วิเคราะห์ดนตรี BTS - Yet To Come จากมุมมองนักดนตรีคลาสสิก
สิ้นสุดการรอคอยอันแสนยาวนานกับเพลงใหม่ล่าสุดของหนุ่มๆ BTS ทั้ง 7 คนที่ในครั้งนี้มาพร้อมกับเพลงที่เรียกได้ว่าโดนใจแฟนคลับสุดๆ กับเนื้อเพลงที่แสนจะกินใจ บอกเล่าเรื่องราวของพวกเขา พาเอาคนฟังหวนระลึกถึงวันวาน แต่แน่นอนว่าตัวดนตรีเองก็ไม่ได้น้อยหน้า มีหลายจุดที่น่าสนใจและไพเราะกินใจจนผู้เขียนเองก็แอบน้ำตาซึมแม้ไม่ได้เข้าใจในตัวบริบทที่ศิลปินสื่อสารผ่านเนื้อร้องด้วยซ้ำ
Written by Pdogg, RM, MAX, Dan Gleyzer, SUGA (슈가) & j-hope
Composed by Pdogg, RM, MAX, Dan Gleyzer, SUGA (슈가) & j-hope
Lyric by Pdogg, RM, MAX, Dan Gleyzer, SUGA (슈가) & j-hope
C♯ Major - 86 BPM
โครงสร้างของเพลง Yet To Come
INTRO 0:29-1:04
VERSE 1 1:04-1:26
PRE-CHORUS 1:26-1:38
CHORUS 1:38-2:00
VERSE 2 2:00-2:22
VERSE 3 2:22-2:44
PRE-CHORUS 2:44-2:56
CHORUS 2:56-3:18
OUTRO 3:18-3:41
INTRO (0:29-1:04)
เป็นการเปิดเริ่มต้นเพลงมาแบบไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงเยอะ แต่เริ่มด้วยเนื้อหาที่สื่อสารถึงผู้ฟังโดยตรง ไม่อ้อมค้อม และเข้าประเด็น ที่สำคัญคือตัวทำนองหรือ Melody ฟังง่าย ใช้โน้ตไม่เยอะสลับวนและซ้ำไปมาหลายครั้งเพื่อให้ติดหูได้ในทันทีที่ฟังครั้งแรก เรียกได้ว่าเหมือนกับเป็นทำนองของท่อนฮุคเลยด้วยซ้ำ
การเลือกใช้คอร์ดที่เปิดมาอย่างสดใส คีย์ C♯ Major สำหรับผู้เขียนมีความพิเศษมากจากการที่คนเราเคยชินกับเสียงในคีย์ C ซึ่งเป็นเสียงมาตรฐาน การขยับเสียงให้สูงขึ้นครึ่งเสียงสามารถสร้างอิมแพคและความรู้สึกที่สว่าง lift up ได้อย่างชัดเจนโดยที่ไม่ได้รู้สึกว่ามันไกลตัว ตลอดช่วงของท่อนมีการสลับไปมาของคอร์ด Minor ที่มีสีสันหม่นหมองเหมือนกับชีวิตของคนเราที่ต้องพบเจอทั้งเรื่องราวดีและร้ายตลอดเวลาในทุกวัน
การเลือกใช้เครื่องดนตรีแม้จะไม่ได้มี sound ที่หวือหวา แต่เลือกใช้อะไรที่ simple เข้าถึงคนได้ง่าย เสียงเปียโนที่รับหน้าที่ประคองแนวร้องจากตอนเริ่มที่อยู่ในช่วงเสียงสูง ค่อยขยับมาเพิ่มช่วงเสียงต่ำในนาทีที่ 0:42 ควบคู่ไปกับเสียง Kick drum ที่มั่นคงแข็งแรงไม่ต่างไปจากเสียงเต้นของหัวใจ ..แต่ใดใดก็ตามตลอดช่วง Intro นี้ก็มีการใส่เสียง Synthesizer ที่เหมือนกับเสียงของลมพัดตัดฉวัดเฉวียนกันไปมา ความวุ่นวายว้าวุ่นที่ถูกซุกซ่อนอยู่ในใจของคนเราเสมอ
นาทีที่ 0:53 ที่ผู้เขียนรู้สึกราวกับว่ามันเป็นท่อน Post-chorus ต่อจาก Intro ที่เหมือนกับท่อนฮุค เป็นการจุดประกายเริ่มต้นเพลงด้วยบีตของกลองชุด เสียงคอร์ดล่องลอย และแนวเบสที่ดุดัน การเดินทางเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น Moment is yet to come…
VERSE 1 (1:04-1:26)
