วิเคราะห์ดนตรี IVE - Love Dive จากมุมมองนักดนตรีคลาสสิก
เพลงไตเติ้ลที่สองของวงน้องใหม่อย่าง IVE ที่ยังคงไม่ทำให้เราผิดหวังกับดนตรีสุดแสนจะเซ็กซี่ ฟังแล้วติดหูตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยิน เชื่อว่าใครหลายคนคงถูกใจเพลงนี้ไปตามๆ กัน ว่าแต่เพลงนี้มันมีอะไรที่พิเศษกว่าเพลงอื่นๆ กันแน่นะ
Composed by Sophia Brenan, Elle Campbell & Nick Hahn
Written by Seo Ji Eum (서지음), Sophia Brenan, Elle Campbell & Nick Hahn
Arranged by Nick Hahn
Lyric by Seo Ji Eum (서지음)
C♯ Minor - 118 BPM
โครงสร้างเพลงของ Love Dive
INTRO 0:00-0:08
VERSE 1 0:08-0:25
PRE-CHORUS 0:25-0:40
CHORUS 0:40-0:57
POST-CHORUS 0:57-1:15
VERSE 2 1:15-1:31
PRE-CHORUS 1:31-1:47
CHORUS 1:48-2:04
POST-CHORUS 2:04-2:20
BRIDGE 2:43-3:09
POST-CHORUS 2:36-2:54
INTRO (0:00-0:08)
ไม่รอคอยอะไรทั้งสิ้น เปิดเริ่มต้นเพลงมาอย่างฮึกเหิมด้วยเสียงกลองใหญ่ แม้ว่าเสียงของเครื่องดนตรีจะน้อยชิ้นแต่การเลือกใช้ Bass drum และสไตล์จังหวะที่ใช้กลับทำให้รู้สึกว่ามันมากได้ ฟังแล้วก็พาลให้นึกถึงเพลงอย่าง We will rock you ของวง Queen ที่แค่เริ่มต้นอินโทรมาก็สามารถปลุกให้คนรู้สึกร่วมไปได้แล้ว
ตัวอย่างเพลง Queen - We will rock you เริ่มต้นเพลงมาด้วยกลองใหญ่ และมีเพียงเสียงกระทืบเท้ากับปรบมือเพิ่มเข้ามาแต่กลับให้ความรู้สึกที่ฮึกเหิม
แต่ที่น่าสนใจของเพลงนี้กลับอยู่ที่เสียงร้องในนาทีที่ 0:03 เสียงที่ก้องสะท้อน ลอยละล่องอันนี้เนี่ยแหละมันแสนจะน่าพิศวง เล่นเอาผู้ฟังงงไปเลยว่าเห้ย นี่มันอะไรกันแน่ เสียงเครื่องกระทบที่ปลุกใจเรากลับถูกพลังงานบางอย่างที่ซ่อนอยู่เล่นเข้าให้แล้ว เอาล่ะ จะเกิดอะไรขึ้นต่อไปกันนะ
VERSE 1 (0:08-0:25)
ขอว้าวให้กับความเท่ห์ของท่อน Verse ที่ไม่ได้มีอะไรเพิ่มเติมมากมายเลย มีแค่แนวเบสที่เข้ามาช่วยบอกให้เรารู้ว่าเพลงนี้อยู่ในคีย์อะไรตรงไหน แต่ก็มีเพียงแค่ 2 โน้ตสั้นๆ สลับกันไปมา และนั่นทำให้ไม่มีสิ่งใดไปรบกวนแนวทำนองซึ่งถือว่าเป็นจุดที่น่าดึงดูดที่สุดของเพลงนี้เลย
ไม่ธรรมดาจริงๆ นะ เพลงหลายเพลงมักเลือกใช้โน้ตแค่ 1 ตัวย้ำๆ หรือ 2-3 ตัวสลับกันไปมาเพื่อให้คนจดจำได้ง่าย ในขณะที่เพลงนี้แตกต่างออกไป ผู้แต่งใช้โน้ตหลายตัวแต่จับกลุ่มเป็นแพทเทิร์นตามคอร์ดที่เปลี่ยนสลับไปมาระหว่าง Minor ที่มีสีมืดหม่นลึกลับ กับ Major ที่สดใสขึ้นมาในนาทีที่ 0:10 และในท้ายประโยคทำนองไล่เสียงต่ำลงและทิ้งหางเสียงคำสุดท้ายแบบไม่ชัดเจนว่าเป็นโน้ตอะไร สร้างความพิศวง ความไม่แน่นอนและน่าติดตามให้กับแนวทำนองได้เป็นอย่างมาก โอ๊ย เจ๋งจริงๆ
