Raindrop Keep Fallin’ on My Head – เพลงดีที่เกือบไม่ดังแต่ปังเพราะปล่อยใจให้สบายๆ | Sanook Music

Raindrop Keep Fallin’ on My Head – เพลงดีที่เกือบไม่ดังแต่ปังเพราะปล่อยใจให้สบายๆ

Raindrop Keep Fallin’ on My Head – เพลงดีที่เกือบไม่ดังแต่ปังเพราะปล่อยใจให้สบายๆ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ย่างเข้าหน้าฝนแบบนี้ในช่วงเวลาที่ฝนเปียกปอนถนนหนทาง หากไม่อยากรู้สึกหงุดหงิดใจกับน้ำท่วมรถติดแล้วก็ต้องหาเพลงดี ๆ มาฟังซะหน่อย เมื่อนึกถึงเพลงที่เกี่ยวกับฝนที่สามารถทำให้ใจเราเบิกบานได้ในเวลาแบบนี้เพลงแรกที่แว้บเข้ามาในหัวเลยก็คือRaindrop Keep Fallin’ on My Head” นั่นเอง บทเพลงนี้มีเรื่องราวความเป็นมาที่น่าสนใจมากมายทั้งเป็นบทเพลงประกอบภาพยนตร์ฮิตในปี 1969 “Butch Cassidy and the Sundance Kid” และเป็นเพลงฮิตประจำตัวของ บี.เจ.โทมัส (B.J.Thomas) ซึ่งจริงๆ แล้วเพลงนี้ไม่ได้แต่งเพื่อให้เขาร้องและมันเกือบจะกลายเป็นเพลงฮิตของ บ๊อบ ดีแลน (Bob Dylan) ที่เผลอ ๆ ถ้าดีแลนร้องอาจจะดังกว่า “Blowin’ in The Wind” ก็เป็นได้ นอกจากนี้ความหมายของเพลงนี้ยังไม่ได้เกี่ยวกับฝนเหมือนที่หลายคนเข้าใจอีกด้วย

ในช่วงปลายปี 1969 เบิร์ต แบแคแร็ก (Burt Bacharach) และ ฮัล เดวิด (Hal David) สองราชานักประพันธ์เพลงป็อปชื่อก้องที่แต่งเพลงให้ศิลปินมากมายนับรายชื่อได้ตั้งแต่ A ถึง Z ไม่ว่าจะเป็น ดิออน วอร์วิค (Dionne Warwick) ดัสตี สปริงฟิลด์ (Dusty Springfield) ทอม โจนส์ (Tom Jones) หรือ เอลลา ฟิตซ์เจอรัลด์ (Ella Fitzgerald) เลยไปจนถึงเพลงประกอบหนัง ประกอบโฆษณา รายการทีวี หรือบรอดเวย์ สองราชาก็แต่งมาหมดแล้ว

เบิร์ต แบแคแร็ก (Burt Bacharach) และ ฮัล เดวิด (Hal David)

ในช่วงฤดูร้อนของปีนั้นแบแคแร็กกำลังแต่งเพลงเพื่อใช้ประกอบภาพยนตร์เรื่อง “Butch Cassidy and the Sundance Kid” หรือในชื่อไทย “สองสิงห์ชาติไอ้เสือ” ที่นำแสดงโดย พอล นิวแมน (Paul Newman) และ โรเบิร์ต เรดฟอร์ด (Robert Redford) ที่เล่าเรื่องราวของโจรปล้นรถไฟในช่วงทศวรรษ 1890s กำกับโดย จอร์จ รอย ฮิลล์ (George Roy Hill) ที่อยากจะได้อะไรปัง ๆ ในฉากสำคัญของเรื่องที่นิวแมนกำลังขี่จักรยานกับ แคทเธอรีน รอส (Katherine Ross) อย่างโรแมนติก ในตอนแรกนั้นฮิลปฏิเสธไอเดียที่จะใส่เพลงป็อปพร้อมเนื้อร้องลงไปในฉากนี้แต่สุดท้ายแบแคแร็กก็จัดให้จนได้

Raindrop Keep Fallin’ on My Head” เกิดขึ้นจากรูปแบบการทำงานที่ต่างออกไปจากครั้งก่อน ๆ ของ แบแคแร็กและเดวิด เพราะโดยปกติแล้วสองคู่หูนักแต่งเพลงจะแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน แบแคแร็กแต่งทำนองส่วนเดวิดเขียนเนื้อร้อง แต่คราวนี้ประกายไอเดียนั้นเริ่มต้นขึ้นเมื่อแบแคแร็กปิ๊งชื่อเพลงขึ้นมาได้และใช้มันเป็นท่อนเปิดของเพลง

“ผมเอาแต่ร้องท่อนเปิดซ้ำไปซ้ำมา” แบแคแร็กเล่า “ถึงแม้ว่าฮัลพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงมันแต่สุดท้ายพวกเราก็มาถึงจุดที่มันลงตัวไม่ได้เลยสักที มันควรจะต้องเข้ากันกับหนังและฮัลก็ช่วยทำให้มันเข้าท่าเข้าทางได้มากเลยทีเดียว ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาพยายามลองหลาย ๆ วิธีแล้วเพราะว่ามันไม่ใช่วิธีที่เป็นธรรมชาติที่สุดในการที่ใครสักคนจะเขียนเนื้อร้อง แต่สุดท้ายแล้วมันก็เวิร์คและเข้ากันได้ดีเหมือนกับเวลาที่มือสวมเข้าไปในถุงมือได้อย่างพอดิบพอดี พอร้องตามแล้วมันก็ออกมาเยี่ยมมาก มันเข้ากันได้ดีสุด ๆ เลย”

Butch Cassidy and the Sundance Kid

เมื่อเอาไปให้ผู้กำกับฮิลฟังเขาก็โอเคกับมัน จากนั้นทั้งแบแคแร็กและเดวิดก็ได้พยายามหานักร้องที่เหมาะสมที่จะร้องเพลงนี้ สุดท้ายบี.เจ.โทมัสก็ได้กลายเป็นผู้โชคดีคนนั้นที่ได้ร้องเพลงนี้ซึ่งทำให้มันกลายเป็นเพลงฮิตที่เป็นลายเซ็นของเขาไปในที่สุด ทั้ง ๆ ที่แท้จริงแล้วบทเพลงนี้ไม่ได้ตั้งใจจะแต่งให้บี.เจ.โทมัสร้องเลยแรกเริ่มเดิมทีแบแคแร็กตั้งใจจะแต่งเมโลดี้เพลงนี้ให้เข้ากันกับทางของบ๊อบ ดีแลน ซึ่งแบแคแร็กนั้นมีความเลื่อมใสในตัวบ๊อบ ดีแลนมาก เขาพยายามที่จะแต่งทำนองและวางท่อนเพลงเพื่อให้เข้ากับดีแลนที่สุด แต่สุดท้ายดีแลนก็ปฏิเสธ ซึ่งไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามพวกเขาก็ต้องหานักร้องคนต่อไป

ซึ่งนักร้องคนต่อไปก็ยังไม่ใช่บี.เจ.โทมัสอยู่ดี หากแต่เป็น เรย์ สตีเวนส์ (Ray Stevens) นักร้องสไตล์อเมริกันคันทรี่ป็อปและนักแสดงตลก สตีฟ ไทเรล (Steve Tyrell) ซึ่งในตอนนั้นเป็นผู้บริหารแผนก A&R ที่ Scepter Records ได้เล่าว่า “พวกเขายื่นข้อเสนอเพลงนี้ให้กับเรย์ สตีเวนส์ (Ray Stevens ) แล้วคุณคงจะคิดว่าเรย์ สตีเวนส์คงจะกระโจนเข้าหาเพลงของแบแคแร็กแน่นอน แต่เปล่าเลยเขาปล่อยผ่านมันเลย จากนั้นมาก็ไม่มีใครที่จะร้องเพลงนี้ ดังนั้นเราก็เลยแนะนำบี.เจ.ให้กับแบแคแร็ก ซึ่งเขาก็โอเคเลย”