ดนตรีดำเนินต่อไปพร้อมกับแนวทำนองร้องที่มีความแข็งแรง ไปด้วยกันกับจังหวะที่หนักแน่น พอเข้าสู่นาทีที่ 1:14 จะสังเกตได้ว่าแนวเบสปรับไปเล่นเหมือนกับแนวร้องเป๊ะเลย ช่วยส่งเสริมให้ทำนองมีพลังยิ่งขึ้น เสียงเปียโนและแนวร้องประสาน Background vocals ถูกเพิ่มเข้ามาเติมเต็มให้ดนตรียิ่งมีความสมบูรณ์แบบมากขึ้น
นาทีที่ 1:21 เป็นท่อนที่ผู้เขียนฟังแล้วแทบจะร้องกรี๊ดกับแนวทำนองที่เปลี่ยนไป จากที่มักจะมีจังหวะเร็วสลับช้า มีช่วงเว้นว่างระหว่างแต่ละประโยคมาโดยตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่จังหวะของทำนองถูกยืดออก เป็นการร้องไล่สเกลไต่ระดับที่สวยงามติดต่อกันยาวๆ สวนทางกันกับดนตรีที่ยังคงพุ่งไปข้างหน้าแบบไม่มีหยุดยั้ง ทำให้เพลงเกิดอาการหน่วง ขยี้ใจคนฟังกันไปเต็มๆ
PRE-CHORUS (1:26-1:38)
เข้าสู่ท่อนพรีฮุคอย่างว่องไว (ใจยังติดอยู่ที่ท่อนเมื่อกี้ 555) ชัดเจนว่าเสียงบีตต่างๆ หายไป เหลือไว้แค่บางส่วนเบาๆ นอกจากนั้นแนวเบส เสียงต่ำทั้งหลายก็หายไปเช่นกัน หากใส่หูฟังดีๆ จะรู้สึกได้อย่างชัดเจนเลยว่าการจัดวางเสียงเปลี่ยนไปทำให้เหมือนกับเสียงต่างๆ มาจากที่ไกลๆ โดยมีเสียงร้องอยู่แนวหน้าเพียงลำพัง แนวทำนองที่เสียงสูงและไร้ซึ่งฐานรองก็ทำให้เราเหมือนกับกำลังล่องลอยอยู่อย่างไร้แรงโน้มถ่วง ไม่มีอะไรมายึดเหนี่ยวเราเอาไว้เลย
พอเข้าสู่นาทีที่ 1:32 เสียงกลอง Kick drum ค่อยๆ กลับเข้ามา ค่อยๆ ถี่ละเอียดขึ้นและเสียงดังขึ้น พอๆ กันกับที่แนวร้องเองก็ไต่ระดับต่ำลงราวกับว่าเรากำลังกลับลงมาสู่พื้นดิน จนในที่สุดสองเท้าของเราก็ยืนอย่างมั่นคงอีกครั้งในท่อนฮุค
CHORUS (1:38-2:00)
เป็นท่อนฮุคที่จะว่าแปลกก็ได้เมื่อโดยปกติเรามักคุ้นชินกับท่อนนี้เป็นทำนองที่คุ้นหู หรือการเลือกใช้คำซ้ำๆ เพื่อให้จดจำง่าย แต่เพลงนี้กลับกลายเป็นการแร็ปซะงั้น ตอนแรกผู้เขียนเองก็แอบสงสัยเหมือนกันว่าหรือมันจะยังไม่ใช่แต่เนื่องจากว่าหลังจากนี้ท่อนแร็ปนี้ก็จะกลับมาอีกครั้งในรูปแบบคล้ายกันและเป็นไปตามโครงสร้างของเพลงป็อปส่วนใหญ่ อืมมมม เจ๋งจริงๆ
นอกจากเสียงดนตรีที่กลับมาจัดเต็ม พร้อมด้วยเสียงสังเคราะห์แสนวุ่นวายแบบตอน Intro แล้ว แนวแร็ปนี้เองก็ให้ความรู้สึกที่เป็น ‘มนุษย์’ มากเลยในมุมมองของผู้เขียน ความจริงใจ ไร้ซึ่งการปรุงแต่งอันสวยงาม แต่เป็นการสื่อสารที่ชัดเจนออกมาจากใจโดยตรง
ยิ่งพอมาสลับกับแนวร้อง Moment is yet to come ที่มันมีทั้งความไพเราะ ความอ้อนวอน ความปรารถนาอันแรงกล้า การเลือกใช้ทำนองโน้ตแตกต่างกัน การสลับคนร้องเพื่อให้ได้เนื้อเสียงและสีสันที่ไม่ซ้ำเดิม รวมไปถึงการสลับปรับแต่งเนื้อเสียงให้มีความหลากหลาย มันเป็นอะไรที่สุดยอดจริงๆ สวยงาม ไม่มากไปไม่น้อยไป รวมออกมาแล้วลงตัวไปหมด เพอร์เฟ็กต์!
ในช่วงท้าย The best yet to come ก็เป็นอีกจุดที่นำเสนอได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะการ Dubbed เสียงซ้อนกันคล้ายกับว่าเป็นเสียงพูดของหลายคน การเว้นห่างของแต่ละคำเพื่อเป็นการเน้นย้ำเจตนารมณ์ที่แรงกล้า และแน่นอนว่ามีเสียงสะท้อนกลับมาเพื่อเป็นการย้ำที่หนักแน่นกว่าเดิมไปอีก โอ้โห เข้าใจมั้ย! ที่ดีที่สุดมันยังไม่มาถึงนะ รอก่อน!
VERSE 2 (2:00-2:22)
อยู่ดีๆ โลกทั้งใบก็สีเปลี่ยนไป มันทั้งหม่น ทั้งหมอง เหมือนมีม่านหมอกปกคลุมเอาไว้รอบตัว เมื่อเสียงดนตรีในท่อนนี้ถูก muted อุดเสียงให้ได้ยินไม่ชัดเจน รวมไปถึงแนวทำนองร้องที่แม้จะมีถึง 2 แนวซ้อนกันในช่วงเสียงสูงและต่ำตลอดทางแต่กลับถูกปรับแต่งให้เป็นไปในทางเดียวกันกับดนตรี จนมาในนาทีที่ 2:09 ที่เสียงทั้งหมดค่อยๆ ถูกปรับให้คมชัดขึ้นราวกับพระอาทิตย์ที่ค่อยๆ สาดแสงออกมาจากช่องว่างระหว่างก้อนเมฆครึ้ม
ท่อนแร็ปยังคงเป็นอะไรที่ถูกใจผู้เขียนเป็นอย่างมาก ด้วยตัวดนตรีที่ไพเราะในตัวเองด้วยคอร์ด ด้วย Harmony ของมันอยู่แล้ว แนวแร็ปจึงเป็นการส่งต่อสารที่ตรงประเด็นโดยที่ไม่รู้สึกว่าดุดันหรือก้าวร้าวเกินไป น้ำหนักการออกเสียงมันไปได้ดีกับดนตรีจนเราสามารถโฟกัสไปที่เนื้อหาของมันได้อย่างสบายใจ ไม่ถูกรบกวน ยิ่งพอเพิ่มเสียง synth สูงๆ ในช่วงนาทีที่ 2:20 มันยิ่งช่วยขับให้เพลงนี้มีพลังและเพิ่ม positive energy ให้ได้เยอะมาก
VERSE 3 (2:22-2:44)
ยอมใจจริงๆ แต่ละ Verse ไม่มีเหมือนกันเลย แม้ดนตรีจะวนเวียนอยู่แค่ไม่กี่คอร์ดแต่กลับไม่มีช่วงที่น่าเบื่อเลยสักนิด เมื่อแนวทำนองมีลูกเล่นสารพัดล้านแปดไม่เหมือนกันตลอด อย่างในท่อนนี้ที่ยิ่งขับพลังบวกออกมามากกว่าเดิมด้วยการเพิ่มเสียงร้องประสานกับเปียโนเข้ามาทำให้กลายเป็นท่อนที่เรียกได้ว่าน่าจะมีสีสัน colourful ที่สุดแล้ว
ครึ่งหลังของท่อนกลายเป็นอะไรที่ชิลล์สุดๆ we ain’t about it ที่ร้องออกมาแบบสบายๆ ไม่ได้ต้องใส่พลังหรือเค้นมากมาย สลับกับการร้องแร็ป (ที่สลับคนร้องไปเรื่อยๆ อีกแล้ว) มันฟังดูง่ายๆ Simple คลาสสิก ไม่ต้องพยายาม ก็คงไม่ได้ต่างจากชีวิตของคนเราที่บางครั้งก็ต้องลองปล่อยวาง ทำใจให้สบาย ปล่อยให้มันเป็นไป ที่สำคัญที่สุดคือตัวเราเองเท่านั้น
