Red Velvet “Feel My Rhythm” ปลุกชีพ Bach กลับมาอีกครั้ง
เกือบ 300 ปีที่ทำนองสุดไพเราะจากเพลง Air on G String ได้ถือกำหนดขึ้นโดยสุดยอดนักประพันธ์ชาวเยอรมัน Johann Sebastian Bach บิดาแห่งดนตรียุคบาโรก ไม่น่าเชื่อเลยว่าเพลงนี้จะถูกยกกลับมาอีกครั้งในรูปแบบใหม่ไฉไลกว่าเดิมโดยวงเกิร์ลกรุ๊ป Red Velvet ในวันเกิดครบรอบอายุ 337 ปีของคีตกวีเจ้าของเพลงพอดิบพอดี งานนี้ขอบอกเลยว่าปังมาก!
ทำความรู้จักกับ Bach สักเล็กน้อย
โยฮันน์ เซบาสเตียน บาค เกิดเมื่อปี 1685 ในครอบครัวที่เต็มไปด้วยเสียงดนตรี บาคผู้เติบโตมาจากการร้องเพลงในวงคอรัส ฝึกหัดเป็นนักออร์แกนตามรอยพี่ชาย เล่นไวโอลิน เป็นนักซ่อมออร์แกนมือฉกาจ และเป็นนักแต่งเพลงที่ทำงานให้กับทั้งองค์กรทางศาสนา โบสถ์ และราชสำนัก
กว่า 1,000 บทประพันธ์ของบาคเรียกได้ว่าเป็นเพชรน้ำดี เป็นสมบัติอันทรงคุณค่าของมวลมนุษยชาติ ด้วยสไตล์การแต่งเพลงของบาคที่พาให้ Polyphony ไปถึงขีดสุด ดนตรีที่มีหลายทำนอง หลากคาแรคเตอร์แตกต่างกันไปซ้อนทับกันอยู่ซึ่งเคยเป็นที่นิยมมากในยุค Renaissance มาอย่างยาวนานจนคนในยุคนั้นรู้สึกเหนื่อยหน่าย แต่บาคกลับทำให้ดนตรีประเภทนี้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น ซับซ้อนยิ่งกว่าเดิมหลายเท่าจนยากที่ใครจะเลียนแบบได้
Air on G String
บาคได้แต่งเพลงชุดที่เรียกว่า Orchestral Suite เพลงบรรเลงสำหรับวงออร์เคสตราเอาไว้ 4 บท โดยคุณ August Wilhelmj นักไวโอลินชาวเยอรมันได้หยิบยกเอาทำนองจากท่อนที่ 2 ของบทที่ 3 มาเรียบเรียงเสียงประสานใหม่ โดยเปลี่ยนคีย์จากต้นฉบับให้เสียงต่ำลงจนสามารถเล่นบนสาย G สายที่ต่ำที่สุดของไวโอลิน เป็นที่มาของชื่อว่าทำไมต้อง Air บทสาย G (ที่ไม่ใช่กางเกงชั้นใน G String)
ตัวอย่างเพลง J. S. Bach - Orchestral Suite หมายเลข 3 ท่อนที่ 2 Air เริ่มนาทีที่ 6:18
Red Velvet กับจุดเริ่มต้นความคลาสสิก
ถ้าหากจำได้ เมื่อวันที่ 6 มีนาคม ค่าย SM Entertainment ได้ทำการปล่อยภาพโปรโมทสำหรับอัลบั้ม The ReVe Festival 2022 - Feel My Rhythm ซึ่งเป็นภาพโน้ตเพลง ทำเอาแฟนคลับตื่นเต้นไปกับไอเดียสดใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนที่เต็มไปด้วยรายละเอียดที่น่าสนใจมาก
เริ่มตั้งแต่โลโก้ของวงที่มีการใช้กุญแจซอล (Treble Clef) โดยที่ตัวโลโก้วางอยู่บนบรรทัด 5 เส้นไม่ต่างไปจากกุญแจในสองบรรทัดล่าง
Time Signature สัญลักษณ์กำกับเวลา ตัวเลขที่ใช้บอกประเภทของโน้ตและจำนวนจังหวะในแต่ละห้องเพลงถูกใช้บอกวันที่ที่จะทำการปล่อยภาพและคลิปวีดีโอต่างๆ ไม่พอ ถ้าสังเกตจะเห็นขีดโค้งด้านบนและล่างที่เรียกว่า Slur ที่ใช้เชื่อมโน้ตต่อกัน ก็ไม่ต่างไปจากการใช้ - บอกว่าตั้งแต่วันที่เท่าไหร่ถึงเท่าไหร่ โอ้โห คิดได้ยังไงเนี่ย
แล้วไหนจะยังศัพท์อิตาเลียนที่มักพบในโน้ตดนตรีอย่าง calmato ที่แปลว่าสงบ และ capriccioso สนุกสนาน มีชีวิตชีวา
นอกจากนี้ตำแหน่งของรายละเอียดต่างๆ ก็น่าสนใจเช่นกัน ชื่อของ Red Velvet อยู่บริเวณมุมขวาด้านบนซึ่งเป็นตำแหน่งของชื่อผู้แต่งเพลง คำศัพท์ต่างๆ ที่กำกับอารมณ์ก็จะอยู่ด้านล่างของบรรทัด 5 เส้น รายละเอียดสำนักพิมพ์ การตีพิมพ์ ก็จะอยู่ตรงกลางด้านล่างสุดของโน้ต เรียกได้ว่าเอามาครบและจัดวางได้อย่างถูกต้องตามรูปแบบของ score เพลงเลยทีเดียว เชื่อเค้าเลย!
