We're Gonna Be OK การโบยบินอำลาความโศกด้วยคีตกรรมจากพญาอินทรี Tilly Birds | Sanook Music

We're Gonna Be OK การโบยบินอำลาความโศกด้วยคีตกรรมจากพญาอินทรี Tilly Birds

We're Gonna Be OK การโบยบินอำลาความโศกด้วยคีตกรรมจากพญาอินทรี Tilly Birds
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ในบรรดานกที่โบยบินอยู่บนฟ้า นกอินทรีหรือพญาอินทรีเป็นนกที่หลายคนจดจำ ในฐานะนกที่มีรูปลักษณ์แตกต่างและดึงดูดรวมถึงน่าเกรงขาม และในขณะเดียวกันก็มีความสามารถที่โดดเด่นในแง่การบินและการล่า ซึ่งลักษณะของนกอินทรี ก็ทำให้เรานึกถึงวงดนตรีที่มีชื่อคล้ายกับนกอย่าง Tilly Birds ซึ่งโดดเด่นในหลายแง่มุมจนมีกราฟความสำเร็จที่พุ่งอย่างมั่นคงและพิสูจน์ให้เราเห็นว่าไม่ใช่วง One Hit Wonder ที่มาแล้วหาย แต่กลับเป็นนักล่าความสำเร็จและรางวัลอย่าง กวาดรางวัลชั้นนำจนเราอดเทียบพวกเขากับนักล่าอย่างพญานกอินทรีไม่ได้ และล่าสุดทางวงก็ตั้งเป้าหมายใหญ่อย่างการคว้ารางวัล สาขาเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม จากเวที Academy Awards หรือออสการ์ด้วย 

Tilly Birds ถือเป็นวงดนตรีที่มีความโดดเด่นแทบจะทุกแง่มุม ราวกับ เอซ ในสำรับไพ่ ซึ่งวงนี้แม้จะมีเมมเบอร์แค่ 3 คน แต่พวกเขาก็มีความโดดเด่นทุกคน ไม่ว่าจะ เติร์ด-อนุโรจน์ เกตุเลขา (ร้องนำ) นักร้องเสียงเอกลักษณ์ที่มีพรสวรรค์ยากจะลอกเลียนแบบ และในขณะเดียวกันก็มีพรแสวงอีกมากจนสามารถใช้เสียงและเอนเตอร์แทนแฟนๆ ได้เหมาะสม ไปจนถึงสามารถแต่งเพลงของวงและให้ศิลปินอื่นไม่ว่าจะเพลง “เมื่อวานก็นานไป” ของ Jaylerr x Paris และเพลง “พี่ไม่หล่อลวง” ของ แบมแบม รวมถึงทำให้หลายคนตกใจกับบทบาทใหม่ในการกำกับเอ็มวี “ลู่วิ่ง” ของวง และ “เจ้าของที่” ของวง Mirrr, ส่วน บิลลี่-ณัฐดนัย ชูชาติ (กีตาร์) หรือ BILLbilly01 คือเจ้าของช่องคัฟเวอร์เพลงที่มียอดติดตามหลักล้านรวมถึงโปรดิวเซอร์รุ่นใหม่ที่หาตัวจับยาก ส่วนทางด้านกระดูกสันหลังของวงอย่าง ไมโล-ธุวานนท์ ตันติวัฒนวรกุล (กลอง) ก็เป็นอีกหนึ่งมือกลองที่ฝีมือไม่ธรรมดาจนสามารถรับมือกับเพลงที่เต็มไปด้วยสีสันของวงทั้งตอนเล่นสดกับเรียบเรียง และในขณะเดียวกันก็เป็นนักดนตรีที่มีไอเท็มลับซ่อนอยู่อย่างการแร็ปและการเล่นดนตรีชนิดอื่นจนหลายคนต้องแปลกใจ และเมื่อรวมตัวด้วยกัน พวกเขาก็ได้ใช้ความแตกต่างกับเสน่ห์ทั้งซาวด์ ดนตรี รวมไปถึงวิชวลอาร์ตและเอ็มวีที่สดใหม่ และความสามารถในการเก็บแฟนเพลง จนฐานผู้ฟังเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนตลอด 3-4 ปีที่พวกเขาอยู่ในบ้าน Gene Lab รวมถึงสามารถสร้างพันธมิตรและความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับเพื่อนร่วมวงการจนไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะได้เห็นชื่อสมาชิก Tilly Birds ในฐานะศิลปินรับเชิญหรืออยู่ในเครดิตผลงานต่างๆ ของนักร้องอื่น