ก่อนที่เราจะกลับเข้าสู่ท่อน PRE-CHORUS (2:44-2:56) อันแสนไพเราะ ล่องลอยไปกับสายลม และเดินทางต่อเนื่องไปสู่ท่อน CHORUS (2:56-3:18) อย่างหนักแน่นมั่นใจ ที่ต้องบอกเลยว่าเพราะจริงๆ แม้องค์ประกอบทุกอย่างจะยังเหมือนเดิมแต่กลับฟังเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ คนแต่งคัดสรรมาแล้วจริงๆ
OUTRO (3:18-3:41)
โห! นี่มันอย่างกับการเดินทางออกจากบ้านไปผจญภัยเพื่อจะกลับมาสู่บ้านอันแสนอบอุ่นอีกครั้งหนึ่งเมื่อทำนองจากช่วง Intro ต้นเพลงถูกยกกลับมาอีกครั้งในแบบจัดเต็มกับแนวร้อง Background vocals ที่มีทั้งร้องประสานไปพร้อมกัน ร้องสลับสอดแทรก สูงบ้างต่ำบ้าง เติมเต็มทุกช่วงว่างของแนวร้องหลัก เหมือนกับเป็นเสียงสะท้อนที่โอบกอดเรา ล้อมรอบตัวเราอยู่ตลอดเวลา มันช่างไพเราะและอบอุ่นเหลือเกิน
นาทีที่ 3:28 อยู่ดีๆ มีเสียงกลองส่งมาผู้เขียนก็นึกว่าจะกลับไปมันส์กันต่ออีกรอบ แต่เปล่าเลย เรายังคงอยู่ในบรรยากาศเดิมที่อารมณ์ถูกผลักให้พลุ่งพล่านยิ่งกว่าเดิมเมื่อเสียงดนตรีต่างก็ถูกเร่ง Volume ขึ้น เสียงต่ำที่หนาขึ้น แนวร้องประสานก็เยอะขึ้นเหมือนกับเรากำลังฟังเพลงร้องสรรเสริญพระเจ้าในโบสถ์ มันเต็มไปด้วยความสุขและความหวัง
เอาล่ะ นาทีที่ 3:35 กลอง Kick drum กลับมาแล้ว พร้อมกับใส่เกียร์เร่งจังหวะเร็วขึ้นเพื่อพาเรามุงไปข้างหน้าเตรียมกระโจนเข้าหาความสนุก แต่แล้วทุกอย่างก็หยุดลง เพราะ the best moment is yet to come แฮร่! …มันคือการจบลงอย่างสวยงาม ย้ำเตือนเราว่าให้ใจเย็นและรอคอยเพื่อสิ่งที่ดีที่สุด นี่เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น
น้อยแต่มาก… เพลงนี้แม้ไม่ได้มีการใช้องค์ประกอบที่อลังการงานสร้างหวือหวาแปลกใหม่แต่อย่างใด แต่กลับไพเราะ ลึกซึ้ง กินใจ และสร้างอารมณ์ร่วมให้แก่ผู้ฟังได้โดยไร้ซึ่งข้อกังขา ยอมรับเลยว่าความจริงใจของผู้แต่งถูกสื่อสารออกมาผ่านบทเพลงนี้ได้อย่างชัดเจนจริงๆ