แต่ที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นโน้ตเพลงของบาคที่ทำให้คนก็สงสัยไปตามๆ กันว่าทำไมต้องเป็นเพลงนี้… แล้วมันจะอยู่ในเพลงของ Red Velvet จริงหรือไม่?
Bach - Air on G String อยู่ส่วนไหนของเพลงบ้าง?
ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงเลย แค่เปิดเริ่ม Intro ขึ้นมาพวกเราทุกคนก็ถูกพาย้อนยุคกลับไปสู่ความงดงามสไตล์บาโรกของบาคแล้ว แถมมาครบจัดเต็มไปถึงเครื่องดนตรี Harpsichord (ฮาร์พสิคอร์ด) เครื่องคีย์บอร์ดในยุคโบราณที่ช่วยเสริมบรรยากาศกันอย่างเต็มที่
ตัวอย่างเสียง Harpsichord ฮาร์พสิคอร์ด เครื่องดนตรีต้นตระกูลของเปียโน
สิ่งที่ผู้เขียนอยากยกย่องผู้แต่งคือการปรับเปลี่ยนทำนองเล็กน้อย โดยการขมวดให้ทำนองประโยคแรกจากที่เคยยาวมากกลับสั้นลงมากว่าเดิมเท่าตัวแต่ไม่ได้รู้สึกว่ามันแปลกหรือสั้นห้วนจนเกินไป ถือว่าทำออกมาได้เรียบเนียนดีมากเลย
นอกจากนี้ถ้าหากสังเกตคีย์ของเพลง Feel My Rhythm จะอยู่ในคีย์ Db Major เมื่อเทียบกับการตั้งเสียงหรือ tuning ในปัจจุบัน แต่ถ้ามองย้อนกลับไปในยุคบาโรกการตั้งเสียงในสมัยนั้นจะต่ำกว่าปัจจุบันค่อนข้างมาก เรียกได้ว่าเกือบจะครึ่งเสียงเลยทีเดียว นั่นทำให้จากคีย์ต้นฉบับที่ D Major จะมีเสียงออกมาต่ำลงไปครึ่งเสียงเป็น Db Major ซึ่งเพลงของ Red Velvet ก็เป็นตามนั้นเลย…โอ้โห ยอมรับเลยว่าใส่ใจมากๆ
คุณอาจคิดว่าบาคจะหายไปหลังจากนั้นเมื่อเข้าสู่ท่อน Verse 1 แต่เปล่าเลย แนวทำนองร้องเน้นอยู่บนโน้ตตัว F ซึ่งก็เป็นโน้ตตัวเดียวกับโน้ตแรกของ Air on G String ที่ลากค้างยาวจากในช่วง Intro นั่นแสดงให้เห็นถึงการนำทำนองหลักของบาคมาใช้เป็นธีมหลักแต่ประดับประดาเพิ่มลูกเล่นให้เพลงสวยงามมากยิ่งขึ้น
แม้ว่าในท่อน Pre-Chorus จะไม่ได้ยกเอาทำนองของบาคมาโดยตรงแต่ก็ยังไม่ทิ้งกลิ่นอายความคลาสสิกด้วยเสียงเครื่องแบบจัดเต็ม งดงาม แต่ถ้าหากสังเกตดีๆ ในนาทีที่ 1:10 ตาม MV จะได้ยินเสียงเครื่องสายในช่วงเสียงต่ำคล้ายเชลโลเล่นทำนองโน้ต 4 ตัวจากเพลง Air แม้จะเพียงไม่มากแต่ก็ถือว่าเป็น Motive หรือทำนองส่วนสั้นๆ ที่สำคัญของเพลงเลย