ปัจจุบันวง Tilly Birds ถึงหลักไมล์สำคัญอย่างการปล่อยอัลบั้ม 2 ซึ่งสามารถเป็นทั้งจุดทะยานเหมือนในเคสของวง Clash กับอัลบั้มชุด Soundshake หรืออีกหลายศิลปินรุ่นพี่ หรือจุดดับตามคำที่หลายคนเรียกว่า “อาถรรพ์ชุด 2” แต่สุดท้าย ผลงานชุด It’s Gonna Be OK ของพวกเขาก็ได้รับคำชมอย่างท่วมท้น และทำให้พวกเขาได้รับหลายรางวัล และมีเพลงระดับร้อยล้านวิวถึง 1 ซิงเกิลอย่าง “เพื่อนเล่นไม่เล่นเพื่อน” รวมถึงเพลงที่ครองแชมป์เกือบทุกชาร์ตในไทยยาวนับเดือนอย่าง “ถ้าเราเจอกันอีก” รวมถึงความสำเร็จบนเวที TOTY Music Awards 2021 และ Best Asian Artist จาก Mnet Asian Music Awards 2021 รวมทั้งอีก 2 รางวัลล่าสุด ศิลปินกลุ่มยอดเยี่ยม และ อัลบั้มยอดเยี่ยม จากเวที คมชัดลึก อวอร์ด และความสำเร็จเหล่านี้ทำให้เรามอง Tilly Birds เหมือนพญาอินทรีของวงการเพลงไทยยุคใหม่ที่ออกล่าความสำเร็จใหม่ต่อเนื่อง

แม้ว่าอัลบั้ม It’s Gonna Be OK จะปล่อยตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา แต่สถานการณ์โควิด-19 ที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ ทำให้ทางวงต้องเลื่อนการเปิดตัวอัลบั้มมาจนถึงวันที่ 2 เมษายน 2021 ในงาน We're Gonna Be OK ที่มีแฟนๆ เข้าร่วม 100 คน ในรูปแบบ Exhibition & Concert ที่ Siam Discovery ซึ่งจะมีการไลฟ์ในเพจให้แฟนๆ ทั่วประเทศชมด้วย ซึ่งในงานดังกล่าวก็เริ่มในเวลา 18.00 น, หลังการเปิดตัวเอ็มวี “ถ้าเราเจอกันอีก” อย่างเป็นทางการ 

สำหรับการแสดง We're Gonna Be OK เริ่มขึ้นกับเพลง “เบื่อคนขี้เบื่อ” ผลงานที่มีสีสันจัดจ้าน ซึ่งพอมาเป็นเวอร์ชั่นแสดงสดสมาชิกทุกคนได้ใส่เต็มการร้องและเล่นดนตรีไปอีกระดับ จนพื้นที่งานเต็มไปด้วยเสียงกรี๊ด ก่อนที่วงจะมาต่อด้วยเพลง “แค่พี่น้อง” จากอัลบั้มชุดแรก เพื่อสานต่ออารมณ์เดือดดาล โดยงานนี้นอกจากดนตรีจี๊ดจ๊าด เติร์ดก็อิมโพรไวซ์หนักๆ ในการร้องอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่บรรยากาศจะเริ่มเบาลงด้วยเพลง “ลู่วิ่ง” และ “ฤดูหนาว” จากอัลบั้มแรก ที่ไมโลเข้ามาแร็ปจนเสียงกรี๊ดสนั่น 

