"หนุ่มนอกกะลา" เรื่องราวชีวิตที่อยู่นอก "กะลา" ของ หนุ่ม-ณพสิน แสงสุวรรณ
จากเด็กที่ถูกหาว่า ‘เพ้อเจ้อ’ เพราะอยากเป็นนักร้อง สู่การเดินทางเข้าปีที่ 23 ในฐานะศิลปิน วันนี้ หนุ่ม กะลา หรือ ณพสิน แสงสุวรรณ จะมาเล่าเรื่องราวที่เขาไม่เคยบอกใคร ไม่ว่าจะเป็นช่วงลำบากสุดในชีวิต การอดข้าวเพียงเพื่อนำเงินไปซื้อเทปของศิลปินที่ชอบ อัลบั้มแรกในชีวิตที่ไม่เคยเผยแพร่ที่ไหน แรงบันดาลใจที่ช่วยให้ตัวเองไปต่อได้ และชีวิตที่อยู่นอก ‘กะลา’ ของเขาในวันนี้
เสียงแรกแห่งแรงบันดาลใจ
หนุ่ม กะลา: เสียงแรกในวัยเด็กของผมที่ผมรู้สึกว่า มันคือแรงบันดาลใจน่าจะเป็นเสียง ‘ป๊า’ ของผมร้องเพลง เพราะว่าคือตั้งแต่เด็กพ่อของผมจะร้องเพลงตลอดเวลา เป็นคนแบบฮัมเพลงตลอดเวลา และเราเหมือนได้ยินเสียงนั้นซึมซับไปเอง จนทำให้ผมร้องเพลงแรกในชีวิตตอนประมาณสัก 2 ขวบครึ่งหรือ 3 ขวบ เนี่ยแหละ คือเพลง “บัวลอย” ของ น้าแอ๊ด คาราบาว
เสียงฮัมเพลงของป๊า ทำให้มีฝันอยากเป็นนักร้อง
หนุ่ม กะลา: จุดที่อย่างเป็นนักร้องจริง ๆ น่าจะตอน ป.3 ตอนที่พี่ติ๊ก ชิโร่ ออกเทปแรก โช๊ะ ไชโย แล้วฟังเพลงเขาแล้วรู้สึกว่า อยากเป็นนักร้อง จำได้ว่าตอนนั้นพี่ชายเอาเทปมา เทปของพี่ติ๊กเอาก็มานอนดู แล้วก็พูดว่า “เฮ้ยผู้ชายคนนี้ทำไมแต่งเพลงเองหมดเลย” เรารู้สึกว่าพี่ชายพูดชมนักร้องคนนี้แล้วเราก็รู้สึกเกิดแรงบันดาลใจ ก็เลยแบบว่าลองเอาเพลงของพี่ติ๊ก ชิโร่ มาแปลงเป็นเนื้อของเรา เป็นเพลงแปลงแบบเด็กๆ ก่อน อันนั้นคือจุดเริ่มต้น แล้วหลังจากนั้นความฝันมันก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยการที่เริ่มทำปกเทป แต่งเพลงของตัวเอง
ถึงขนาดทำปกด้วยตัวเอง
หนุ่ม กะลา: ผมทำโดยการตัดปกของศิลปินคนอื่น เพราะนักร้องสมัยก่อนถ้าเปิดปกเทปมาจะเป็น คือด้านหน้าจะเป็นหน้านักร้อง แผ่นถัดมาจะเป็นสปอนเซอร์ แล้วก็จะเป็นเครดิตอะไรก็ตามแต่ เราหาแผ่นสปอนเซอร์ไม่ได้ เราก็ต้องไปตัดแผ่นสปอนเซอร์มาแปะในกระดาษแข็งของเรา แล้วเราก็เอารูปแปะ เพื่อทำให้เหมือนเทปที่เขาขายที่สุด พอทำไปเรื่อย ๆ ผมจำไม่ได้ว่าช่วง ป.5-6 หรือ ม.1-2 ก็เริ่มอยากจะทำเพลงให้คนอื่น เริ่มเอาน้องๆ แถวบ้านมาแต่งเพลงให้ ทำปกเทปให้เด็กๆ แถวบ้าน เหมือนประหนึ่งว่าตัวเองเป็นโปรดิวเซอร์ มือปั้น เป็นค่ายเพลง ไปถึงขั้นนั้นเลย
