20 ปี Girly Berry กับวิวัฒนาการแฟชั่นแซ่บหวาน และเพลงจี้ใจคนโสดที่ยากจะลืม

ในปี 2002 ค่าย RS ได้แนะนำวงเกิร์ลกรุ๊ป Girly Berry ซึ่ง ณ เวลานั้นหลายคนไม่รู้เลยว่าวงจะกลายเป็นศิลปินที่มาพร้อมเพลงดังมากมาย และแฟชั่นที่กลายเป็นกระแสเขย่าวงการเพลงยุค 2000 เป็นเวลาถึง 10 ปี โดยวันนี้ทาง Sanook Music ขอพาทุกคนมาย้อนชมแฟชั่นในอดีตของวงตั้งแต่ก้าวแรกจนถึงปัจจุบัน รวมไปถึงเพลงที่ทั้งติดปากติดใจคนฟังตลอดมา 

Girly Berry ได้ปล่อยอัลบั้มแรกในปี 2002 ที่มีชื่อเดียวกับตัววง โดยแฟนๆ ได้ 4 สมาชิก กิ๊บซี่-วนิดา เติมธนาภรณ์, กิฟท์ซ่า-ปิยา พงศ์กุลภา, เบลล์-มนัญญา ลิ่มเสถียร และ เเนนนี่-ภัทรนันท์ ดีรัศมี กับลุคที่มาพร้อมแฟชั่นสไตล์ญี่ปุ่นและเพลงที่หลายคนคุ้นเคยอย่าง "ไม่เต้นไม่รักนะ" ที่มาพร้อมความสนุกสนานและแฝงเทรนด์แฟชั่น รวมถึงสิ่งที่เป็นที่นิยมในตอนนั้นอย่างเกมส์เต้นและเกมส์อาเคดที่เป็นที่นิยมตอนนั้น และตามด้วยเพลงสนุกๆ อย่าง "บอกรักให้หูแตก" และเพลงเศร้า "รางวัลชมเชย" ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นแรกของวง ก่อนที่จะมาพร้อมการเปลี่ยนแปลงทางแฟชั่นแทบทุกอัลบั้ม

หลังจากเดบิวต์ 2 ปี ในปี 2004 Girly Berry ได้กลับมาพร้อมอัลบั้ม 2 Very Girly ที่สร้างความฮือฮากับแฟชั่นสตรีทกางเกงขาสั้น ซึ่งทำให้วงเป็นที่พูดถึงอย่างมากและกราฟความดังพุ่งชัน เช่นเดียวกับเพลง "ตุ๊มต่อม" และ "เรื่องคืนนั้น" ที่ยังคอนเซ็ปต์เพลงที่พูดแทนคนเหงาที่แม้ภายนอกจะเป็นคนที่ป็อปและมีเสน่ห์ก็ตาม และนอกจากอัลบั้ม 2 แล้วทางวงยังทำอัลบั้ม B-Mix – Girly Berry Friend Club และอัลบั้มพิเศษที่มาพร้อมแฟชั่นริมทะเลอย่าง Unseen Girly Berry ON THE BEACH

พอแจ้งเกิดจากลุคใหม่ ทางวงก็ได้กลับมาพร้อมอัลบั้มชุด 3 Gossip ในปี 2005 ที่มากับแฟชั่นสตรีทผสมโบฮีเมี่ยนที่ทำให้หลายคนได้เห็นการเปลี่ยนแปลงกับลุคที่โตขึ้น โดยทางวงได้มากับเพลงโปรโมต "Gossip", "รักนะแต่ไม่แสดงออก" และ "เรียกแฟนได้ไม่เต็มปาก" ที่แสดงถึงความเติบโตแบบต่อเนื่อง รวมถึงสะท้อนเทรนด์ความรักและกระแสสังคมวันที่กระแสข่าวชีวิตรักคนบันเทิงมีความร้อนแรง จนสื่อซุบซิบกลายเป็นที่สนใจมากขึ้น

และปี 2006 วง Girly Berry ได้มาพร้อมอัลบั้ม Reality ที่พวกเธอได้ฉีกลุคจากอัลบั้มชุด 2 และ 3 ไปไกลด้วยลุคผิวแทนและการแต่งตัวที่มีการผสมผสานความเป็นตะวันตก ซึ่งเพลงโปรโมตอัลบั้มนี้ก็มาพร้อมความล้ำอย่างเพลง "Reality" ที่ผสมซาวด์ดนตรีอินเดียรวมถึงผสานเนื้อหาเกี่ยวกับรายการเรียลลิตี้ติดกล้องที่นิยมช่วงนั้น และเพลง "แฟนเก็บ" ที่มีเอ็มวีธีมอวกาศ โดยการจัดจำหน่ายอัลบั้มนี้ก็มาพร้อม DVD ซึ่งทาง RS ได้ร่วมงานกับ ACER ในเวลานั้น 

พอถึงปี 2007 ด้วยวัยที่โตขึ้นทำให้วงได้กลับมาพร้อมอัลบั้มชุด See Through ที่คราวนี้วงกลับมากับแฟชั่นแนวเอเชียนป็อปสไตล์ฮาราจุกุกับเพลง "Shake it" และ "เชื่อดิ (ยังไม่มีแฟน)" ที่เน้นความน่ารักในลุคเจ้าของร้านอาหาร และในปี 2008 ทางวงก็มากับอัลบั้ม Stop me Babe! ที่นอกจากแฟชั่นแบบคุ้นตาแล้ว พวกเธอยังได้มาพร้อมเพลงที่หลายคนคุ้นเคยในอดีตในแบบฉบับวงด้วย

ด้วยเทรนด์แฟชั่นยุค 2009 ที่เน้นความหวานมากขึ้น ทำให้วง Girly Berry ได้มาพร้อมอัลบั้ม Berry Secret ในปี 2552 กับลุคหวานในเพลง "สวย เริ่ด เชิด...ยอม" ที่ฉีกภาพสาวเซ็กซี่ไป ก่อนที่พวกเธอจะคัมแบ็กในเอ็มวีเพลงช้า "ชอบเป็นของเธอ" กับลุคที่มาพร้อมความละมุนและเซ็กซี่ที่มีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าอัลบั้มที่ผ่านมา 

ช่วงปี 2010 ท่ามกลางกระแสการแยกวง แนนนี่-เบลล์ ได้ทำเพลงคู่ "จะจีบก็บอกนะ" ส่วน กิ๊บซี่-กิฟท์ซ่า มากับเพลง "I Like That Boy" ที่เผยคาแรคเตอร์ทั้ง 2 ยูนิตที่แตกต่าง ก่อนพวกเธอจะรวมตัวอีกครั้งในซิงเกิล "ขอได้มั้ยผู้ชายของเธอ" ในปี 2011 ที่ถือเป็นเพลงเศร้าซิงเกิลสุดท้ายของวง และเพลง "Featuring" ซิงเกิลสุดท้ายในปี 2012 ก่อนที่ทั้ง 4 จะค่อยๆ หมดสัญญา ซึ่งพวกเธอได้ทิ้งท้ายผลงานด้วยเพลงแนว EDM ที่ได้รับความนิยมในช่วงปี 2010s 

ในปี 2012 ถึงปัจจุบันนั้นแม้เราจะไม่ได้ฟังซิงเกิลใหม่ของวง Girly Berry แต่เราได้เห็นเมมเบอร์ทั้ง 4 เติบโตแบบต่อเนื่อง ผ่านผลงานการแสดงทั้งพาร์ทของ กิ๊บซี่-กิฟท์ซ่า-แนนนี่ ในขณะที่เบลล์ได้ทำธุรกิจส่วนตัว และมีซิงเกิลเพลง รวมถึงทำ YouTube และตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมาพวกเธอก็รวมตัวขึ้นคอนเสิร์ตพิเศษเป็นครั้งคราว จนเรื่องราวของพวกเธอทั้ง 4 ไม่เคยหายจากสายตาแฟนๆ เลย 

20 ปีที่ผ่านมา Girly Berry ได้เป็นวงเกิร์ลกรุ๊ปที่นอกจากจะทรงอิทธิพลทางแฟชั่นจนมีผลงานหลากหลายแล้ว อีกสิ่งที่ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าผลงานเพลงของพวกเธอก็เป็นที่ชื่นชอบของแฟนๆ และเผยเสน่ห์จนทำให้พวกเธอแทบไม่เฟดจากใจแฟนๆ และในขณะเดียวกันเพลงที่สื่อถึงความโสดและแฝงความมั่นใจแบบสาวๆ ก็ยังคงไม่เก่าไปตามยุคสมัย โดยใครที่คิดถึงพวกเธอสามารถฟังเพลงของวงได้แล้วที่ Sanook Music วันนี้