เข้าสู่ครึ่งหลังของ Verse แรกในนาทีที่ 0:16 ก็ยังคงไม่ทำให้เราผิดหวังเมื่อดนตรีมีการเปลี่ยนเสียงประสาน ทำนองหลากหลายขึ้น แนวทางเดินของคอร์ดเปลี่ยนไปให้ทั้งสีสันใหม่และทิศทางของเพลงเองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน แต่แค่แป๊บเดียวเท่านั้นดนตรีมันก็วนกลับมาสู่จุดเดิมอีกครั้งราวกับว่ายังไง๊ยังไงก็หนีไม่พ้นไปจากเขาวงกตแห่งความพิศวงนี้.. ก็คงไม่ต่างไปจากความรัก
PRE-CHORUS (0:25-0:40)
เมื่อแสงสว่างเริ่มสาดส่องเข้ามาตาดการใช้คอร์ด Major ที่มากขึ้น ดนตรีสดใสและเต็มไปด้วยพลังมากกว่าเดิม ยิ่งเมื่อเพลงถูกเสริมด้วยดนตรีที่เปลี่ยนแปลงไปไม่ว่าจะเป็นเสียงเบสที่ลากค้างยาวไม่ใช่แค่การกระแทกเสียงสั้นๆ แบบช่วงก่อนหน้า เสียงกลอง Bass drum เองก็มีความถี่ละเอียดมากกว่าเดิม แล้วไหนจะทำนองที่ทับซ้อนกันหลายเสียงจนฟังเหมือนเป็นการร้องตะโกนของคนหมู่มาก (แต่ถูกปรับแต่งให้เหมือนมาจากที่ไกลๆ เอ๊ะยังไงนะ?)
แต่อย่างไรก็ดีความหวังและพลังนี้มักถูกคั่นด้วยแนวทำนองร้องคล้ายกับการพูดและมีความคมชัดซึ่งที่ขัดกับส่วนอื่นอย่างให้ได้เลย ราวกับว่าเป็นเสียงที่ถูกแทรกขึ้นเพื่อมาเตือนสติเราไม่ให้หลงระเริงไปกับภาพฝันอันสวยงาม และแน่นอนว่าท้ายที่สุดมันก็วนกลับมาที่คอร์ด C♯ Minor เหมือนเดิม วนลูปกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงที่ไม่ได้สดใสนัก
อีกอย่างที่ทำให้ผู้เขียนแปลกใจก็คงจะหนีไม่พ้นการที่ช่วงท้ายของ Pre-Chorus นี้ไม่ได้พาเราไปถึงจุดพีคชนิดที่มันดุเดือด ดนตรีจัดหนัก ไม่ได้แร็ปถี่เร็ว ไม่ได้ร้องไฮโน้ต ไม่มีลูกส่ง หรือในอีกมุมก็ไม่ได้มีช่วงดรอปเสียงดนตรีหายเงียบไปสนิทเหมือนกับท่อนพรีฮุคในหลายเพลง กลับกลายเป็นแค่การร้องโน้ตในช่วงเสียงกลางๆ จังหวะธรรมดาๆ ดนตรีก็ช่วยส่งแค่เล็กน้อยเท่านั้น ทำไมกันนะ แปลกมากเลย
CHORUS (0:40-0:57)
กรี๊ดดดดดดด!!! ไอ้เราก็คิดว่าดนตรีเข้าฮุคมามันจะต้องหนักๆ เอาให้โยกหัวหลุดแน่นอนเพื่อให้ contrast กับท่อนก่อนหน้า แต่ที่ไหนได้คุณคะ เขาเล่นมาแบบมินิมอลสุดๆ น้อยเสียยิ่งกว่าท่อน Verse ซะอีก แนวดนตรีที่เน้นเอาเสียงเบสตุบๆๆ ออกมาเป็นตัวดำเนินเพลงไปข้างหน้าควบคู่ไปกับเสียง Synthesizer เสียงสังเคราะห์ที่มีทั้งช่วงเสียงต่ำและเสียงสูงคอยแทรกมาให้ได้ยินเล็กน้อย ฟังแล้วมันมีความหยอกเอิน ขี้เล่น
เสียงสูงไต่ระดับสูงขึ้นตลอดทาง พร้อมการเพิ่มมาของเสียงเครื่องกระทบต่างๆ ทีละเล็กละน้อยค่อยๆ พาเราให้ตื่นเต้น สงสัย และอยากจะติดตามอย่างไม่รู้ตัว
แต่ที่สุดก็คงต้องยกให้ทำนองร้องอีกเช่นเคย การเลือกใช้โน้ตและการจัดวางแพทเทิร์นของผู้แต่งเป็นอะไรที่งดงามมาก ทั้งเพราะและจำง่าย แถมยังใช้วิธีการร้องแบบสบายๆ ผสมลมให้มันมีความเซ็กซี่ น่าค้นหา โดยที่ไม่ได้รู้สึกว่ามันน้อยไปเลยเพราะนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ตัวดนตรีมันหลบหลีกทางให้ทำนองได้มีบทบาทอย่างไม่ต้องพยายาม เป็นฮุคที่ผู้เขียนและมั่นใจมากว่าใครหลายคนเมื่อได้ฟังแล้วก็ตกหลุมที่เหล่าสาวๆ IVE ขุดเอาไว้ทันที