ถึงขนาดเคยอดข้าวเพื่อเก็บเงินไปซื้อเทป
หนุ่ม กะลา: จริงๆ เป็นคนชอบฟังเพลงมาก และก็เป็นคนหลงใหลในตลับเทป ช่วงนั้นชีวิตที่บ้านลำบาก แต่ว่าเราก็จะทำทุกวิถีทาง โดยการที่จะหาเงินมาซื้อเทป ช่วงที่ออกใครดังตอนนั้น ใครเป็นกระแส เพลงอะไรที่เราอยากได้ จะพยายามเจียดเงินที่มันมีน้อยมาก สะสมเทปไว้เยอะมาก จำได้ว่าประมาณ 700 – 800 ม้วน ก็เป็นช่วงที่ลำบาก แต่ว่ามันก็มีโลกอีกใบที่เราเห็นตลับเทป เอาตลับเทปมาดูหน้าปก นั่งขัดพลาสติกให้เงาตลอดเวลา มันเหมือนเราอยู่อีกโลกหนึ่ง มันเป็นเหมือนน้ำหล่อเลี้ยง มันทำให้ความฝันของเรายังเดินต่อไปได้
วันที่ต้องหนีแม่มาเซ็นสัญญา
หนุ่ม กะลา: ตอนนั้นคือแข่ง Hotwave Music Awards แล้วก็ไม่ได้รางวัลเลย แต่แกรมมี่เรียกมาสกรีนเทสต์ ทีนี้ทุกอย่าง ทุกขั้นตอน ผ่านไปได้หมด จนถึงวันที่ต้องเซ็นสัญญา แล้วก็ผมยังอายุไม่ถึง 18 ก็ต้องให้แม่มาเซ็นด้วย จำได้ว่าเป็นช่วงที่บ้านผมแย่ที่สุด ช่วงที่ตกต่ำที่สุดในชีวิต น้ำ – ไฟ ไม่มี ไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน แม่นอนป่วยตลอดเวลาเป็นปีๆ จำได้ว่าแม่นอนป่วยอยู่ แล้วคืนนั้นเดินไปบอกแม่ว่า “แม่ พรุ่งนี้จะเซ็นสัญญาแกรมมี่” เขาก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร ก็นอนนิ่ง ๆ เหมือนคนนอนป่วย เราก็คิดว่าแม่รับทราบแล้ว เช้ามามันใกล้ถึงเวลาจะออกจากบ้านแล้ว ก็เดินไป แม่ยังนอนอยู่แบบเดิม เสื้อผ้าชุดเดิม เพราะว่าป่วยลุกไม่ไหว เราก็เดินไปบอกแม่ว่า “แม่ทำไมยังไม่ลุกอีก ต้องไปเซ็นสัญญานะ” เขาก็ฝืนลุกไป แต่ว่าผมมารู้ตอนหลัง แม่เล่าให้ฟังว่า “ที่เขามาเพราะคิดว่าผมไม่ได้พูดจริง เขาคิดว่ามันเป็นเรื่องของเด็กโกหก” เพราะว่าเขารู้สึกว่าเขามีชีวิตอีกสถานะหนึ่งที่อยู่ชุมชน เรื่องอยู่แกรมมี่มันไกลตัวมาก ๆ แล้วถ้าผมอยู่แกรมมี่ผมแทบจะเป็นหนึ่งเดียว ในจังหวัด เขาเลยรู้สึกว่าผมโม้ แต่พอเขาเข้ามาจริงๆ แล้ว เข้ามาที่ค่าย genie Records เขาได้เจอพี่ๆ ทุกคน ผมก็สังเกตกว่าเขาก็นั่งน้ำตาคลอ
