สัมภาษณ์ อนยู SHINee การเติบโตในเส้นทางศิลปินเดี่ยวที่นำเสนอผลงานอันไร้ขีดจำกัด
บทสัมภาษณ์ อนยู (ONEW) SHINee จากงานแถลงข่าวเปิดตัวมินิอัลบั้มชุดที่ 2 DICE ผลงานในฐานะศิลปินเดี่ยวชุดใหม่ในรอบ 3 ปีกว่า
จากปล่อยโซโล่มินิอัลบั้มแรก VOICE เมื่อเดือนธันวาคม 2561 อนยูกลับมาโชว์เสียงหวานๆ ที่มีเอกลักษณ์ของเขาให้แฟนๆ ได้ฟังกันอีกครั้งในมินิอัลบั้มชุดที่ 2 DICE ที่นอกจากจะกลับมาด้วยภาพลักษณ์ที่โตขึ้น เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์มากขึ้นแล้ว เขายังตั้งใจถ่ายทอดตัวตนของเขาในด้านใหม่ๆ ที่แฟนๆ ยังไม่เคยเห็นมาก่อน และตั้งใจทำผลงานในฐานะศิลปินเดี่ยวอย่างเต็มที่ เพื่อพิสูจน์ความสามารถทางดนตรีของเขาอย่างชัดเจนมากขึ้นอีกครั้ง ให้แฟนๆ ได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของเขาผ่านน้ำเสียงและบทเพลงของเขาที่ตั้งใจทำมาอย่างดีในครั้งนี้
อนยู ให้สัมภาษณ์ในงานแถลงข่าวออนไลน์เปิดตัวมินิอัลบั้ม DICE อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 11 เมษายนที่ผ่านมา โดยมี มินโฮ SHINee เป็นพิธีกรให้ ความสนิทสนมของทั้งคู่ทำให้บรรยากาศของงานเต็มไปด้วยความสนุกและอบอุ่นตามคาด
DICE เป็นโซโล่มินิอัลบั้มใหม่ ในรอบ 3 ปี 4 เดือน รู้สึกอย่างไรกับการกลับมาในครั้งนี้?
ถือเป็นการห่างหายไปนานเลยครับ พอได้กลับมาทำโซโล่อัลบั้ม ผมก็รู้สึกทั้งตื่นเต้นและประหม่าในเวลาเดียวกัน ผมตั้งใจทำงานอย่างหนักในโซโล่มินิอัลบั้มนี้ เพื่อแสดงให้เห็นถึงสไตล์ดนตรีที่โตขึ้น พร้อมกับด้านต่างๆ ของตัวผมเอง ดังนั้น ผมหวังว่าแฟนๆ จะสนุกกับการฟังอัลบั้มนี้ รวมถึงขอขอบคุณสำหรับความรักและการสนับสนุนจากทุกคนครับ
แนะนำมินิอัลบั้มใหม่ DICE
DICE เป็นมินิอัลบั้มที่มีทั้งหมด 6 เพลง รวมเพลงไตเติล “DICE” ด้วยครับ ตั้งแต่ความรู้สึกสดชื่น โรแมนติก ไปจนถึงเพลงเศร้า ผมพยายามรวบรวมความหลากหลายของดนตรีเข้ากับอารมณ์ต่างๆ ที่มีเนื้อเพลงและข้อความสื่อถึงความหวังครับ อีกทั้งเนื่องจากอัลบั้มนี้ เต็มไปด้วยเพลงที่มีความเกี่ยวโยงในหลากหลายสถานการณ์ ผมคิดว่าทุกคนจะสามารถเพลิดเพลินไปกับอัลบั้มได้ จากการฟังเพลงและเชื่อมโยงเข้ากับสถานการณ์ของแต่ละคนครับ
เล่าถึงเพลง "Sunshine"
"Sunshine" เพลงแนว electronic pop ที่มีจังหวะสนุกสนานพร้อมเสียงกีต้าร์แบบฟังกี้ครับ เป็นเพลงที่ถ่ายทอดความรู้สึกตื่นเต้นของการออกเดินทางโดยไม่ต้องวางแผนล่วงหน้า เพื่อหลีกหนีจากช่วงเวลาอันน่าเบื่อในชีวิต และเหมาะกับสภาพอากาศในข่วงนี้ ที่คุณก็แค่อยากออกไปสนุกข้างนอกครับ ผมเชื่อว่าถ้าคุณเพิ่มเพลง "Sunshine" ลงไปในเพลย์ลิสต์ระหว่างไปโรดทริปหรือขับรถ ก็จะเพิ่มความตื่นเต้นให้กับชีวิตประจำวันของคุณได้เลยครับ