ตลอดการแสดงของโชว์ Tilly Birds ได้จัดหนักการร้องเพลงเล่นดนตรีที่หนักหน่วงและเต็มไปด้วยอิมโพรไวซ์ ในขณะที่เติร์ดนอกจากการร้องเกรี้ยวกราด ฉูดฉาด รวมถึงพาทุกคนดิ่งกับความเศร้าบางช่วงแล้ว เขายังดำเนินเรื่องราวในงานในรูปแบบศิราณีที่พยายามให้ทุกคนปลดปล่อยความเศร้า พร้อมละลายพฤติกรรมจนแฟนๆ ลุกขึ้นมาสนุกรวมถึงทำให้เราลืมไปว่าทุกเพลงที่เขาเอามาเล่นเป็นเพลงไม่สมหวัง 

ช่วงกลางของงานวงมากับเพลง “เพื่อนเล่นไม่เล่นเพื่อน” ก่อนเข้าสู่ช่วงเพลงช้าอย่าง “เดอะแบก” และ “ติดตรงที่ฉัน” ที่เบาแต่ก็ยังสีสันแน่น โดยเฉพาะช่วงท้ายเพลง “ติดตรงที่ฉัน” ที่ดนตรีเบาลงๆ จนเราได้ฟังลูกเล่นการร้องของเติร์ดที่สื่อถึงความรู้สึกอ่อนแรงของเนื้อหา และก็มาถึง 2 เพลงเดือดเพลงสุดท้ายของงานอย่าง “ขอให้เธอโชคดี”  ที่ช่วงท้ายใส่โซโล่ดนตรีที่มีกลิ่นอายแบบร็อคแอนด์โรลฝั่งตะวันตก “ฉันมันเป็นใคร” ที่เราได้เห็นการตีกลองและโซโล่จัดหนักจนเราอยากถามไมโลว่า “เมื่อยไหมนั่น?”

ตอนท้ายของงาน ก็ถึงเวลาเพลงที่หลายคนรอคอยอย่าง “คิด(แต่ไม่)ถึง” ที่มีสีสันเพิ่มจาก Official Audio ก่อนที่จะถึงโมเมนต์สำคัญอย่างการเล่นเพลง “เธอไม่ได้อยู่คนเดียว” ที่ไมโลมาเล่นกีตาร์โปร่ง และแม้ว่าจะเป็นเพลงที่ซาวด์เบาสุด แต่เสียงรอบด้านก็เต็มไปด้วยความเงียบ ในขณะที่ทางวงได้ใช้เสียงดนตรีในการละลายความรู้สึกผู้ฟัง และสุดท้ายแล้วก็ถึงเวลาสำคัญอย่างการเล่นเพลง “ถ้าเราเจอกันอีก” ผลงานสุดท้ายของอัลบั้มที่เติร์ดได้ตั้งใจถ่ายทอดเต็มที่แทนคำขอบคุณทุกคน และเพลงนี้มากับบรรยากาศทะเลดาวจากแฟนๆ เป็นอันปิดฉากการแสดงทั้งหมดและเข้าสู่ช่วงสัมภาษณ์ปิดงาน 

การแสดง We're Gonna Be OK ถือเป็นอีกหนึ่งหลักไมล์ที่สำคัญของวงไม่แพ้การปล่อยอัลบั้ม 2 เพราะมันทำให้เราได้เห็นพัฒนาการของวงทั้งในเรื่องการแสดง ทั้งการร้องและเอนเตอร์เทนคนดูในแบบฉบับของเติร์ด ลีลาดนตรีที่เหลือร้ายของไมโลและบิลลี่ ที่มาไกลจากตอนเป็นวงเปิดให้กับงาน Cocktail Live #เล่นด้วยหัวใจเสมอมา ซึ่งนี่ก็ทำให้เราไม่แปลกใจว่าทำไมปัจจุบัน Tilly Birds ถึงมีงานโชว์จำนวนมาก แม้จะเป็นช่วงที่สถานบันเทิงยังกลับมาไม่เต็มร้อย และถ้าพวกเขายังคงเดินหน้าพัฒนาตัวเอง ความฝันของวงในการขึ้นเทศกาลดนตรีระดับโลกอย่าง Glastonberry ที่อังกฤษที่พวกเขาเคยบอกทีมงาน Sanook ไว้ คงเป็นอีกหลักไมล์ที่ไม่ไกลเกินจริงสำหรับพญาอินทรีแห่งวงการเพลงยุคใหม่ที่ไล่ล่าความสำเร็จอย่าง Tilly Birds

