สัมภาษณ์ Valley ถึงที่มาของ “Last Birthday” เอกลักษณ์ของวงที่ไม่เหมือนใคร และอาหารไทยที่ชอบ
คอเพลงอินดี้ป็อปบ้านเราน่าจะนึกถึงวง Valley วงดนตรีจากผองเพื่อนทั้ง 4 คน ประกอบไปด้วย Rob Laska (ร้องนำ), Karah James (ร้อง/มือกลอง), Mickey Brandolino (มือกีตาร์) และ Alex DiMauro (มือเบส) ซึ่งเป็นที่รู้จักในวงกว้างโดยเฉพาะแฟนเพลงบ้านเราที่ถูกตกจากเพลงที่มีกลิ่นอายของดนตรี ‘90s อย่าง “Like 1999” ต่อด้วย “Last Birthday” เพลงแนว ‘70s ที่พูดถึงความรักที่จะมีให้ต่ออีกฝ่ายไปจนตราบจนวันสุดท้ายของชีวิต
Valley ได้มารวมตัวกันโดยบังเอิญเมื่อพวกเขาจองคิวห้องอัดเพลงในสตูดิโอซ้อนกัน เหตุบังเอิญกลายเป็นเรื่องที่น่ายินดีเพราะต่อมาก่อให้เกิดเป็น Valley หนึ่งในวงดนตรีที่เต็มไปด้วยเสน่ห์และความสดใหม่มากที่สุดในรอบ 10 ปี พวกเขายังถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Juno Award 2020 ในสาขา Breakthrough Group of The Year
Valley ปล่อยอัลบั้มอีพีใหม่ในปี 2022 โดยใช้ชื่อว่า The After Party ก่อนจะปล่อยอัลบั้ม Last Birthday (The After Party) ที่รวมเอาเพลงในอัลบั้มอีพีทั้ง 3 เพลง บวกกับอัลบั้มอีพีก่อนๆ เข้าไว้ด้วยกัน รวมถึงอัลบั้มเวอร์ชั่น Commentary ที่สมาชิกแต่ละคนพูดถึงที่มาของแต่ละเพลงเอาไว้อย่างละเอียด
Sanook Music ได้มีโอกาสสัมภาษณ์หนุ่มสาวชาว Valley ถึงที่มาของเพลง “Last Birthday” เอกลักษณ์ของวงที่ไม่เหมือนใคร รวมถึงอาหารไทยที่พวกเขาชอบมากเป็นพิเศษ รับรองว่าแฟนๆ ชาวไทยจะต้องอยากเจอตัวจริงของพวกเขาแน่นอน
เพลง “Last Birthday” ที่เป็นซิงเกิลของอัลบั้มนี้ ได้รับแรงบันดาลใจมาจากอะไรบ้าง
Rob Laska: พวกเราแต่งเพลงนี้กับเพื่อนของพวกเราที่ชื่อ Ash ระหว่างทางไป LA ครับ Ash เป็นนักแต่งเพลงที่เก่งมาก พวกเรากินคุกกี้ ดื่มไวน์ แล้วก็พูดคุยกันถึงเรื่องหนังเรื่องหนึ่งชื่อว่า Unconditional Love เป็นเรื่องของผู้หญิงสองคนที่ท่องเที่ยวไปด้วยกันโดยไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางข้างหน้าจะเจอกับอะไรบ้าง เราหยิบยืมเอาไอเดียจากหนังเรื่องนี้มาตีความผ่านเพลงโดยพูดถึงความรักกับความตาย ทำให้เพลงออกมาไม่ใช่เพลงรักสักทีเดียว แต่พูดถึงความรักและลุ่มหลงในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นสุนัข หรืองานของคุณเอง เลยออกมาเป็นเพลง “Last Birthday” ว่าไม่ว่าจะเป็นวันเกิดหรือวันสุดท้ายของชีวิตเธอ ฉันก็จะอยู่เคียงข้างเธอเสมอ เป็นเพลงที่พิเศษมากๆ และเป็นหนึ่งในเพลงที่พวกเราชอบที่สุดตั้งแต่แต่งเพลงมาเลยครับ
ในเพลงที่พวกคุณแต่ง มักจะมาจากประสบการณ์ของตัวเองเลยหรือเปล่า
Michael (Mickey) Brandolino: แน่นอนครับ เนื้อเพลงจะมีทั้งที่แต่งเพิ่มเข้ามา กับที่มาจากประสบการณ์ส่วนตัวของพวกเราเอง อย่างในเพลง “7 Stories” หรือ “Paper Cup” ก็พูดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเฉพาะตัวมากๆ ในขณะที่เพลงอื่นๆ จะพูดถึงความรู้สึกหรือเหตุการณ์ทั่วๆ ไปมากกว่า โดยที่อาจจะไปตรงกับประสบการณ์จริงของใครสักคนก็ได้ แล้วแต่คนจะตีความเพลงกันไป
ผมพูดได้เลยว่า 9 ใน 10 ครั้งพวกเราแต่งเพลงจากประสบการณ์ตรงของพวกเราเอง เพราะว่ามันจะยากมากถ้าเราจะต้องแต่งเพลงจากสิ่งที่พวกเราไม่ได้เจอเองหรือไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเรื่องนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่พวกเราเจอเอง หรือเรื่องที่คนรอบข้างพวกเราเจอกันมา อย่างน้อยพวกเราก็เลือกที่จะแต่งเพลงจากสิ่งที่พวกเรารู้สึกถึงเรื่องนั้นๆ และเข้าใจในเรื่องนั้นมากๆ เป็นทุนเดิมอยู่แล้วครับ
อะไรคือเสน่ห์หรือเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครของดนตรีจากวง Valley
Rob Laska: จริงๆ พวกเราก็ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนพัฒนาแนวทางดนตรีของพวกเรามาเรื่อยๆ โดยไม่ได้ตั้งใจว่าจะให้เพลงออกมาในแนวไหนโดยเฉพาะ อย่างการที่พวกเราทดลองร้องเพลงประสานเสียงกันโดยให้แต่ละคนร้องคนละคีย์ แล้วนำมาผสมรวมกัน ปกติแล้ว Alex เขาจะทำหน้าที่เป็นคนรวบรวมเพลงและดนตรีทั้งหมดที่พวกเราทำเข้าด้วยกัน แล้วมานั่งคัดเลือกกันว่าแบบไหนที่โอเค แบบไหนที่ยังไม่ใช่
โชคดีที่พวกเราค้นพบวิธีทำเพลงที่ทำให้ซาวด์เพลงของพวกเราออกมาโดดเด่นไม่ซ้ำใคร ไม่ว่าจะเป็นเสียงร้อง ท่อนร้อง ท่อนคอรัว ดนตรีต่างๆ เหมือนมีโลโก้ของวงเราอยู่ในนั้นทั้งหมด ผมคิดว่าน่าจะเป็นสิ่งที่วงดนตรีหลายๆ วงฝันถึง คือการมีแนวดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของพวกเขาเอง แม้ว่าพวกเราจะเปลี่ยนแนวดนตรีไปมาเรื่อยๆ อยู่บ้าง แต่มันก็ยังเป็นเพลงที่ฟังแล้วทุกคนยังนึกออกว่าเป็นเพลงของ Valley อยู่ดีครับ
อะไรคือสิ่งที่ทำให้ Valley แตกต่างไปจากวงอินดี้ป็อปทั่วไปที่มีอยู่ในตอนนี้
Michael (Mickey) Brandolino: จริงๆ แล้วพวกเราเองก็ไม่ได้มองว่าพวกเราเป็นวงอินดี้ป็อปนะครับ เพราะลึกๆ ลงไปแล้วแนวดนตรีของพวกเรามันแบ่งย่อยลงไปได้อีกมากมาย อย่างเพลงในอัลบั้มอีพีล่าสุดของพวกเราที่ชื่อว่า “ain’t my girl” ก็ค่อนข้างจะได้รับอิทธิพลมาจากดนตรีแนวคันทรี่ หรืออย่างเพลง “Cure” ก็ไปทางร็อค เพลง “Last Birthday” ก็ไปทางดนตรี ‘70s ในทุกเพลงจะมีแนวดนตรีย่อยลงไปอีกในแต่ละเพลง
นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้พวกเราแตกต่างไปจากวงอื่นๆ อาจจะเป็นที่การเข้าไปมีส่วนร่วมในการแต่งเพลงทุกขั้นตอน วงอื่นๆ อาจจะหนักไปทางนักร้องนำที่จะเป็นคนแต่งเพลง แต่กับพวกเราคือทุกคนช่วยกันแต่งเพลงทั้งหมด นั่นเลยทำให้พวกเราได้มาซึ่งเพลงที่สดใหม่ไพเราะไม่ซ้ำใครครับ
พวกคุณรู้จักและอยู่ด้วยกันมาได้ 7 ปีแล้ว ความรู้สึกในการเป็นศิลปิน/นักดนตรีของพวกคุณจากวันแรกจนถึงทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงไปบ้างหรือไม่
Rob Laska: ความรักที่มีต่อเสียงดนตรีของพวกเรายังมีอยู่เหมือนเดิมครับ รวมถึงตัวพวกเราเองด้วย ที่เปลี่ยนไปก็อาจจะเป็นศิลปินที่พวกเราได้เรียนรู้ไปกับมันเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ได้เรียนรู้ที่จะเลือกว่าอะไรควรค่าแก่การรักษาเอาไว้ อะไรควรที่จะปล่อยมันไป คิดคุณค่าถึงสิ่งต่างๆ ที่พวกเราควรรักษาไว้ เมื่อนึกย้อนกลับมาตอนที่ผ่านไปแล้ว 60 ปีพวกเราจะได้ไม่เสียใจกับมัน เช่น การที่พวกเราเห็นคุณค่าของการได้ไปแสดงคอนเสิร์ตให้แฟนๆ ได้ชม การทำเพลงดีๆ ออกมาอย่างตั้งใจ เหมือนพวกเราพอจะทำทางให้กับชีวิตของพวกเราได้เห็นภาพตัวเองในสายงายนี้ได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น แต่นอกนั้นก็ยังเหมือนเดิมครับ พวกเรายังคงนั่งทำเพลงด้วยกันเหมือนเดิม และผมคิดว่าน่าจะเป็นสิ่งพวกเราจะไม่มีวันเปลี่ยนด้วย
เล่าถึงเพลงใหม่ล่าสุด “CHAMPAGNE” ที่เพิ่งปล่อยออกมาให้พวกเราฟังหน่อย
Rob Laska: เพลงนี้ Karah มือกลองของพวกเราเป็นคนร้องหลักเลยครับ พวกเราแต่งเพลงนี้กับเพื่อนๆ ของพวกเรา Jake, Johnny โดยมี Mickey กับ Alex ร่วมจอยด้วย ทุกคนรวมตัวกัน เล่นดนตรีสดด้วยกันโดยเริ่มจากวลีที่ว่า “all the pain turns into champagne” โดยต่างคนต่างโยนไอเดียของเพลงที่พูดถึงความสัมพันธ์ที่แย่ๆ และพยายามหาทางออกจากเรื่องราวแย่ๆ เหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นอาการอกหัก ทะเลาะกับเพื่อน ตกงาน หรืออะไรก็ตาม พยายามมองหาแสงสว่างจากปลายอุโมงค์ อะไรทำนองนั้นครับ
“CHAMPAGNE” เป็นเพลงที่ให้กำลังใจ มีจังหวะที่สนุกสนาน พวกเราอยากเล่นเพลงนี้สดๆ ตามคอนเสิร์ตหรือเทศกาลดนตรีต่อหน้าผู้คนเยอะๆ มากๆ เลย ได้ Karah มาร้องนำในเพลงนี้ให้ด้วย เป็นโอกาสดีที่เธอจะได้โชว์เสียงของเธอ และทุกคนจะได้ฟังเสียงของเธอชัดๆ เป็นเพลงที่ให้ความรู้สึกแปลกใหม่มากครับ รวมถึงมิวสิควิดีโอด้วยที่จะค่อนข้างมีความแปลกใหม่ และมีอะไรที่พวกเราไม่เคยทำมาก่อนอยู่ในนั้นด้วยครับ
ได้ข่าวว่าชอบอาหารไทยกันมากๆ เมนูที่ชอบมีอะไรบ้าง
(แย่งกันพูด ยิ้มออกนอกหน้ากันทุกคน) Karah: เยอะมาก
Michael (Mickey) Brandolino: แกงเขียวหวาน
Rob Laska: โอ้ แกงเขียวหวานอร่อยมาก
Michael (Mickey) Brandolino: ผมเป็นคนอิตาเลียน แต่ชอบกินแกงเขียวหวานมากๆ ครับ
Rob Laska: จริงๆ แล้วผมชอบทุกอย่างที่เป็นแกง แกงอะไรก็ได้ ชอบหมด แม้กระทั่งแกงเผ็ดๆ ผมก็ยอมกิน
Karah: ฉันด้วย
Rob Laska: พวกเรายังไม่เคยไปประเทศไทยเลย ถ้าได้ไป เมนูแรกที่พวกเราห้ามพลาดคืออะไรครับ พวกเราชอบกินมากๆ แนะนำมาได้เลย (แนะนำส้มตำ Rob เสิร์ชดูในมือถือเดี๋ยวนั้น) อ้อ เจอแล้ว Papaya Salad น่ากินมาก อะไรที่เป็นอาหารไทย พวกเราจะลองกินให้หมดเลยครับ พวกเราชอบกินมากจริงๆ
มีโอกาสจะได้มาทัวร์ที่ประเทศไทยบ้างไหม
Rob Laska: พวกเราวางแผนทัวร์คอนเสิร์ตในปีนี้อยู่ครับ หวังว่าจะเป็นราวๆ ช่วงฤดูใบไม้ร่วง พวกเราตื่นเต้นมากๆ หวังว่าจะได้เจอกันนะครับ
ฝากอะไรถึงแฟนๆ ชาวไทยหน่อย
Rob Laska: สวัสดีครับแฟนๆ ชาวไทย ประเทศไทยเป็นประเทศที่พวกเราอยากไปมากๆ มานานแล้ว พวกเราเห็นด้วยว่ามีแฟนๆ เปิดเพจเปิดโซเชียลมีเดียให้พวกเรา พวกเราเห็นข้อความและโพสต์ต่างๆ ได้รับความรักมากมายจากทุกๆ คน รู้สึกขอบคุณมากๆ ครับ พวกเรารู้ว่าเราต่างก็อยู่ห่างไกลกัน ไม่ค่อยมีโอกาสได้เจอกันบ่อยๆ แต่ก็ยังรู้สึกดีอยู่เสมอที่ได้เห็นแฟนๆ สนับสนุนพวกเราจากไกลๆ แบบนี้ หวังว่าจะมีวันที่พวกเราได้เจอกัน ได้รวมตัวมอบความรักให้กันและกันอย่างใกล้ชิดมากขึ้น ได้เจอหน้าพูดคุยและร้องเพลงสดๆ ด้วยกัน พวกเราตื่นเต้นที่จะได้สัมผัสบรรยากาศนั้นในอนาคต พวกเราเป็นวงที่โชคดีที่สุดในโลกที่ได้มีแฟนเพลงน่ารักๆ ที่ประเทศไทยครับ