ในวันก่อนที่จะมีการบันทึกเสียง โทมัสได้รับคำเตือนจากหมอไม่ให้ร้องเพลงเพราะเป็นโรคกล่องเสียงอักเสบจากการทัวร์ต่อเนื่องกว่าสองสัปดาห์แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ฝ่าฝืนคำเตือนของหมอและพยายามร้องให้ดีที่สุด ซึ่งโทมัสนั้นร้องไป 3 เทคถึงจะทำให้แบแคแร็กพอใจ ตอนนั้นผู้บริหารจากค่ายทเวนตี้เซ็นจูรี่ฟ็อกซ์ที่อยู่ในห้องบันทึกเสียงด้วยก็เข้ามาแสดงความยินดีกับโทมัสและชื่นชมว่าเสียงของโทมัสนั้นมันช่างคล้ายกับเสียงของพอล นิวแมนเสียจริง

ก่อนที่บี.เจ.กำลังจะบันทึกเสียงเพลงนี้เขาได้ถามแบแคแร็กว่าเขาสามารถทำอะไรเพิ่มเติมลงไปในเพลงนี้ได้ไหม ซึ่งแบแคแร็กก็ตอบกลับมาว่า “บี.เจ.หลังจากที่คุณร้องเพลงของผมได้เป๊ะตามที่ผมเขียนไว้แล้ว ถ้ามันยังมีที่ว่างอะไรให้คุณเติมหรือทำอะไรได้คุณก็ทำมันได้เลยนะ” ดังนั้นมันก็เลยไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยจนกระทั่งท่อนที่ร้องว่า Meeeee ยาว ๆ ในช่วงท้ายนั่นแหละที่บี.เจ.ได้ใส่อะไรลงไป ซึ่งเอาจริง ๆ แล้วถึงแม้มันจะเป็นอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่การร้องของบี.เจ.โทมัสก็ได้ทำให้เพลงนี้มีชีวิตชีวามาก ๆ เลย

“เราอัดเพลงนี้กันสามครั้ง มีคนเป็นร้อยเลยอยู่ในห้องนั้นและแน่นอนว่าแบแคแร็กนั้นเป็นคนกำกับและควบคุมทุกอย่างซึ่งเป็นเรื่องที่เยี่ยมมากเลย ผมจำเป็นจะต้องร้องเพลงนี้ให้เป๊ะที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ และในที่สุดในรอบที่สามผมก็ผ่านมันไปได้ ผมกำลังจะใส่อะไรบางอย่างลงไปในช่วงท้ายของเพลงนี้นั่นคือสิ่งที่อยู่ในหัวผมตอนนั้น เมื่อผมทำมันลงไปจนทุกคนในห้องคอนโทรลอึ้งเงียบกันไปเลย และเมื่อคุณแบแคแร็กได้ยินมันเขาก็หยุดแล้วมองมาที่ผมนิ่งอยู่อย่างนั้นเราราว 10 นาทีได้ เขากำลังคิดถึงช่วงท้ายของเพลงอย่างแน่นอน เขาดูไม่ได้ชอบมันในทันทีแต่สุดท้ายแล้วเขาก็โอเคกับมันในที่สุด เขาบอกกับผมใน 2-3 ปีต่อมาว่าผมทำมันได้เยี่ยมที่สุดเท่าที่เคยมีใครบันทึกเสียงเพลงนี้มาเลย มันเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมมาก ๆ ผมรักเขา (แบแคแร็ก) มาก แล้วผมก็ยังเลื่อมใสเขาอยู่จนทุกวันนี้” โทมัสเล่าด้วยความปลาบปลื้ม

“มีช่วงเวลา 2-3 ครั้งในชีวิตการทำงานของผม ที่ผมรู้สึกว่าผมได้บันทึกเสียงเพลงฮิตอยู่และแน่นอนไม่ต้องสงสัยเลย การบันทึกเสียงในครั้งนี้คือหนึ่งในนั้นอย่างแน่นอน” โทมัสกล่าว