สำหรับเราเสน่ห์การแสดงสดของ Tilly Birds คือการที่พวกเขาเพิ่มเลเวลความเข้มข้นของเพลงไปอีกระดับเวลาแสดงสดราวกับเป็นนกอินทรีที่จับผู้ชมไว้อยู่หมัดด้วยความเกรี๊ยวกราดในดนตรีและการสื่ออารมณ์ที่สามารถทำอารมณ์กราฟพุ่งสูงหรือดำดิ่งกับความเศร้าตลอดโชว์ และนอกจากการแสดงแล้ว เติร์ดก็มีสคริปต์การพูดที่น่าสนใจด้วย เพราะงานล่าสุดเขามากับบทบาทการเป็นศิลปินที่ทั้งเอนเตอร์เทนปลุกอารมณ์และศิราณีที่เป็นเหมือนเพื่อนคนฟังด้วย จนเรารู้สึกสนุก สำหรับบอกตรงๆ ว่างาน  We're Gonna Be OK เป็นงานที่เราแทบไม่อยากยกมือถือขึ้นมาถ่ายอะไรเลย เพราะพวกเขาเอาโชว์อยู่จริงๆ

ภาพรวมแล้วงาน We're Gonna Be OK เป็นคอนเสิร์ตที่สมบูรณ์สำหรับเรา แม้ว่าจะมีบางช่วงที่ซาวด์ดนตรีแอบกลบเสียงเติร์ด อย่างตอนเริ่มเพลง “เบื่อคนขี้เบื่อ” ที่เรามองว่าแอบเบาไปบ้าง จนไม่รู้ว่าเป็นความตั้งใจหรืออะไร แต่พาร์ทที่เหลือนั้นซาวด์ออกมาค่อนข้างดีแม้ว่างานครั้งนี้จะเป็นงานเอาท์ดอร์ที่การควบคุมสภาพแวดล้อมไม่ได้ง่าย และอีกหนึ่งสิ่งที่เราเสียดายคือการที่ทางวงไม่ได้นำเพลงสากลอย่าง "Heart in a Cage", "Unwanted" และ "Like a Dead Man" มาเล่น รวมถึงเพลง “จากกันด้วยดี” ซิงเกิลแรกที่พวกเขาทำกับ Gene Lab ที่เรามองว่าเป็นอีกหลักไมล์สำคัญของวง

ตอนท้ายของงาน We're Gonna Be OK สมาชิก Tilly Birds ได้เผยความต้องการในการจัดคอนเสิร์ตใหญ่ ซึ่งเป็นอีกเรื่องราวที่สร้างความตื่นเต้นเพราะนอกจากการโชว์อันเด็ดดวงที่เราพรรณนาตลอดรีวิวแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่เราเกริ่นไว้ตอนแรกของบทความคือ  Tilly Birds มีความเด่นในเรื่องวิสัยทัศน์และไอเดียในการเล่าเรื่องผ่านศิลปะแขนงอื่นๆ อย่างภาพ คอสตูม วิชวลอาร์ต และขณะเดียวกันก็มีความรสนิยมซาวด์ที่น่าสนใจ ไปจนถึงมิตรภาพอันเหนียวกับศิลปินเกือบนับไม่ถ้วนที่พวกเขาร่วมงานตลอดหลายปีที่ผ่านมา และนี่ก็ทำให้เรามองว่าในวันที่ Tilly Birds มีคอนเสิร์ตใหญ่ มันต้องเป็นความสำเร็จที่พญาอินทรีของวงการเพลงยุคใหม่อย่างพวกเขาต้องทำออกมาได้เหนือความคาดหมาย  

อัลบั้มภาพ 18 ภาพ

อัลบั้มภาพ 18 ภาพ ของ We're Gonna Be OK การโบยบินอำลาความโศกด้วยคีตกรรมจากพญาอินทรี Tilly Birds

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook