเสิร์ตขนาดใหญ่ความจุ 25,000 คนเป็นครั้งแรกหลังเกิดเหตุระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ต้นปี 2020
ถึงกระนั้นการจัดคอนเสิร์ตในครั้งนี้ก็ยังมีอุปสรรคเล็กๆ น้อยๆ ที่ถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหม่ในการจัดคอนเสิร์ต นั่นคือการจำกัดจำนวนผู้เข้าชมที่ลดลงเพื่อรักษาระยะห่างระหว่างคนดู รวมไปถึงกฎในการเข้าชมที่ห้ามผู้ชม “ร้องเพลง ตะโกนส่งเสียงใดๆ ตลอดการแสดง” นั่นหมายความว่า NCT 127 2ND TOUR ‘NEO CITY : SEOUL - THE LINK’ จะเป็นคอนเสิร์ตที่ “เงียบ” ที่สุดเท่าที่ NCT 127 เคยแสดงมา เงียบกว่าการแสดงคอนเสิร์ตที่ญี่ปุ่น ดินแดนที่ขึ้นชื่อเรื่องการตั้งใจฟังศิลปินจนเงียบกริบระหว่างแสดง แล้วมาส่งเสียงเชียร์ทีหลังตอนเพลงจบเสียอีก
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าแฟนๆ จะส่งเสียงเชียร์ หรือแม้กระทั่งตะโกนเรียกชื่อศิลปินแม้แต่ครั้งเดียวก็ไม่ได้ แฟนๆ ก็มีไอเดียเพิ่มอุปกรณ์ในการเข้าชมคอนเสิร์ตเพิ่มอีก 1 อย่างนอกจากแท่งไฟและผ้าเชียร์ (สโลแกน) นั่นคือ “ไม้ตบมือ” จะเป็นด้ามพลาสติกหรือพัดใหญ่ๆ ใดๆ ก็แล้วแต่ ทุกคนจัดเต็มเพื่อให้เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่วฮอลล์แทนเสียงกรี๊ด แม้ว่าจะทดแทนกันไม่ได้เสียทีเดียว แต่ก็เพิ่มสีสันให้กับคอนเสิร์ตและเป็นกำลังใจให้ศิลปินได้ไม่น้อย
NCT 127 2ND TOUR ‘NEO CITY : SEOUL - THE LINK’ จัดแสดงขึ้นในวันที่ 17-19 ธันวาคม 2021 โดยรอบสุดท้ายเปิดโอกาสให้แฟนๆ ชาวต่างชาติได้รับชมผ่าน Beyond Live บริการสตรีมมิ่งอีเวนต์ออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชั่น Vlive เจ้าเก่าเจ้าเดิม คอนเสิร์ตเริ่มเวลา 15.00 น. ตามเวลาในไทย เปิดตัวตรงเวลาเป๊ะด้วย VCR หนุ่มๆ ทั้ง 9 คนที่มาพร้อมกับสัญลักษณ์ต่างๆ คนละรูปแบบ จากนั้นฉากบนเวทีก็ค่อยๆ เปิดให้เห็นหนุ่มๆ ในชุดสูทขาวล้วนลอยลงมาจากด้านบนด้วยที่นั่งลักษณะคล้ายกระเช้าที่เป็นสัญลักษณ์ที่แตกต่างไปในแต่ละคน พร้อมกราฟิกและไฟต่างๆ ที่สวยงามตระการตาราวกับกาแล็กซี่ ก่อนที่หนุ่มๆ จะค่อยๆ เดินลงมาที่เวที และเริ่มแสดงเพลงที่อาจจะเรียกได้ว่า “แมส” ที่สุดของวง “Kick It” ต่อด้วย “Lemonade” เพลงดังในอัลบั้มล่าสุด Sticker และเพิ่มความตื่นเต้นให้ทะลุปรอทไปกับ “Earthquake” เพลงใหม่ล่าสุดจากอัลบั้ม Universe โปรเจกต์ NCT 2021 ซึ่งถือเป็นการแสดงสดเพลงนี้ครั้งแรกต่อหน้าแฟนๆ ด้วย เข้าใจว่า 3 เพลงแรกทางวงเลือกเพลงดังและจังหวะเร็งน่าตื่นเต้นเพื่อเป็นการอุ่นเครื่องให้แฟนๆ เตรียมโบกแท่งไฟกันเต็มที่ รวมถึงสื่อมวลชนที่น่าจะได้เก็บภาพและบรรยากาศในช่วง 3 เพลงแรกได้อย่างเต็มที่ด้วยเช่นกัน
หลังจากพ้นช่วงแรกและสมาชิกทุกคนรวมตัวทักทายและพูดคุยกับแฟนๆ ให้หายคิดถึงกันอย่างหอมปากหอมคอ พร้อมกับบอกว่าวันนี้เป็นวันสุดท้าย จะแสดงให้เต็มที่กันเรียบร้อยแล้ว หนุ่มๆ ก็เดินกลับเข้าไปด้านที่มีภาพกราฟิกเซ็ตฉากเหมือนเป็นลิฟท์โดยสารขนาดใหญ่ เพื่อเข้าสู่เพลงจังหวะสนุกๆ อย่าง “Elevator (127F)” ก่อนจะเดินฉากที่เซ็ตเป็นเหมือนเรือสองชั้น ที่สามารถแยกออกสองส่วนเหมือนหัวเรือ-ท้ายเรือ และสามารถเคลื่อนที่ไปใกล้ๆ โซนที่นั่งชั้น 2-3 ของผู้ชมด้านซ้าย-ขวาของฮอลล์ได้ โดยเซ็ตบนเรือนี้หนุ่มๆ จัดเต็มทั้ง “Dreamer”, “Love Song” ที่ร้องไปเต้นไปราวกับละครเพลง แยกกันเต้นคนละที่ ร้องไปยิ้มไป ก่อนจะเริ่มเข้าสู่ช่วงโซโล่ของแต่ละคน
นับเป็นครั้งแรกของ NCT 127 ที่สมาชิกแต่ละคนได้มีการแสดงโซโล่เป็นของตัวเอง เริ่มที่พี่ใหญ่แทอิลมากับเพลง “Another World” เพลงเก่าของ NCT 127 ในมินิอัลบั้มแรกของวง ที่แทอิลหยิบมามิกซ์ใหม่เป็นเวอร์ชั่นของตัวเอง เพิ่มกลิ่นอายความเป็น R&B ลงไป ทำให้แฟนๆ รำลึกถึง NCT 127 ในช่วงเดบิวต์ใหม่ๆ ในรูปแบบที่แปลกใหม่และน่าสนใจมากขึ้น ส่วนตัวคิดว่าแทอิลเลือกเพลงมาทำใหม่ได้ดีเลยทีเดียว จากนั้นมาเซอร์ไพรส์กันต่อที่การแสดงดูเอ็ตของพี่แทอิลและน้องแฮชาน พี่ใหญ่และน้องสุดท้องของวง ที่แสดงเพลง “Love Sign” เพลงที่ทั้งคู่มีส่วมร่วมแต่งเพลงกับโปรดิวเซอร์คนเก่ง Deez เป็นเพลง R&B จังหวะหนักๆ หม่นๆ ที่ทั้งคู่รับหน้าที่ร้องด้วยกัน แทอิลเล่นคีย์บอร์ด และแฮชานโชว์เต้นอย่างสง่างามจนลืมไปเลยว่าเป็นน้องคนเล็กของวง ในส่วนนี้อาจจะเสียดายที่แฮชานไม่ได้มีโซโล่สเตจของตัวเอง แต่การที่เขาเลือกแสดงเพลงที่ร่วมกันแต่งกับพี่ในวง ก็คงเป็นโชว์ที่มีความหมายสำหรับเขาอยู่ไม่น้อย
นอกจาก “Another World” แล้ว NCT 127 ยังพาเราย้อนกลับไปสมัย SMROOKIES ก่อนเดบิวต์กันด้วยการแสดงเต้นเพลง “Bassbot” ที่รีมิกซ์กับ “Run Back 2 U” โดย 4 สมาชิกไลน์อัพเดิมอย่าง จอห์นนี่ แทยง แจฮยอน และยูตะ พอได้เห็นพวกเขาที่เติบโตมาอย่างดีในเพลงเก่าแบบนี้แล้ว ทำให้เราเห็นได้ชัดเจนกว่าพวกเขาเก่งขึ้นมากแค่ไหน เหมือนจะเป็นการตอกย้ำว่าพวกเขา “โตขึ้น” มากแล้วจริงๆ
การแสดงโซโล่ของแต่ละคนจะคั่นด้วยการแสดงของวงไปเรื่อยๆ หลังเพลง “Music, Dance”, “Highway to Heaven” และ “Breakfast” ที่ทางวงปล่อยคลิปมาก่อนหน้านี้ให้แฟนๆ ได้โบกแท่งไฟกันตามจังหวะ โดยมีสารวัตรโดยองเป็นผู้เดินตรวจตราชักชวนแฟนๆ โบกแท่งไฟตามจังหวะอย่างขันแข็งเหมือนเดิมแล้ว ก็ต่อด้วยโซโล่สเตจของมาร์ค แร็ปเปอร์ขาโหดของวงที่นำเพลง “Vibration” มากระชากวิญญาณให้แทบจะนั่งไม่ติดเก้าอี้ ต่อด้วยโซโล่ของแทยงกับเพลง “Moonlight” ที่เดือดไม่แพ้กัน โชว์สกิลทั้งร้องทั้งแร็ปคนเดียวได้อย่างมืออาชีพ รวมถึงเพลงใหม่อีกเพลงอย่าง “The Himalayans” เพลงที่แทยงและมาร์คร่วมกันแต่ง และเคยสปอยล์เอาไว้สมัยโปรโมตกับวง SuperM ในรายการ Knowing Brothers เมื่อปี 2020 ในที่สุดแฟนๆ ก็ได้ชมการแสดงสดเพลงนี้กันเสียที
ต่อไปเป็นส่วนที่เราอยากตั้งชื่อช่วงนี้ว่าเป็นช่วง sexual R&B section เพราะเต็มไปด้วยการแสดงที่แสดงสีหน้าท่าทางและอารมณ์ในแบบที่ดูไปก็ยกมือปิดปากไปตลอดทั้งช่วง เริ่มจากโซโล่ของจองอู ที่หลอกพวกเราว่าเป็นเมนโวคอลมาตลอด แต่แท้ที่จริงเขาคือเมนแดนซ์! จัดเต็มกับไลน์เต้นสุดเซ็กซี่ในรีมิกซ์เพลง “Lipstick” เพลงจากอัลบั้มญี่ปุ่น LOVEHOLIC ต่อด้วยเพลง R&B เนิบๆ อย่าง “Focus” ที่ช่วงกลางเพลงเป็นโซโล่ของจอห์นนี่ที่มาในชุดอาบน้ำ ถอดเสื้อ และเต้นอยู่ในฉากกั้นเป็นห้องน้ำประตูใสๆ แสงสีน้ำเงินสลับแดง นาทีที่เห็นใจคนในฮอลล์มากๆ ที่ต้องอุดปากกรี๊ดแบบไม่ออกเสียง ก่อนจะต่อด้วยโซโล่ของแจฮยอนที่มากับเพลงภาษาอังกฤษล้วนที่แต่งเนื้อเพลงเองอย่าง “Lost” ปรับโหมดเป็นเพลง R&B ร่วมสมัยที่สื่ออารมณ์และแนวเพลงที่เป็นตัวของแจฮยอนได้ดีมากๆ ก่อนจะจบช่วง sexual R&B section ด้วยเพลงบัลลาด R&B เพราะๆ อย่าง “Rainy Night” และ “White Night” เพลงที่มาจากคนละอัลบั้มแต่อารมณ์ต่อกันได้ดีอย่างน่าประหลาด
โซโล่ของโดยอง หรือโดรึเซ่น เจ้าพ่อมิวสิคัล อดีตนักแสดงละครเวทีเรื่อง Marie Antoinette มากับเพลง “Favorite (Vampire)” ที่นำมามิกซ์ใหม่เป็นแนวมิวสิคัลบัลลาดฝีมือนักแต่งเพลงคนเก่ง คุณแม่ของ SM อย่างคุณ Kenzie และเปลี่ยนชื่อเพลงเป็น “The Reason Why It’s Faborite” และเพิ่มเนื้อเพลงโดยองที่ทำให้เพลงสื่ออารมณ์ความเจ็บปวดจากความรัก ถึงจะรักและเจ็บแต่ก็ยอมได้มากขึ้นหลายเท่าตัว ก่อนหนุ่มๆ ในชุดสูทม่วงหรูหราจะเข้ามาสมทบแล้วตัดเข้าเพลง “Favorite (Vampire)” ต้นฉบับที่เป็นเพลงที่ค่อยๆ บิวด์จังหวะจากเพลงช้ามาเป็นเพลงเร็วได้ดี จึงเข้าสู่ช่วงเพลงฮอตอันร้อนแรงที่เต้นกันกระจายอย่าง “Simon Says”, “Love on the Floor” และ “Bring the Noize” (เพลง “Love on the Floor” เต้นเลื้อยไปกับพื้นยกระดับสองฝั่ง และแน่นอน… ท่าเต้นเป็นไปตามชื่อเพลง) ก่อนจะเข้าสู่ช่วงโซโล่สเตจตคนสุดท้ายของยูตะ ที่มาในเพลงแนวป็อปร็อค ร้องเสร็จ ขว้างไมค์ลงพื้น ก่อนจะเต้นและเปิดเสื้อโชว์รอยสักรูปผีเสื้อที่เป็นที่มาของชื่อเพลง “Butterfly” เป็นอีกโชว์ที่ทำเอาหายใจไม่ทั่วท้องจนเริ่มสงสัยว่า NCT 127 หายไปเกือบ 3 ปี โตเร็วกันขนาดนี้แล้วเหรอ คอนเสิร์ตต้องมี warning ไหม
ช่วงสุดท้ายของโชว์เป็น VCR โชว์จดหมายเขียนด้วยลายมือของทุกคนถึงแฟนๆ พร้อมเพลง “Paradise” ที่นำมารีมิกซ์ใหม่ให้สดใสน่ารักกว่าเดิม ปูพรมเวทีด้วย positive energy แบบเต็มๆ ก่อนจะไปต่อที่ “Love Me Now”, “Touch” และ “Pilot” ที่ทุกคนย้ายไปเต้นที่สเตจเล็กด้านหน้า และนั่งกระเช้าลอยไปหาแฟนๆ กันใกล้ๆ อีกครั้ง และส่งท้ายที่เวทีหลักด้วย “Sticker” และ “Cherry Bomb” อีกหนึ่งเพลงชาติของ NCT 127 ที่ขาดไม่ได้
ช่วงอังกอร์หนุ่มๆ ทั้ง 9 คนกลับออกมาด้วยเสื้อทัวร์ ปิดท้ายด้วยเพลงน่ารักๆ อย่าง “Dreams Come True” ที่แฝงความหมายว่าความฝันของพวกเขาเป็นจริงได้เพราะมีแฟนๆ คอยสนับสนุน สมาชิกแต่ละคนกล่าวความในใจก่อนจะจบด้วย “Promise You” เพลงที่ทุกคนให้สัญญาว่าจะกลับมาเจอกันอีกในอนาคตแน่นอน
เป็นโชว์ที่อัดแน่นด้วยเพอร์ฟอร์มานซ์จัดหนักตลอดทั้ง 3 ชั่วโมง สิริรวมเพลงทั้งหมด 36 เพลง ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ที่เราจะได้เห็น setlist คอนเสิร์ตที่เพลงเยอะขนาดนี้ แม้ว่าบางเพลงจะเล่นแค่ครึ่งเพลง แต่ก็เรียกได้ขนมาแทบจะหมดทุกเพลงที่แฟนๆ อยากฟัง มีตั้งแต่เพลงเต้นหนักๆ เพลงเน้นโวคอล เพลงจังหวะสนุกๆ ชวนโยกตามง่ายๆ ไปจนถึงการแสดงสุดเร่าร้อนเซ็กซี่จนต้องยกมือปิดปากดูไปตลอดเพลง ที่ต้องพูดถึงจริงๆ คือ NCT 127 ที่หายไปจากเวทีคอนเสิร์ตเกือบ 3 ปี คือ NCT 127 ในเวอร์ชั่นที่โตเต็มวัยในแบบที่มาพร้อมทั้งความสามารถในการเต้น ร้อง และเอนเตอร์เทน ควบคุมสีหน้าท่าทางไปตาม mood & tone ในแต่ละเพลงได้อย่างอยู่หมัด แถมยังเป็นคอนเสิรต์ที่ใช้เวลาในการฝึกซ้อมและเตรียมตัวที่ค่อนข้างสั้น เพราะเพิ่งจบโปรโมตอัลบั้มล่าสุด และยังมีโปรเจกต์ NCT 2021 ต่ออีกด้วย และแม้ว่าจะเป็นคอนเสิร์ตปราบเซียนเนื่องด้วยเป็นคอนเสิร์ตที่เงียบที่สุด แต่ทุกคนเอาอยู่ในทุกช่วงไม่มีเดดแอร์ใดๆ เป็นตัวของตัวเองได้อย่างเต็มที่ เห็นได้จากช่วงโซโล่ของแต่ละคนที่ดึงเอาความชอบ และความถนัดของตัวเองออกมาแสดงได้อย่างไม่มีกั๊ก จนเราสามารถเข้าใจตัวตนของแต่ละคนผ่านโชว์เหล่านี้ได้เป็นอย่างดี
นอกจากจำนวนเพลงแล้ว โปรดักชั่นก็ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน เพราะได้ Rino Nakasone นักออกแบบท่าเต้นระดับโลกที่กำกับการแสดงคอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งแรก กลับมาร่วมงานกับ NCT 127 อีกครั้งในคอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งที่สอง โปรดักชันต่างๆ อันประกอบไปด้วยการจัดวางเวทีหลากหลายแบบ ทั้งเวทีหลักที่มีจอ LED ขนาดใหญ่ กระเช้าขนาดใหญ่ 9 อัน ลิฟต์ 9 ตัว รวมถึงเวทีรองที่หมุนได้ 360 องศาและเอียงเป็นมุมได้ เวทีเคลื่อนที่ขนาดใหญ่ที่ตกแต่งตามคอนเซปต์ห้องของสมาชิก รถเคลื่อนที่ ฯลฯ และเอฟเฟกต์สุดอลังการ อาทิ แสง เลเซอร์ พลุ ฯลฯ ก็ทำให้เวทีการแสดงครั้งนี้ดูมีความเป็นสามมิติ ด้วยการใช้ประโยชน์จากขนาดของสถานที่แสดงที่เป็นโดม เพิ่มความน่าตื่นตาตื่นใจให้กับผู้ชมได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม เราแอบเห็นมุมกล้องที่ตัดภาพไม่ทันในบางเพลง รวมถึงมุมกล้องที่หนักไปทางการซูมคนร้องแต่ละคนมากกว่าจะให้เห็นบรรยากาศ กราฟิก และฉากประกอบเวทีโดยรวม บางครั้งอาจทำให้เรางงๆ ไปบ้างว่าตอนนี้อยู่เวทีไหน มองไม่ทันว่าย้ายจากตรงนั้นไปตรงนี้ได้ยังไง ทำให้เราเห็นแสงสีเสียงบนเวทีได้ค่อนข้างจำกัด ประกอบกับปัญหาการ connect แท่งไฟกับแอปฯ Vlive ที่รอบนี้ไม่รู้เป็นอะไร แต่แท่งไฟ disconnect กับแอปบ่อยมากๆ จนหลังๆ เราปิดบลูทูธไปเลย
เซ็ตลิสต์คอนเสิร์ตในครั้งนี้แม้จะอัดแน่นสุดๆ ถึง 36 เพลงแล้ว แต่ก็ยังมีบางเพลงจากอัลบั้มที่แล้วอย่าง Neo Zone ที่เรายังอยากฟังอีกมาก ไม่ว่าจะเป็น “MAD DOG”, “Sit Down!”, “Day Dream” หรือ “Pandora’s Box” ที่เหมาะกับการร้องในคอนเสิร์ตมากๆ รวมไปถึงเพลงเก่าๆ อย่าง “Fire Truck” เพลงเดบิวต์, “Regular” และ “Superhuman” ที่หายไปแล้วเรียบร้อย แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังสนุกกับคอนเสิร์ตในครั้งนี้มากๆ และดูจากเพลงโซโล่ที่เป็นเพลงใหม่แกะกล่อง แต่งเพลงเอง หรือเพลงเก่ามิกซ์ใหม่ได้อย่างน่าสนใจ ก็คือว่าคุ้มค่ากับการเป็นคอนเสิร์ตที่กลับมาหลังจากหายไปนานถึงเกือบ 3 ปีได้เป็นอย่างดี
แม้ว่าโดยองจะพูดอย่างเศร้าๆ ว่า “วันนี้เป็นการแสดงคอนเสิร์ตวันสุดท้ายแล้ว และก็ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเจอกันอีกเมื่อไร” แต่เราเชื่อว่าพวกเราจะได้เจอพวกเขาตัวเป็นๆ บนเวทีกันอีกอย่างแน่นอน เหลือแต่สวนมนต์ขอให้สถานการณ์ทุกอย่างดีขึ้นในเร็ววัน เมื่อถึงวันนั้น เราอยากให้แฟนๆ ชาวไทยได้เจอพวกเขาบนเวทีอย่างสง่างาม พร้อมกับแฟนๆ ที่สามารถตะโกนเรียกชื่อหรือร้องเพลงไปตามพวกเขาได้อย่างเต็มที่เหมือนเคย เพราะเราต่างก็รู้ดีว่าศิลปินและแฟนคลับโหยหาการเติมพลังให้กันและกันมากแค่ไหน
… กว่าจะถึงวันนั้น อย่าลืมสนับสนุนพวกเขาจนถึงที่สุด และรักษาสุขภาพของตัวเอง รอวันที่จะเจอกับพวกเขาที่กรุงเทพฯ กันด้วยนะ
ปล. ใครที่พลาดชมคอนเสิร์ตในรอบนี้ SM เขาใจดีมีรอบรีรันให้ในวันที่ 26 ธันวาคม เวลา 9.00 น. (ไทย) ซื้อบัตรได้ที่ Vlive