ยิ่งพอเข้าสู่ท่อน Chorus หรือท่อนฮุคผู้เขียนยิ่งกรี๊ดหนักมากกับการใส่ Air on G String มาเต็มๆ แต่ต่อให้จะจัดหนักกับทำนองของเครื่องสายแค่ไหนก็ไม่ได้รบกวนแนวทำนองหลักและดนตรีส่วนอื่นๆ เลย มันกลับช่วยขับให้แนวร้องมีความไพเราะสวยงาม เต็มไปด้วยเสียงประสานที่ทำให้เห็นภาพของสวนที่ดอกไม่เบ่งบานสะพรั่ง ความอลังการของพระราชวังที่ตกแต่งแบบศิลปะสไตล์บาโรก และเหล่าหญิงสาวผู้ซึ่งชีวิตเต็มไปด้วยความสุขสดใสเบิกบาน
ย้อนกลับไปพูดถึง Teaser ของ Red Velvet ที่ใช้คำว่า calmato และ capriccioso ก็ต้องยอมรับในความฉลาดของทั้งคนทำเพลงและค่ายอีกครั้งนึง เพราะในท่อนฮุคนี้แหละที่ทำให้เราเห็นภาพของสองคำนี้ชัดเจนมาก เมื่อเครื่องสายเล่นทำนองเพลง Air ที่มีความสงบ calm ส่วนดนตรีอื่นๆ สนุกสนานมีชีวิตชีวา Feel My Rhythm สามารถนำเสนอทั้งสองอารมณ์ไปพร้อมกันได้อย่างลงตัว
ในท่อนถัดมา Verse 2 นี้เองก็จะได้ยินเสียงโน้ตตัว Db แต่แทนที่รอบนี้จะลากโน้ตค้างยาวมันกลับมีอาการสะดุดขาดออกจากกัน เดี๋ยวสั้น เดี๋ยวยาวไม่เท่ากัน เดี๋ยวสลับด้วยโน้ตที่สูงกว่าครึ่งเสียง (เหมือนกับแนวทำนองร้องของไอรีนใน Verse 1) พอนาทีที่ 1:49 และ 2:01 ก็จะได้ยิน Motive สั้นๆ อย่างชัดเจนอีกครั้ง เล่นเอาผู้เขียนที่เป็นนักดนตรีถึงกับยิ้มในความขี้เล่นของผู้แต่งที่นำบาคมาปรับใหม่ให้มันสนุกสนาน คล้ายกับว่าฟังเพลงของน้องเค้กแล้วมีลุงบาคคอยโผล่มาจ๊ะเอ๋อยู่ตลอดทั้งเพลงอย่างนั้นเลย
และแล้วก็มาถึงท่อนที่ทำให้ผู้เขียนกรี๊ดดังที่สุด นั่นคือท่อน Bridge ซึ่ง SM ก็ยังคงไม่ทำให้เราผิดหวัง ในท่อนนี้คือการยกเอาทำนองช่วงท่อนกลางของ Air on G String ที่เป็น Minor ซึ่งบรรยากาศจะหม่นหมองลงมาใส่ ควบคู่ไปกับทำนองร้องที่เพราะมากๆ พอเครื่องสายเล่นทำนองที่มีความ intense ตึงเครียดสูงขึ้น จังหวะของเพลงก็ปรับไวขึ้น แนวร้องที่เคยหวานๆ ช้าๆ ก็กลายเป็นแร็ปเพื่อเร่งพาให้เพลงไปถึงจุดพีคสุด
ตัวอย่างเพลง J. S. Bach - Air on G String นาทีที่ 1:39 ท่อนกลางสีสันของเพลงเปลี่ยนไป
Red Velvet พาเพลง Air ของบาคให้บียอนด์ไปไกลกว่าเดิมในท่อน Chorus สุดท้ายด้วยการเปลี่ยนเสียงให้สูงขึ้นไปอีก 1 สเต็ปราวกับว่ากำลังพาบาคเดินทางมาสู่โลกอนาคต สีสันใหม่ โลกใหม่ที่แตกต่างจากเดิม แนวร้องแอดลิบยิ่งช่วยผลักให้เพลงไปสู่จุดขีดสุด ทำนองหลากหลายแนวประสานตัดฉวัดเฉวียนกันไปมาจนแทบจะคล้ายกับว่าเลียนแบบดนตรีสไตล์ Polyphony ในสมัยของบาคก็ว่าได้
ช่างเป็นการนำเพลงคลาสสิกมาใส่ได้อย่างน่าประทับใจ ไม่ใช่แค่หยิบยกมาใส่ง่ายๆ แต่มีการปรับแต่ง ซุกซ่อนอยู่ในแนวทำนองต่างๆ จนทำให้กลายเป็นเพลงที่น่าสนใจ และถือว่าผู้แต่งเพลงนี้ให้เกียรติบาคเจ้าของบทเพลงนี้ที่มีอายุกว่า 300 ปีแล้ว…
Air on G String บทเพลงอันแสนไพเราะของ Bach คีตกวีแห่งยุคบาโรกได้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เสียงเครื่องสายคลาสสิกผสมผสานไปกับบีตสมัยใหม่และเสียงร้องของ Red Velvet ได้อย่างลงตัวอย่างที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ ผู้เขียนขอยกให้ Feel My Rhythm เป็นชิ้นงาน Masterpiece ที่เต็มไปด้วยคุณค่าทางด้านศิลปะ
300 กว่าปีผ่านไปก็แล้ว แต่เพลงของ Bach ยังมาอยู่ในเพลงของน้องเค้ก Bach เก่งอ่ะ
ส่งท้าย.. ผู้เขียนขอถือโอกาสนี้แนะนำผลงานที่น่าสนใจของ Bach ให้ทุกคนได้ลองฟัง
Badinerie จาก Orchestral Suite หมายเลข 2 ทำนองยอดฮิตบรรเลงโดยเครื่องดนตรีฟลูต ที่ในอดีตเคยเป็นเสียงริงโทนโทรศัพท์ด้วย ถ้าใครเกิดทันยุค Nokia 3310 นะ
อีกทำนองฮิตที่ถูกนำไปใส่ในคลิปต่างๆ ภาพยนตร์ ละคร โฆษณา บทเพลงชุดสำหรับเชลโลบรรเลงตัวเดียวของบาคเพลงนี้เรียกได้ว่าเป็นเพลงมาตรฐานที่นักเชลโลทุกคนต้องเคยผ่านมาแล้ว ทำนองที่น่ารักนี้แท้จริงแล้วเล่นไม่ง่ายเลยนะ
นอกจากเดี่ยวเชลโลแล้วก็ยังมีเดี่ยวไวโอลินที่ต้องเล่นราวกับว่าเป็น 4 คนเล่น 4 โน้ตพร้อมๆ กัน บทเพลงปราบเซียนนี้เองอาจคุ้นหูใครหลายคนจากซีรีย์เรื่อง Vincenzo ที่ทำนองนี้มักโผล่มาบ่อยๆ เวลาที่พระเอกมาเฟียทำการฆ่าคน
Brandenburg Concerto ของบาคมีทั้งหมด 6 หมายเลข บาครวบรวมเพลงเหล่านี้ไว้ในช่วงที่ต้องการหางานใหม่ (คล้ายกับเป็น CV ของตัวเอง) หมายเลข 2 เป็นหนึ่งในบทเพลงที่มีชื่อเสียงมากเนื่องจากความหลากหลายของเครื่องดนตรี โดยเฉพาะ Piccolo Trumpet ทรัมเปตที่เสียงสูงและต้องใช้ความสามารถของผู้เล่นที่สูงมากเช่นกัน
ส่งท้ายด้วย ทำนองเปียโนที่คุ้นหูใครหลายคนแน่นอน ต้นฉบับนั้นแต่งโดยบาคนั่นเอง เป็นเพลงที่ในภายหลังถูกนำไปเรียบเรียงเสียงประสานใหม่โดยนักประพันธ์ชาวฝรั่งเศส Charles Gounod ใส่ทำนองพร้อมด้วยคำร้องจากกลอน Ave Maria เข้าไป จนตอนนี้กลายเป็นหนึ่งในเพลงแต่งงานยอดฮิตไปแล้ว