นาทีที่ 0:53 แนวทำนองเปลี่ยนไปเป็นในลักษณะของกึ่งร้อง/แร็ป/พูด ที่ก็ยังคงความเนิบนาบเอาไว้จนเราจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเพลงมันจะเป็นอย่างไรต่อ แต่ก็รู้สึกได้ถึงความตื่นเต้นของสิ่งที่จะตามมา ยิ่งพอมาถึงนาทีที่ 0:55 เมื่อดนตรีส่วนใหญ่หายไปเหลือไว้แค่เสียงเครื่องกระทบคล้ายเสียงของ Temple Block ที่ฟังไปก็คล้ายกับเสียงนาฬิกาเดินติ๊กตอก (เสียงนี้ที่จริงโผล่มาแล้วก่อนหน้านี้และจะโผล่มาอีกเรื่อยๆ) บวกกับเสียงร้องเสียงต่ำที่เข้ามาซ้อนทับเสียงร้องหลักอีก เอ… หรือว่าเรากำลังถูกสะกดจิตอยู่ไหมนะ?
ตัวอย่างเสียง Temple Block
POST-CHORUS 0:57-1:15
ผู้เขียนขอเรียกท่อนนี้ว่า Post-Chorus ด้วยองค์ประกอบและสไตล์หลายอย่างที่เปลี่ยนไป สีสันของเพลงเปลี่ยนไปอีกครั้งโดยไปยึดเอาแนวทางเดินคอร์ดของท่อน Pre-chorus มาเลย การร้อง Woo เองก็คล้ายกันเพียงแต่เปลี่ยนชุดโน้ตไปสูงขึ้นและจัดเรียงแตกต่างออกไปและตามด้วยการร้อง Lalala คล้ายกับเป็นท่อนที่ชวนให้ผู้ฟังสามารถตะโกนร้องตามได้ในคอนเสิร์ต ดนตรีหนักแน่นขึ้นชนิดที่เรียกได้ว่าจัดเต็ม เสียงประสาน แนวเบสลากค้างเติมเต็มทุกช่องว่างของเพลง บีตเองก็ไม่ยอมแพ้ราวกับยกกลองชุดเซ็ตใหญ่มาลงจัดหนักในท่อนนี้ให้เป็นท่อนที่พีคที่สุดหลังจากความเปรี้ยวเข็ดคันตลอดนาทีที่ผ่านมา
แนวทำนองร้องไต่ระดับสูงขึ้นก่อนที่จะค่อยๆ กลับลงมาในช่วงเสียงต่ำอีกครั้งเพื่อเตรียมพร้อมเรากลับเข้าสู่โหมดเดิม แต่ในช่วงท้ายมีการเพิ่มดนตรีมา 1 ห้องเพลง (4 บีต) ที่มีเพียงเสียงของเครื่องกระทบแบบเพียวๆ ให้เราได้หลุดออกจากความสดใสเต็มไปด้วยพลังงานบวกก่อน
VERSE 2 (1:15-1:31)
กลับเข้าสู่ท่อน Verse อีกครั้งนึง แนวทำนองยังคงคอนเซปต์ความเรียบง่ายแต่ซ่อนความน่าค้นหาเอาไว้อยู่ แต่ในรอบนี้มีเสียงบีตเพิ่มเข้ามาเติมเต็มให้ช่องว่างของเพลงลดน้อยลง แล้วไหนจะยังเสียงร้องประสานช่วงท้ายประโยคก็ขับความลุ่มลึกของเพลงให้ยิ่งน่าสนใจ
นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มเสียง sound effect เข้ามาตั้งแต่นาทีที่ 1:17 และลากยาวไปจนจบท่อนนี้ เสียงคล้ายกับไซเรนสไลด์ไปมาทำให้เพลงฟังดูอันตรายและวุ่นวายขึ้นกว่าเดิม ยิ่งถ้าหากใครใส่หูฟังดีๆ ก็จะได้ยินเลยว่าเสียงนี้ถูกแพนสลับซ้าย-ขวาไปมาอยู่ตลอด เพิ่มมิติให้กับผู้ฟังเป็นอย่างมาก
ยิ่งในช่วงท้ายของ Verse 2 ที่แนวทำนองเปลี่ยนไปเป็นการร้องเสียงประสานขั้นคู่ที่ทำให้เกิดความหลอน เสียงร้องแยกคำสั้นๆ สไลด์เสียงสูงขึ้น อื้อหือ นี่มันเกิดอะไรขึ้น มันเป็นความรู้สึกที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูกแต่รู้แค่ว่ามันน่าดึงดูดจริงๆ
PRE-CHORUS (1:31-1:47)
ในรอบนี้แม้จะไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมาก แต่ในช่วงท้ายที่เสียงดนตรีลากค้างหนักแน่นกว่าเดิม พอมาบวกกับแนวทำนองถูกยกสูงขึ้นไปอีกก็ทำให้ช่วยสร้างอารมณ์ที่แตกต่างจากรอบก่อนหน้า แทนที่จะให้เราใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็กลายเป็นการส่งผ่านท่อนที่น่าสนุกเร้าใจกว่าเดิม ก่อนที่จะเข้าสู่ท่อน CHORUS (1:48-2:04) ซึ่งแน่นอนว่าแตกต่างจากเดิมด้วยเนื้อเสียงของคนร้องที่เปลี่ยนสลับคน แถมยังมีช่วงที่ดนตรีเงียบสนิทชนิดที่ไม่มีเสียงอะไรเลย เล่นเอาคนฟังใจหายวาบ ล่องลอยอย่างไร้ที่จับยึด แล้วร่างของเราก็รับแรงกระแทกจากดนตรีสุดมันส์ของท่อน POST-CHORUS (2:04-2:20) อีกครั้ง
BRIDGE (2:43-3:09)
อื้อหือ สุดจะเท่ห์ ไม่ต้องมีเลยท่อนบริดจ์สวยงามโชว์โวคอลเพราะเพลงนี้เรียกได้ว่าก็แทบจะโชว์เสียงร้องสุดเซ็กซี่ให้ได้ยินชัดๆ กันแบบเต็มๆ มาตลอดแล้ว ท่อนนี้เลยกลายเป็นลักษณะของ Dance Break ที่มีความหนักแน่นแข็งแกร่ง แต่ในขณะเดียวกันก็ยังให้ความรู้สึกว่ามันยังคงมีความมินิมอลอยู่ เสียง Sound effect กระจุ๊กกระจิ๊กเต็มไปหมดแต่ก็ไม่ได้แผดเสียงออกมาโชว์พลังกัน กลายเป็นเสียงกระซิบ “숨 참고 love dive” ดังเด่นออกมาเลย เสียงร้อง adlib อื่นที่ตามมาก็ลอยละล่องก้องสะท้อนอยู่เบื้องหลัง
พอเข้าสู่นาทีที่ 2:28 ก็มีเสียงคล้าย Flute ที่มีความ airy เหมือนลมพัดฉวัดเฉวียนไปมาเข้ามาเพิ่มสีสันให้กับท่อนนี้อีก ยอมคนแต่งเลยจริงๆ นะ ต่อให้เป็นท่อนโชว์เต้นแล้วแต่ก็ยังคงรูปแบบเดิมของดนตรีไว้ได้ "น้อยแต่มาก" ต้องขอใช้คำนี้เลย
ในช่วงท้ายของท่อนแนวร้องถูกปรับแต่งให้มีความ Electronics มีเสียงต่ำคล้ายเสียงผู้ชายซ้อนทับเข้ามาเหมือนกับช่วงท้ายของท่อน Pre-Chorus เพื่อพาเราเข้าสู่ท่อน Chorus ครั้งสุดท้ายของเพลง แต่! เปล่าเลย ท่อนคอรัสถูกข้ามไปและเข้าสู่ POST-CHORUS (2:36-2:54) ทันทีเพื่อคงความสนุกตื่นเต้นของเพลงไว้ไม่ให้ดรอปลง ดนตรีพาเราดำดิ่งลงไปสู่ห้วงลึกของความรักที่แสนน่าดึงดูด น่าค้นหา น่าพิศวงกันอย่างไม่หยุดหย่อนตลอดเวลาเกือบ 3 นาที
เรียกได้ว่าผู้แต่งฉลาดเลือกใช้องค์ประกอบที่ไม่ต้องมาก แต่ทุกส่วนผสมรวมกันออกมาเป็นเพลงที่มีเอกลักษณ์แบบวง IVE ศิลปินเองก็สามารถนำเสนอออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ต้องบอกเลยว่าเป็นวงน้องใหม่อีกวงที่น่าติดตามมาโดยตลอดตั้งแต่เพลงเดบิวต์ที่ได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดี ผู้เขียนรอคอยที่จะได้ฟังเพลงต่อๆ ไปของ IVE ในอนาคตเลย
อัลบั้มภาพ 38 ภาพ