และในเนื้อเพลงก็จะมีคำต่างๆ เช่น White Piña colada, The Bahamas, nirvana และ passport ที่ทำให้นึกถึงช่วงเวลาวันหยุดพักร้อนได้ด้วยครับ อันที่จริง เนื้อเพลงที่ผมได้รับในตอนแรกไม่มี “s” อยู่ในคำว่า "White Piña colada" แต่ผมก็เพิ่มมันลงไปด้วยหลากหลายเหตุผล นอกจากจะทำให้เสียงดูน่าฟังขึ้น เพราะคล้องจองกับท่อนถัดไปจนถึงท่อนจบแล้ว ก็ยังช่วยสื่อในเชิงความหมายด้วยครับ การเดินทางไปกับคนที่เข้ากับคุณได้ดี จะสนุกกว่าการเดินทางเพียงลำพัง ดังนั้น ผมเลยเพิ่ม “s” เข้าไปด้วย เพื่อแสดงถึงจำนวนที่มากกว่าหนึ่ง
เล่าถึงเพลง "On the way"
"On the way" เพลงที่มีเสียงของเปียโนแบบแจ๊สผสมผสานกับเสียงกีตาร์ ซึ่งทำให้รู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้ฟังครับ มันโรแมนติกมากๆ ตรงเนื้อหาของเพลงที่เกี่ยวกับ การใช้เวลาทั้งคืนเพื่อนึกถึงความสัมพันธ์ของคุณกับคนรัก รวมถึงความต้องการที่จะเดิมพันทุกสิ่งที่คุณมี และวิ่งไปหาคนที่คุณรักครับ เพลงนี้ น่าจะเป็นเพลงที่ผมใช้เวลาอัดเสียงนานที่สุดเลยครับ เพราะผมต้องการถ่ายทอดอารมณ์โรแมนติกนั้นออกมาให้ได้มากที่สุด ผมน่าจะใช้เวลาไปถึง 5 ชั่วโมงเลยทีเดียวกับเพลงนี้ และผมก็พอใจมากๆ กับผลงานที่ออกมาครับ
เล่าถึงเพลง "Love Phobia"
"Love Phobia" เป็นเพลงแนว alternative Pop ที่มีกลิ่นอายอันงดงาม บอกเล่าเกี่ยวกับคนที่รู้สึกเคลือบแคลงและกลัวการมีความรัก แต่สุดท้ายก็ยังปรารถนาถึงความรักอันเป็นนิรันดร์ ผมต้องการเพิ่มการตีความในแบบฉบับของผมและปรับใส่ลงไป ผมหวังว่ามันจะถูกถ่ายทอดออกมาได้เป็นอย่างดี เพื่อให้ผู้ฟังสามารถเข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อออกมาครับ
เล่าถึงเพลง "Yeowoobi"
"Yeowoobi" เป็นเพลงที่ให้ความรู้สึกอันชวนฝันและชวนเหงา โดยความหมายสื่อถึง "สายฝนที่โปรยปราย ภายใต้แสงแดด" ครับ เมื่อคุณมีความรัก ก็จะมีทั้งช่วงเวลาที่อบอุ่นและแสนเศร้า ผมใช้เวลาไตร่ตรองนานมากเกี่ยวกับวิธีการแสดงออกถึงอารมณ์ที่แปรปรวนนี้ และสุดท้ายก็ตัดสินใจที่จะร้องแบบสงบเยือกเย็นราวกับท่องบท เพื่อแสดงอารมณ์อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นในเพลงนี้ครับ
เพลงนี้สร้างสรรค์โดยโปรดิวเซอร์ Hitchhiker ครับ พวกเราใช้เวลาในการคุยกันเยอะมากก่อนอัดเสียงว่า ท่อนแรกสุดจะทำอย่างไรดี ผมได้ให้ข้อมูลในส่วนของผม และแม้แต่ทำไกด์สำหรับเพลงนี้ครับ เนื่องจากพวกเราทำงานร่วมกันมาตั้งแต่อัลบั้มแรก เราจึงมีความคิดไปในทางเดียวกันและเข้ากันได้ดี ผมพอใจกับผลลัพธ์ของเพลง "Yeowoobi" และหวังว่าทุกคนจะชอบเพลงนี้เหมือนกันครับ
เล่าถึงเพลง "In the whale"
"In the whale" เพลงป็อปจังหวะกลางๆ ที่มาพร้อมความแน่นของมิติเสียงครับ เป็นเพลงที่ผมรู้สึกกังวล เพราะมันคือความท้าทายในการแสดงออก รวมถึงเติมเต็มพื้นที่และความมีชีวิตชีวาของเพลง ด้วยการใช้แค่เสียงร้องของผมครับ แต่หลังจากได้เห็นปฏิกิริยาเชิงบวกของแฟนๆ ในคลิปไฮไลท์ของเพลง "In the whale" ก็ทำให้กลายเป็นอีกเพลงที่ผมตั้งตารอคอยเลยครับ
เพลงนี้ เป็นเพลงที่พิเศษสำหรับผม เพราะผมมีส่วนร่วมในการแต่งเพลงและให้ข้อมูลค่อนข้างมากครับ จู่ๆ ผมก็นึกถึงภาพของเพลงนี้กับการอยู่ภายในวาฬ มันเป็นภาพแบบจินตนาการ เพื่อสื่อออกมาในเชิงเปรียบเทียบเกี่ยวกับ การหลบหนีออกจากความมืดมน โศกเศร้า รวมถึงสถานการณ์ที่ยากลำบาก ในการที่จะกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้งครับ ตอนที่เขียนเพลงนี้ ผมเองก็นึกถึงแฟนๆ ที่คอยสนับสนุนพวกเราอยู่ด้วยครับ
เล่าถึงเพลงไตเติล “DICE”
ตอนแรกที่ผมได้ยินตัวอย่างของเพลง “DICE” ผมคิดว่ามันเหมาะที่จะเป็นเพลงไตเติลสุดๆ ด้วยจังหวะเริ่มต้นที่โดดเด่น และเป็นเพลงที่ผมค้นพบว่ามีเสน่ห์มากๆ ทั้งจังหวะและความสดใสของตัวเพลงครับ เช่นเดียวกับความหมายของคำว่า DICE (ลูกเต๋า) เนื้อเพลงเปรียบเทียบความรักกับเกมด้วยการสื่อว่า แม้จะรู้ว่ามันเป็นเกมที่ต้องพ่ายแพ่ แต่ก็ยอมเดิมพันทุกอย่างเพื่อคนที่คุณรัก เมื่อคุณเริ่มต้นเกม คุณจะไม่มีทางรู้หรอกว่าใครจะเป็นผู้ชนะ จนกว่าคุณจะได้มีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ในเกมนั้น และสามารถพูดได้ 100% ว่าคุณกำลังจะชนะ อย่างไรก็ตาม เพลงนี้แสดงถึงความเต็มใจที่จะทำทุกอย่างเพื่อความรักตั้งแต่เริ่มต้น โดยไม่คำนึงถึงการแพ้หรือชนะครับ
เล่าถึงท่าเต้นของเพลงไตเติล “DICE”
เหมือนคำหลักในเนื้อเพลงที่ว่า "Rolling Dice" ที่ร้องซ้ำในท่อนคอรัสเลยครับ ท่าเต้นประกอบไปด้วยท่าทางของมือที่ทั้งถือลูกเต๋า โยนลูกเต๋า และจับลูกเต๋าครับ แม้การเคลื่อนไหวที่มีเอกลักษณ์นี้ อาจจะดูแปลกในตอนแรก และชวนให้สงสัยว่า “ท่าทาง ‘Chicken feet’ นี่คืออะไร?” อันที่จริงแล้วมันคือ ท่าเต้นหลักที่คล้ายกับการถือลูกเต๋านั่นแหละครับ อยากให้ลองสังเกตตอนที่ดูท่าเต้นเพลงนี้กันนะครับ
อะไรคือจุดสำคัญ ที่ต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ ขณะรับชมมิวสิกวิดีโอเพลง DICE?
เนื่องจากคอนเซ็ปต์ของมินิอัลบั้มนี้ เกี่ยวข้องกับ “ลูกเต๋า” (DICE) ก็จะมีลูกเต๋าปรากฏให้เห็นในมิวสิกวิดีโออยู่หลายครั้งครับ ผมคิดว่ามันเป็นลูกเต๋ามหัศจรรย์ และคุณจะได้เห็นผมแปลงโฉมหลายๆ ลุคในทุกครั้งที่โยนและจับลูกเต๋าครับ นอกจากนี้ มิวสิกวิดีโอยังถ่ายทำในโรงแรม โดยใช้แสงมืดและแสงสลัว ซึ่งตัดกับสีสันที่สดใสของเสื้อผ้าครับ องค์ประกอบที่ตัดกันเหล่านี้ สร้างบรรยากาศแบบคิทช์ (kitsch) ที่เข้ากันได้ดีกับอารมณ์ของเพลงครับ น่าจะเป็นมิวสิกวิดีโอที่สร้างความสนุกสนานในการรับชม อีกทั้งเนื่องด้วยธีมของเพลงไตเติลที่เน้นไปที่การเดิมพันทุกอย่างและมุ่งสู่ความรัก พวกเราก็ถ่ายทอดออกมาผ่านการปรากฏตัวของหญิงสาวลึกลับด้วยครับ
โซโล่มินิอัลบั้มชุดแรก VOICE เป็นอัลบั้มแนวบัลลาดนุ่มนวล ในขณะที่มินิอัลบั้มชุดนี้ ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยเพลงที่มีจังหวะและเต้นได้มากขึ้น คุณอยากนำเสนอมุมมองและเสน่ห์ใหม่ๆ แบบไหนบ้าง สำหรับ ONEW ในฐานะศิลปินเดี่ยว?
ก่อนอื่นเลย นี่เป็นมินิอัลบั้มที่ผมจะทำกิจกรรมโปรโมตแบบจัดเต็มครับ ผมอยากขยายขอบเขตทางดนตรีของผม เวลาที่ทุกคนนึกถึงอนยู ผมอยากให้มองว่า ผมไม่ได้เป็นเพียงแค่ศิลปินที่ร้องเพลงประกอบ (Original Soundtrack) และเพลงบัลลาดที่นุ่มนวล แต่ยังเป็นคนที่สามารถแสดงให้เห็นถึงเวทีการแสดงและสไตล์เพลงใหม่ๆ ได้ด้วย ถ้าต้องนิยามอัลบั้มนี้ในหนึ่งคำ ผมคิดว่าคือ ความหลากหลายครับ
เหมือนลูกเต๋าที่มี 6 ด้าน ชื่อของมินิอัลบั้ม คือ DICE และประกอบไปด้วยทั้งหมด 6 เพลง เพลงเหล่านี้ สร้างความสอดคล้องร่วมกันอย่างไรบ้าง?
ผมพูดคุยเยอะมาก กับทีม A&R และโปรดิวเซอร์ Hitchhiker ตอนทำงานมินิอัลบั้มชุดนี้ ตั้งแต่การเลือกเพลง, การเขียนเนื้อเพลง ไปจนถึงการเรียบเรียงทำนองครับ สิ่งที่ผมมองว่าเป็นความสอดคล้องร่วมกันในช่วงนี้ คือ "ความหวัง" ครับ ผมต้องการให้มินิอัลบั้มนี้ เป็นอัลบั้มที่ทุกคนสามารถฟังได้และระลึกไว้ว่า คุณสามารถรับฟังช่วยเหลือใครบางคนได้ หรือ ใครบางคนก็สามารถรับฟังช่วยเหลือคุณในยามโดดเดี่ยวได้เช่นกันครับ อัลบั้มนี้ประกอบไปด้วยความหวัง ที่อยากจะให้ทุกคนได้ใช้เวลาทั้งวันอย่างเต็มไปด้วยความสุขครับ
อยากให้นำเสนอเสน่ห์ของอัลบั้มนี้ใน 1 คำ ควรจะเป็นคำว่าอะไร?
ผมรู้ว่าอาจฟังดูซ้ำซาก แต่ผมขอเลือกคำว่า “DICE” ครับ เพราะเป็นคำที่อยู่ในหัวผมเวลาที่คิดถึงความหลากหลายและทิศทางของอัลบั้มนี้ ควบคู่ไปกับความสอดคล้องเมื่อนำมารวมกัน และเหมือนกับหมายเลข 1 ถึง 6 บนลูกเต๋านั่นแหละครับ อัลบั้มนี้ปิดท้ายที่หมายเลข 6 เพราะว่า SHINee มีสมาชิกทั้งหมด 5 คน และร่วมกับแฟนๆ ของเรา (SHINee WORLD) เมื่อรวมกันแล้วพวกเราจะได้หมายเลข 6 ซึ่งทำให้เกิดภาพที่สมบูรณ์ลงตัวครับ
จากการที่มีส่วนร่วมในกระบวนการแต่งเพลง "In the whale" โดยปกติแล้ว คุณหาแรงบันดาลใจจากที่ไหน?
ด้วยตัวผมเองไม่ได้เป็นนักแต่งเพลงหรือเขียนเพลงมืออาชีพ ผมมักจะนึกถึงประสบการณ์ส่วนตัวที่เกี่ยวข้องกับเพลงนั้นๆ ที่ผมกำลังทำอยู่ ผมจะอ่านหนังสือ หรือดูภาพยนตร์และละคร ที่ทำให้ย้อนกลับไปนึกถึงความรู้สึกเหล่านั้นที่ผมเคยรู้สึก และผมพยายามทำงานในการแสดงออกถึงอารมณ์เหล่านั้นอย่างงดงามครับ
สำหรับเพลง "In the whale" ผมมีภาพ Pinocchio ในหัวอย่างชัดเจนเลยครับ แต่แทนที่จะสร้างเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ ผมมักจะพยายามพัฒนาและสร้างภาพจากภาพเฉพาะเจาะจงเพียงภาพเดียวครับ และสิ่งที่ผมคิดไว้คือ การเดินทางที่สวยงามสู่ Atlantis พร้อมจับมือกับแฟนๆ ของพวกเราไปด้วย อีกทั้งเนื่องจาก SHINee เคยปล่อยอัลบั้มชื่อว่า Atlantis มาแล้ว ผมจึงนึกถึงเรื่องราวนี้ในขณะที่ทำเพลงครับ
คุณพูดถึงเพลงไตเติล “DICE” ที่มีด้านการแสดงโชว์ด้วย รู้สึกอย่างไรบ้างกับการขึ้นโชว์บนเวทีคนเดียวโดยไม่มีสมาชิก?
ผมรู้สึกกดดันมากเลยครับ เพราะปกติแล้ว ผมสามารถพึ่งพาสมาชิกของผมได้ในเวลาที่เราแสดงร่วมกันครับ เราสบตากัน รับ-ส่งพลังให้กันและกัน หรือกับทีมเต้นของเราบนเวที รอบนี้ผมเลยคิดถึงประสบการณ์แบบนั้นครับ
นักออกแบบท่าเต้น อีจุนโฮ (LEE JUNHO) ที่เคยร่วมงานกับคีย์ (KEY) และ แทมิน (TAEMIN) มาก่อน ได้ร่วมออกแบบท่าเต้นให้กับเพลง DICE ด้วยครับ ท่าเต้นเลยน่าทึ่งมากๆ แต่การเติมเต็มเวทีเพียงลำพังในฐานะศิลปินนั้นไม่ง่ายเลยครับ สิ่งที่ท้าทายที่สุด คือ ไม่สามารถพักจากการร้องเพลงได้ เพราะผมต้องร้องตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ ยิ่งไปกว่านั้นแล้ว ผมเองก็ต้องการที่จะแสดงเสียงร้องได้อย่างสมบูรณ์แบบด้วย ดังนั้น ผมจึงฝึกฝนหนักมาก และวางแผนฝึกฝนให้หนักยิ่งขึ้น เพื่อพัฒนาเสียงร้องของผมให้มากขึ้นสำหรับเวทีเหล่านั้นครับ ผมหวังว่าแฟนๆ จะคอยติดตามกันนะครับ
เหล่าสมาชิก SHINee ให้การสนับสนุนและให้คำแนะนำอะไรบ้าง สำหรับโซโล่มินิอัลบั้มครั้งนี้?
ผมต้องบอกเลยว่า ช่วงเวลาที่น่าจดจำมากที่สุด คือ ตอนที่สมาชิกทั้ง 3 คน มาให้กำลังใจขณะที่ผมถ่ายทำมิวสิกวิดีโอครับ นั่นทำให้ผมรู้สึกว่า ผมไม่ได้โดดเดี่ยวในสถานการณ์แบบนี้ เพราะปกติแล้ว พวกเรามักจะทำสิ่งเหล่านี้กันเป็นกลุ่ม นี่เป็นครั้งแรกที่ผมต้องคิดทุกอย่างเองตั้งแต่ A ถึง Z ดังนั้น ผมจึงรู้สึกกดดันค่อนข้างมาก แต่การได้รับการสนับสนุนและความรักจากสมาชิกในวงนั้น ช่วยผมได้มากและเป็นกำลังใจที่ดีมากเลยครับ ผมรู้สึกประทับใจที่พวกเขาให้ความห่วงใยดูแลผมดีมาก ซึ่งนั่นเป็นแรงผลักดันให้ผมทำงานหนักขึ้นและเตรียมตัวมากขึ้น เพื่อพวกเขาเลยครับ
นี่คือโซโล่มินิอัลบั้มชุดที่ 2 ของคุณ มีความแตกต่าง หรือ ส่วนไหนที่ทำให้รู้สึกว่า คุณเติบโตมากขึ้น เมื่อเทียบกับโซโล่มินิอัลบั้มชุดแรกบ้าง?
จุดที่ถือว่าเติบโตที่สุดของผมในอัลบั้มนี้ คือ วิธีการเตรียมตัวและระดับของความรับผิดชอบ นั่นคือสิ่งที่ผมรู้สึกครับ ผมมีส่วนร่วมอย่างมากในการพูดคุย ตั้งแต่วิธีการถ่ายทำมิวสิกวิดีโอ การถ่ายภาพสำหรับอัลบั้ม รูปแบบของเสื้อผ้าที่จะใส่ ไปจนถึงวิธีการเขียนและเรียบเรียงเพลงครับ ผมไม่เคยมีส่วนร่วมกับการทำอัลบั้มมาก่อนเลย และแม้จะเป็นเรื่องที่ท้าทายสุดๆ เพราะเป็นความรับชอบอันหนักหน่วง แต่ก็ทำออกมาได้น่าพอใจมากครับ อีกทั้งการที่มีสมาชิกอยู่ด้วยตรงนั้นด้วย ก็ช่วยผมได้มากครับ
คุณค้นพบแนวทาง หรือ เอกลักษณ์ทางดนตรี ในฐานะศิลปินเดี่ยวอนยูหรือยัง?
ในฐานะศิลปินเดี่ยว ผมต้องการแบ่งปันข้อความแห่งความหวังและความปรารถนาของผม ให้ทุกคนมีความสุขครับ ปัจจุบันนี้เราต่างมองข้ามความสุขเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งผมเองก็เช่นกัน แต่ผมคิดว่าจากส่วนที่ดูเหมือนว่าเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ในชีวิตประจำวันของพวกเรา เรายังสามารถค้นพบความสุข และมีความสวยงามและความสดใสมากมายในโลกนี้ ที่เราทุกคนมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันและกันครับ จริงๆ แล้ว มันไม่สำคัญหรอกว่า ผมจะเต้น หรือ ร้องเพลงบัลลาด เพราะผมอยากเป็นนักร้องที่ส่งต่อข้อความแห่งความหวังไปยังผู้คน และสร้างแรงผลักดันในเชิงบวกครับ
ความสำเร็จที่คาดหวังในมินิอัลบั้มชุดนี้?
อัลบั้มนี้ เป็นก้าวแห่งความสำเร็จครับ มันคือการเริ่มต้นของอนยูแห่ง SHINee ในการนำเสนอทุกแนวดนตรี ตั้งแต่ A ถึง Z อย่างไร้ขีดจำกัด ผมทำงานอย่างหนักเพื่อที่จะแสดงให้เห็นถึงความหลากหลายในตัวผม หวังว่าทุกคนจะคอยติดตามกันนะครับ