เคยถูกกรอกหูมาตลอดว่า การเป็นนักดนตรี คือเรื่องไร้สาระ
หนุ่ม กะลา: จริง ๆ แล้ว แม่เคยเป็นครู แม่ก็เลยไม่ค่อยอยากให้ลูกนอกลู่นอกทาง อย่างแรกที่เขาขอเลย คือ เขาขอว่าต้องเรียนหนังสือให้จบ อย่าสัก อย่าเจาะหู แล้วพอเรามีความฝันตั้งแต่เด็ก ๆ คือตั้งแต่ ป.3 เป็นต้นมาผมจะเอาสมุดมาเขียนตลอดเวลา มาวาดรูปเวที วาดรูปตัวเองอยู่บนเวที มีคนดู แล้วเขารู้สึกว่าบ้านเราก็จน พอบ้านจนแล้วเราเอาสมุดเรียนมาทำแบบนี้ เขามองว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะว่า คือเหมือนที่ผมพูดว่าแกรมมี่มันเป็นเรื่องไกลตัวจากคนอย่างเรามาก เขาจะพูด “เพ้อเจ้อ” กับผมบ่อยมาก ซึ่งแต่ก่อนผมจะเกลียดคำว่าเพ้อเจ้อมาก ใครพูดเพ้อเจ้อกับผม ผมเลิกคบทุกคนยกเว้นแม่ เพราะแม่เลิกคบไม่ได้
มันรู้สึกมันฝังใจเพราะว่า สิ่งที่เขารู้สึก เขารู้สึกว่าอย่าเพ้อเจ้อ เพราะว่ามันไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้จริงๆ เขารู้สึกแค่ว่าเรียนหนังสือก่อนดีกว่าไหม จนมันมาถึงทางแยกหนึ่งก็คือตอนที่ผมจบ ม.6 พอดี แล้วผมได้เซ็นสัญญากับแกรมมี่แล้ว ช่วงนั้นเป็นช่วงที่บ้านเราแย่ที่สุด ผมไม่มีตังเรียนมหาลัย แต่จริง ๆ แล้วผมได้ทุนไปเรียนที่มหาลัยแห่งหนึ่ง แต่ว่าเราไม่มีเงินมอบตัว นั้นเป็นช่วงที่ผมต้องคุยกับแม่ว่า “ขอไม่เรียนได้ไหม” ทั้งที่แล้วตอนนั้นตังค์ไม่มีเลยนะ จำได้ว่าแม่ก็ไม่ยอม แม่ก็จะพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้หาเงินไปมอบตัวได้ ผมก็เลยรู้สึกว่า เพราะด้วยความที่ตอนนั้นผมว่า คำว่า ‘นักร้อง’ คืออาชีพของนักร้องอาจจะดูยังไม่เป็นที่ยอมรับเหมือนตอนนี้ เป็นอาชีพที่เรียกไม่ได้ว่ามั่นคงเหมือนอาชีพอื่นๆ ผมว่าเขาก็คงมีความเป็นห่วงในเรื่องนี้
เพลงเปลี่ยนชีวิต
หนุ่ม กะลา: ถ้าเปลี่ยนจริง ๆ มันมี 2 เพลง เพลงแรกคือ “รอ” กับอีกเพลง “ขอเป็นตัวเลือก” ถ้าคำถามนี้ผมให้เพลง “รอ” จริง ๆ ตอนที่มาทำเพลงกับค่าย genie records คำหนึ่งที่ผมได้ยินคือ “มันเป็นงานเฉพาะกิจนะ” มันจะก้องอยู่ในหัวมาก ๆ ว่ามันคืองานที่ทำเพื่อการแข่งขัน Hotwave Music Awards พอจบแล้วก็มีวงที่มาจากงานแข่ง แล้วพอออกแล้วคุณก็หายไป มันมีคำนี้อยู่จนเพลงรอดัง มันเป็นใบเบิกทางให้วงกะลาและผมได้ทำอัลบั้มที่ 2 ผมเลยต้องขอบคุณเพลงนี้ที่ประสบความสำเร็จ เพราะว่าถ้าไม่มีมี “รอ” ก็ไม่มีวันนี้
นับจากวันแรกจนถึงวันนี้ ‘ดนตรี’ เปลี่ยนคุณไปในทิศทางไหน
หนุ่ม กะลา: ผมว่าจริงๆ แล้ว ‘ดนตรี’ ไม่ได้เปลี่ยนอะไรผมไป ผมยังเป็นคนเดิม แบบนอบน้อม ดูเป็นคนแอบไม่ค่อยมีความมั่นใจเหมือนเดิม แต่อย่างหนึ่งที่เปลี่ยนไป คือ ผมเข้าใจตัวเองมากขึ้น เข้าใจสายงานอาชีพตัวเองมากขึ้นว่าเราต้องทำตัวอย่างไร วันนั้นพอเหมือนเราเป็นเด็กใช้อารมณ์นำ ทำอะไรทุกเรื่องก็จะมีความเป็น ศิลปินสูง ต้องแบบนี้ อย่างนี้ไม่ได้ พอวันนี้คำว่า ‘ไม่ได้’ ของเราต้องดูไปที่คนอื่นด้วยว่าเดือดร้อนไหม เตรียมงานไว้หรือยัง ผมว่ามันมีเหตุและผลเยอะขึ้น
บทเรียนจาก 23 ปี ที่ผ่านมา
หนุ่ม กะลา: ผมมีคติว่า “ความสำเร็จเป็นของคนที่อดทนได้มากพอเท่านั้น” ผมจะยึดคำนี้ไว้เลยว่า “อดทน อดทน อดทน” เพราะว่าถ้าอดทนอีกนิดมันอาจจะเจอสิ่งที่เรารอก็ได้ มันอยู่ด้วยคำนี้มาแบบ มาตลอดเลย ช่วงที่ทำวงกะลายุค 2 จนถึงตอนที่เดี่ยว ผมจะยึดคำนี้แบบมากๆ เพราะว่ามันเหมือนยิ่งทำ ยิ่งไม่เจอปลายทาง มันก็เลยต้องใช้ความอดทนมากกว่าเดิมเยอะหน่อย
ผมการมีชื่อเสียงผมว่าดีทุกมุมแหละ ผมรู้สึกว่าผมอยากเป็นนักร้อง ผมอยากได้รับการยอมรับ ผมอยากเป็นคนที่มีคนมาขอถ่ายรูป อยากเป็นคนที่คนมาขอลายเซ็น วันนี้การมีชื่อเสียงของผมไม่ได้ทำลายอะไรผมเลย แล้วมันก็ไม่ได้พรากอะไรผมไป วันนี้ผมดังขึ้น ผมไม่ได้รู้สึก “อย่าเข้า อย่าเข้ามาใกล้ เราอยากมีโลกส่วนตัว” ผมว่าโลกส่วนตัวเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ว่าเรื่องของการสูญเสีย ผมไม่ได้สูญเสียอะไรไป ผมมีบ้าน มีรถ มีครอบครัวที่ดี มีเพื่อนฝูงที่ดี มีการงานที่ดี มันมาจากชื่อเสียงทั้งนั้น แล้วก็บางทีมันส่งผลไปถึงขนาดที่ เวลาเราไปทำอะไรก็ตาม หรือเราไปกินข้าว เขาก็เลี้ยงข้าว คือบางร้านเจอเรา เอาขนมมาให้ เอาอะไรมาให้ ผมว่าชื่อเสียงมันนำมิตรภาพดีๆ ด้วยซ้ำ
คุณเคยพูดว่าชีวิตในช่วง 3 – 5 ปี ที่ผ่านมา เป็นเหมือนชีวิตที่ได้ย้อนวัยกลับไปเป็น ‘หนุ่ม’ อีกครั้ง
หนุ่ม กะลา: ช่วงตั้งแต่เป็นนักร้องเดี่ยว หลังจากล้มลุกคลุกคลาน พอหลุดช่วงนั้นมาจนถึงวันนี้เป็นช่วงที่มีความสุขที่สุดในการเป็นนักร้องอาชีพ ผมว่ามันเป็นเพราะหลายๆ อย่างมันเปลี่ยนไป อย่างแรกคือ พอเราตั้งใจทำอะไรสักอย่างจริงๆ เราเข้าถึงแก่นมันจริง ๆ เราไม่ได้ทำโดยคาดหวังว่ามันจะได้หรือไม่ได้ มันก็เลยมีความสุขขึ้น แล้วผมต้องขอบคุณโลกตอนนี้ โลกที่เปิดกว้างมากๆ คือก่อนหน้านี้ถ้าเราเป็นแนวอะไรก็ตาม เราก็ต้องเล่นแนวนั้นตลอดเวลา แต่ว่าคือตอนนี้มันเหมือนเปิดกว้างให้เราได้ทดลองทำ ทำซิงเกิล นี้ไม่ดัง ก็เริ่มต้นใหม่ ผมเลยมีรู้สึกว่าก่อนหน้านี้พอเวลาทำ 10 เพลง แล้วเขาโปรโมต 3 เพลง แล้วมันแป้กทั้ง 3 เพลง งานชุดนั้นจบ พับ แป้ก หมดความดัง หายไป งานน้อย หรืออะไรก็ตามแต่ ตอนนี้มันกลายเป็นว่า ปล่อยหนึ่งซิงเกิล เห้ย มาไม่ถูกทาง เริ่มใหม่ ผมก็เลยรู้สึก ผมสดชื่นทุกครั้งในการที่ได้ลองผิดลองถูกอะไรแบบนี้ มันก็เลยมีความรู้สึกว่าช่วงเวลานี้ มันคือช่วงเวลาที่สนุกที่สุด การได้เล่นดนตรีข้างๆ กับคนที่เรารู้สึกเขาเล่นดี เล่นเก่ง เข้าขาที่สุด เข้าอกเข้าใจเรา มันเป็นเรื่องที่ผมรู้สึกโชคดีที่มีทีมที่ดี
ประคับประคองตัวตนให้คงเส้นคงวาแบบนี้ได้อย่างไร เพราะศิลปินมักจะเจออีโก้ตัวเองเล่นงานเสมอ
หนุ่ม กะลา: น่าจะเป็นเพราะ ผมเข้าถึงได้ ผมไม่เหมือนศิลปินมากกว่า ผมว่าผมเป็นกันเอง และผมว่าตอนที่ผมมาเป็นเดี่ยว ผมไม่ได้รู้สึกว่าผมเป็นซูเปอร์สตาร์ หรือเป็นสตาร์ ร็อคสตาร์ อะไรทั้งสิ้น ผมรู้สึกก็แค่ความคิดเปลี่ยน เพราะแค่เป็นนักร้องที่บังเอิญมีคนฟังเพลงผมเยอะ ผมไม่ได้โชคดีกว่าคนอื่น และผมไม่ได้รู้สึกว่าผมเป็นเทวดา หรือเหนือชั้นกว่าคนอื่นเหมือนที่ผ่านๆ มาแล้ว พอช่วงที่เราดัง เราอาจจะรู้สึกว่าเราเจ๋งที่สุด ผมไม่ได้รู้สึกแบบนั้น แต่ผมกลับรู้สึกทุกครั้งที่เราเจอคน หรือปรากฏตัว ถ้าเขาเข้ามาทักผม เขาก็ต้องรู้สึกว่า ผมเหมือนเพื่อนเขา เจอกัน คุยกันได้ ยิ้มได้ ทักทาย เพราะผมพูดไว้ว่า “เจอผมที่ไหนก็ตาม ถ้าผมเดินหน้าเฉยๆ อย่าตกใจนะ เพราะสมองผมกำลังเอ๋ออยู่ ผมชอบเดินคิดอะไรเรื่อย ๆ หน้าเลยดูนิ่ง ทักผมได้ทุกที่ ยกเว้นเวลาผมยืนฉี่อยู่” แค่นั้น
ชีวิตในวันนี้ล่ะ?
หนุ่ม กะลา: ตอนนี้เป็นช่วงที่ไม่ได้เล่นคอนเสิร์ต ครั้งแรกในชีวิตที่ห่างหายจากการเล่นคอนเสิร์ตไปนานที่สุดการเป็นนักร้อง สิ่งที่ทำได้ตอนนี้มีเรื่องฟิตเนส คือการฟิตเนสจะเป็นตารางอยู่แล้ว ทำทุกวัน อีกเรื่องคือตอนนี้มีการไปโปรดิวฯ งานให้คนอื่น แต่งเพลงให้คนอื่น แล้วก็หลักๆ คือ เลี้ยงลูก ลูกสาวน้องมิน ผมว่าเป็นความสดชื่นใหม่ในชีวิต เป็นความจอยสิ่งใหม่ในชีวิต ที่ผมเคยได้ยินแต่เรื่องเล่าว่า “ถ้ามีลูกจะยังไง ยังงี้ จะรู้สึกแบบนั้น แบบนี้” จนวันนี้รู้สึกเอง เคยได้เห็นวงอื่นๆ ที่เขามีลูก แล้วเขาไปเล่นคอนเสิร์ต แล้วเขารีบกลับบ้าน ผมก็ไม่เข้าใจว่าเลิกคอนเสิร์ตก็ดึกแล้วกลับบ้านทำไม อ๋อ วันนี้ผมก็กลับ ผมก็รีบกลับ
สิ่งที่ผมเปลี่ยนคือ ผมอยากมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น ยังไม่อยากตายเร็ว จากคนที่ฟิตเนสแล้วก็กินไม่ได้คำนึงว่าจะส่งผลอะไรกับเราบาง ก็กลายเป็นทุกอย่างที่ต้องกินเข้าไปเพื่อสร้างกล้าม เราต้องระวังตับ ระวังไต เพราะว่าลูกยังไม่ 2 ขวบ ตอนนี้ผม 41 ถ้าผม 60 ลูก 20 เอง ถ้าตอน 55 เป็นอะไรไปก่อนมันแย่แน่ ผมรู้สึกว่าจะมีชีวิตให้นานขึ้น เพราะเด็กคนนี้
อยากเป็นพ่อแบบไหน
หนุ่ม กะลา: อยากเป็นพ่อที่เป็นเพื่อน ที่คิดไว้ถ้าวันหนึ่งเขาอยากจะลอง อยากจะทำอะไรก็ตามแต่ ให้บอกผม หรือแม้กระทั่งว่าอยากไปเที่ยวเดี๋ยวขับรถไปส่ง ถ้าโตขึ้นแล้วอยากปาร์ตี้เดี๋ยวหาให้ คือไม่อยากห้ามให้เขาไม่ทำ แต่อยากให้เขาทำมากกว่า แล้วให้เขาเลือกเองว่าสิ่งที่ทำอยู่ เขาชอบไหม ถ้าอยากเป็นนักปาร์ตี้ลองกินเหล้า เมาแล้วชอบไหมหรือเมาแล้วรู้สึกยะแหยง แต่อยากให้ลงมือทำไม่อยากห้าม
ประสบการณ์จากอัลบั้มใหม่
หนุ่ม กะลา: ผมประทับใจทุกคนที่มา Feat. ด้วย แต่ถ้าจะให้พูดถึงพี่ เบิร์ด-ธงไชย แมคอินไตย์ เขาเป็นแรงบันดาลใจให้ผมตั้งแต่เด็ก แล้วก็เป็นแรงบันดาลใจที่ส่งมาหาก่อนที่จะร่วม Feat. กับพี่เขาอีก มันเป็นความฝันที่ไม่เคยฝันถึง มันเป็นสิ่งที่เราเอื้อมไม่ถึงอยู่แล้ว แล้วพอวันหนึ่งมันเป็นจริง ๆ สิ่งที่ได้กลับมาคือ การได้ยืนคุยกับพี่เบิร์ดเวลาถ่าย MV การได้สนทนากับพี่เบิร์ดแล้วเขาสอนว่าต้องทำอะไรบ้าง ส่งแรงบันดาลใจมาถึง ยิ่งเพิ่มสิ่งที่เรารักแกอยู่แล้ว ยิ่งทำให้รู้สึกดีกับแกขึ้นไปอีก แต่กับคนอื่น ๆ ก็สุดทุกคน เพราะว่าทุกคนที่ผมร่วม Feat. ในงานชุดนี้คือ คนที่ผมอยากทำงานด้วย
ผมชอบงานอัลบั้มนี้ทุกเพลง รู้สึกว่างานชุดนี้เป็นงานที่สนอง need ตัวเอง เสิร์ฟตัวเองสุด ๆ อย่างแรกที่บอกว่าชอบที่สุดเพราะว่า ได้ทำเพลงโดยที่ไม่มีการตลาดเข้ามายุ่งเลย ขอบคุณแกรมมี่ ขอบคุณ Genie Records ขอบคุณพี่สันต์ ผมน่าจะเป็น 1 ในนักร้องไม่กี่คนบนโลกที่ได้ทำอะไรก็ตามที่ไม่อิงการตลาด ก็เลยรู้สึกว่ามันมีแนวเพลงอย่าง เพลงแบบ TJ แล้วผมเป็นนักร้องเพลงร็อก ไม่มีวันที่จะได้ทำเพลงแบบนั้นแน่ ๆ ผมเชื่อว่าค่ายก็ไม่มีทางยอมให้ทำอยู่แล้ว เพราะว่ามันมีความเสี่ยงที่ทำให้สาวกผมเสื่อมศรัทธา “มึงร้องเพลงอะไรของมึง” มันเลยรู้สึกว่าสนุกทุกเพลง จอยจริง ๆ ทุกเพลง
และอย่างเพลง “รู้ว่ารักก็พอ” เพลงที่ผม Feat. กับพ่อผมเอง ซึ่งการ Feat. กับพ่อตัวเองมันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้อยู่แล้ว พ่อผมไม่ใช่คนดัง แล้วมันคือเพลงที่ชอบที่สุดเพลงหนึ่ง มันเป็นเพลงที่ทีมงานทุกคนยกให้เพลงนี้เป็นเพลงที่เพราะที่สุดในอัลบั้ม ไม่มีการตลาดเข้ามาเกี่ยวข้อง แล้วมันถูกแต่งจากเรื่องจริงในบ้านของผมเอง เพราะว่าพ่อกับแม่ผมเลิกกันไปแล้ว แล้วพ่อก็ไม่มีใครเหมือนเขารอแม่มาตลอด ผมก็เลยเหมือนใช้เพลงนี้แต่งให้พ่อพูดถึงแม่ แล้วก็ได้ใช้ความเป็นลูกทุ่งของพ่อกลับมาสู่ในเพลง ซึ่งผมก็ร้องเพลงแนวผม พ่อก็ร้องลูกทุ่งในท่อนของพ่อ
ฝากถึงคนที่อ่านอยู่
หนุ่ม กะลา: ตลอด 23 ปี ขอบคุณคนฟังคือ อย่างแรกผมกลับมา ได้ทำงานที่รักในทุกๆ วัน เหมือนตอนนี้ได้เพราะว่า เขายังให้โอกาส รู้สึกว่าผมเป็นนักร้องหลงยุคที่ยังมีเพลงที่อยู่ในกระแสหลักได้ ก็เพราะพวกเขายังเปิดใจที่จะฟังงานของผม ถ้าขอบคุณได้ขอบคุณแฟนเพลงทุกคนมากๆ
อัลบั้มภาพ 7 ภาพ