ตอนแรกผู้บริหารของทเวนตี้เซ็นจูรี่ฟ็อกซ์ไม่ได้อยากเอาเพลงนี้ใส่เข้าไปในหนังเพราะพวกเขาโดยเฉพาะโรเบิร์ต เรดฟอร์ด มีความตั้งใจว่าพวกเขากำลังทำหนังอาร์ตอยู่และเพลงนี้มันช่างดูไม่เข้ากับแนวทางของหนังซะเลย แต่แล้วในที่สุดเรดฟอร์ดและทางค่ายก็ยอมรับว่าพวกเขาอาจจะคิดผิดไปเพราะว่าเพลงนี้มันเข้ากับหนังได้พอดิบพอดีเลย

สองสัปดาห์ต่อมาเวอร์ชันซิงเกิลสำหรับเผยแพร่ทางวิทยุของเพลงนี้ก็ได้มีการตัดใหม่ที่สตูดิโอ A&R ในนิวยอร์กซึ่งในเวอร์ชันนี้มีการร้องที่เปี่ยมสีสันจากโทมัส ส่วนอินโทรอูคูเลเล่และเปียโนจากเวอร์ชันซาวด์แทร็กก็ยังคงอยู่และในที่สุดเพลงนี้ก็ได้ขึ้นชาร์ตมาพร้อมกับเพลงอย่าง “Whole Lotta Love” ของ Led Zeppelin และCome Together” ของ The Beatles และในที่สุดเมื่อได้ปล่อยออกมาในช่วงเดือนตุลาคม 1969 พร้อม ๆ กันกับตัวหนัง “Raindrop Keep Fallin’ on My Head” ก็ได้ไต่ขึ้นไปสู่อันดับหนึ่งในวันที่ 3 มกราคมปี 1970 เป็นเวลากว่าสี่สัปดาห์ติดต่อกัน

แต่เวอร์ชันซิงเกิลของเพลงนี้ก็เกือบจะไม่ได้ปล่อยออกมาแล้ว “ผมเกือบจะตัดสินใจไม่ปล่อยมันออกมาแล้ว” แบแคแร็กเล่า “มันถูกกำหนดวันปล่อยออกมาแล้วแต่ผมกำลังรู้สึกจะเปลี่ยนใจ ผมกำลังลังเลระหว่างสองเทคเทคหนึ่งให้เสียงที่ฟังแล้วรู้สึกสบาย ๆ แต่อีกเทคหนึ่งนั้นเต็มไปด้วยพลัง สุดท้ายแล้วผมก็เลือกอันที่ฟังแล้วสบายกว่า แต่สิ่งที่ผมทำคือการแก้ไขช่วงกลางเพลง แล้วผลที่ออกมาก็คือเวอร์ชันสุดท้ายที่ทุกคนได้ฟัง”

 

 

สุดท้ายแล้วเพลงนี้ก็ได้รับรางวัล Best Original Song จากเวทีออสการ์ในปี 1970 และหลังจากนั้นไม่กี่ปีบทเพลงนี้ก็กลายเป็นเพลงฮิตเพลงฮ็อตอมตะตลอดกาลที่เราได้ยินอยู่ตลอดทั้งประกอบรายการโทรทัศน์ โฆษณาและภาพยนตร์มากมายอาทิ Forrest Gump (1994), Charlie’s Angels: Full Throttle (2003) และ Spider-Man 2 (2004) และในช่วงเวลาที่บทเพลงนี้ดังขึ้นมาท่วงทำนองอันงดงามก็ได้เปลี่ยนช่วงฉากในภาพยนตร์เหล่านี้ให้งดงามสดใสขึ้นมาในทันที

 

Raindrops keep falling on my head

But that doesn’t mean my eyes will soon be turning red

Crying’s not for me

‘Cause I’m never gonna stop the rain by complaining

Because I’m free

Nothing’s worrying me

“Raindrops Keep Fallin’ on My Head” เป็นเพลงที่มีความหมายลึกซึ้งเปรียบเปรยช่วงเวลาฝนตกจนเปียกปอนกับช่วงเวลาที่พบกับความทุกข์ใจ ในเวลาที่ฝนตกหากเรามัวแต่โทษฟ้าโทษฝนก่นด่าดวงอาทิตย์มันก็คงจะไม่ช่วยอะไร เช่นเดียวกันกับเวลาที่เราทุกข์ใจ หากมัวเอาแต่ร้องไห้เสียใจหรือโทษสิ่งอื่นอยู่ร่ำไป ก็ไม่ได้ช่วยให้ปัญหาหมดไปได้ ทางที่ดีเราควรจะปล่อยจิตใจให้สบาย เรียนรู้และลื่นไหลไปกับสถานการณ์ที่เจอแล้วเราจะพบว่าใจที่เป็นอิสระนั้นทำให้ปัญหาทั้งหลายไม่สามารถกร้ำกรายเข้ามาทำร้ายจิตใจเราได้เลย

แม้ว่าใน “Butch Cassidy and the Sundance Kid” ฉากที่ใส่เพลงนี้เข้าไปมันจะไม่มีฝนแม้แต่หยดเดียวแต่ถึงอย่างนั้นมันก็เข้ากันกับฉากนี้มาก ๆ เพราะว่าบทเพลงนี้สะท้อนความคิดและทัศนคติของตัวละคร ผ่านท่วงทำนองที่มีความผ่อนคลายสบายหัวใจของบทเพลง

 

 

ถึงแม้บี.เจ.โทมัสจะรู้สึกว่าเพลงนี้นั้นเยี่ยมมากแค่ไหนและภาพยนตร์ที่ใช้ประกอบก็เยี่ยมและยิ่งใหญ่ แต่ในช่วงแรกที่เพลงนี้ถูกปล่อยออกมา ไม่มีใครไม่มีสถานีไหนเปิดมันเลยแม้แต่ ABC ในนิวยอร์กก็บอกว่าโทมัสนั้นน่าจะร้องผิดโน้ตในช่วงท่อนร้องแรก หรือ ฟลอเรนซ์ กรีนเบิร์ก (Florence Greenberg) เจ้าของ Scepter Records ก็ยังบอกว่าบาคาแร็กน่าจะพลาดไปแล้ว หรือแม้กระทั่งใน Life Magazine ก็เขียนไว้ในรีวิวหนังว่าเพลงนี้คือเพลงที่ห่วยแตกที่สุดเท่าที่เคยมีการเขียนมาเลย แต่แล้วเมื่อหนังที่ปล่อยออกมาในช่วงคริสต์มาสดังเปรี้ยงปร้างเป็นพลุแตก บทเพลงนี้ก็ปังสุด ๆ ด้วยเช่นกัน สุดท้ายด้วยการปล่อยใจให้สบาย ๆ และปล่อยให้บทเพลงที่เปี่ยมความหมายนี้ได้ลื่นไหลไปตามจังหวะและท่วงทำนองของมัน เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสมเมื่อทุกคนได้เปิดรับท่วงทำนองอันอิ่มเอมนี้เข้าไปในใจ “Raindrops Keep Fallin’ on My Head” ก็ได้กลายเป็นเพลงฮิตระดับตำนานของวงการดนตรีในที่สุด

สิ่งที่เกิดขึ้นกับโทมัสและบทเพลงนี้ช่างเข้ากันดีกับบทความหมายของเพลง ในช่วงเวลาที่ฝนเทกระหน่ำนั้นเราอาจเปียกปอน ท้อแท้หรือทุกข์ใจ แต่หากเรามีใจที่เป็นอิสระ ปลดปล่อยใจให้สบาย อย่างไรเราก็จะค้นพบกับความสุขได้ในไม่ช้า ไม่นานฟ้าก็จะสว่างสดใสแล้ววันดี ๆ และความสุขก็จะอ้าแขนต้อนรับเราในที่สุด 

อัลบั้มภาพ 2 ภาพ

อัลบั้มภาพ 2 ภาพ ของ Raindrop Keep Fallin’ on My Head – เพลงดีที่เกือบไม่ดังแต่ปังเพราะปล่อยใจให้สบายๆ

Raindrop Keep Fallin
Raindrop Keep Fallin
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook