เจฟ ซาเตอร์-คุณแม่ เล่ามุมสนิท เผยดูซีรีส์-การ์ตูน เรื่องเดียวกันนับครั้งไม่ถ้วน
Highlight
- ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา เจฟ-วรกมล ซาเตอร์ ได้เติบโตมาในครอบครัวกับคุณแม่ ปราณี แซ่ล้อ คุณแม่ที่ใกล้ชิดลูกชายสุดๆ จนสามารถคุยได้แทบทุกเรื่อง และทั้งสองฝั่งได้แชร์ความชอบ จนรู้ใจกันและกันมาก และแทบจะตอบคำถามบางข้อแทนกันได้
- สไตล์การเลี้ยงดูของคุณแม่ปราณี จะมาแนวให้เจฟตั้งคำถาม อย่างเช่นการที่ดูภาพยนตร์เรื่อง Charlie and the Chocolate Factory คุณแม่ก็จะให้เจฟดูเรื่องราวในหนังแล้ววิเคราะห์ หรือแม้แต่เวลามีเรื่องไม่เข้าใจ ก็จะพยายามให้เจฟคิดและวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้น
- สิ่งที่ทำให้คุณแม่ปราณีเข้าใจความเป็นเด็กของคนยุคใหม่มาจากแนวคิดว่า "เด็กคือผู้ใหญ่ แต่เป็นผู้ใหญ่ที่ไซส์เล็กลงมาหน่อย" ที่ทำให้เธอรับฟังลูกชาย ในขณะที่เจฟมองว่าอารมณ์คือสิ่งที่ทำให้หลายคนไม่เข้าใจกัน และคิดว่าการรับฟังมา
ณ เวลานี้ เจฟ-วรกมล ซาเตอร์ ถือเป็นอีกหนึ่งศิลปินและนักแสดงที่มาแรงมาก นอกจากการทำผลงานเพลงในค่าย Wayfer Records ในเครือ Warner Music Thailand ที่ปล่อยต่อเนื่องแล้ว ยังมีผลงานการแสดงซีรีส์ KinnPorsche The Series ที่ทำให้เขามีแฟนคลับเพิ่มขึ้นอีกรวดเร็ว และอีกมุมเขาก็เป็นลูกชายที่รักครอบครัว ซึ่งวันนี้เราได้เปิดมุมความรักครอบครัวของเจฟ และคุณแม่ ที่เข้าใจและคุยกันด้วยเหตุผล จนกลายเป็นแม่ลูกที่สนิทกันมาก จนเรามองว่าใครที่อ่านเรื่องราวจะต้องอมยิ้ม หรือไม่ก็อยากสมัครเป็นลูกสะใภ้บ้านนี้แน่นอน
ความเข้าใจและสนิทจนจดจำความชอบกันและกันได้
"จริงๆ เราไม่ค่อยมี Generation Gap ที่ว่า เจฟเป็นคนที่เปิดกับแม่มาก เพราะแม่เป็นคนที่คุยได้ทุกเรื่องจริงๆ รู้สึกว่าคุยอะไรก็รู้เรื่อง เพราะแม่ยังดูการ์ตูนกับเจฟตอนเด็กๆ อยู่เลย แม่รู้ตัวละครดราก้อนบอลทุกตัวนะ" เจฟได้เล่าถึงการเปิดใจฟังของคุณแม่ ซึ่งต่างคนต่างรู้จักกันจนถึงจุดที่รู้ความชอบแบบลึกและยังเผยเรื่องน่ารักของคุณแม่เกี่ยวกับการดูซีรีส์ด้วยกันว่า "แม่ชอบหลายเรื่องมาก จริงๆ ก็ดูพร้อมแม่แหละ รอบแรกนะ แต่รอบ 29 รอบที่เหลือ ไม่ได้ดูกับแม่ แต่แม่เปิดวนไปเรื่อยๆ เมื่อก่อนจะดูไต้หวันใช่ไหมแม่ ปิ๊งรักสลับขั้ว (To The Beautiful You) ใช่ไหมครับ อู๋จุน เล่น ทุกวันนี้อาบน้ำเขินมากเลย มีอู๋จุนดูอยู่ตลอด เป็นโปสเตอร์อู๋จุนแปะอยู่ในห้องน้ำข้างๆ ฝักบัว"
การตั้งคำถาม คือหัวใจในการเลี้ยงดูของคุณแม่ปราณี
ด้วยความที่คุณแม่ปราณีใกล้ชิดกับเจฟมาตั้งแต่เด็ก เธอก็สอนให้เจฟตั้งคำถามกับหลายๆ อย่างเพื่อเป็นการฝึกคิดให้มีเหตุผล โดยคุณแม่เล่าถึงการสอนเจฟ "เราจะชอบดูหนังด้วยกัน แล้วจะถามเขาว่า ลองวิเคราะห์ดูสิ หนังเรื่องนี้ให้อะไร หลังๆ พอสองพี่น้องดูหนังด้วยกัน เขาก็จะวิเคราะห์ว่าหนังเรื่องนี้ให้อะไร ผู้กำกับต้องการสื่ออะไร" และเจฟได้เผยว่าการตั้งคำถามของคุณแม่สามารถเกิดได้ทุกที่
"คุณแม่ชอบให้ตั้งคำถามครับ เจอรูปปั้นข้างล่างตึกนี้ "ลูกว่ามันหมายถึงอะไร" แม่จะเป็นสไตล์สอนให้ตั้งคำถามอยู่เสมอครับ"
ชีวิตวัยเรียนต่างกัน ไม่ได้เป็นอุปสรรคใดๆ ต่อความเข้าใจ
เรื่องที่น่าสนใจของเจฟและคุณแม่ คือทั้งสองมีนิสัยที่ต่างกันมากในวัยเด็ก รวมถึงผลการเรียน ซึ่งคุณแม่ปราณีที่เรียนหนักแต่เด็กได้เล่าถึงชีวิตตอนเป็นนักเรียน "แม่จะอ่านหนังสือรอบแรกก่อน แล้วจะขีดเส้นใต้ไว้ เพราะสมัยแม่ไม่มี(ปากกา)ไฮไลต์ เสร็จแล้วก็จะทำการทำข้อสอบเอง แล้วก็สรุปใส่โน๊ตไว้ หนังสือก็ไม่ต้องใช้ พอถึงเวลาสอบก็อ่านแค่ที่โน้ตไว้ ก็คือจบ" ก่อนเจฟจะเสริม "จริงๆ แม่ (สอบ) ได้ที่ 1 เกือบทุกปี แม่เรียนเก่งมากครับ"
ส่วนเจฟนั้นก็เล่าเรื่องการเรียนแบบติดตลกว่า "ส่วนเจฟก็ได้ที่ 1 ครับ... นับจากหลังห้องขึ้นมา" และเล่าถึงมุมมองที่คุณแม่มีต่อเรื่องเรียนเขาว่า "เจฟคือ นักเรียนมี 36 เจฟได้ที่ 35 แค่นั้นแม่ก็ดีใจแล้วครับ" ก่อนที่คุณแม่จะพูดแบบอารมณ์ดีตามมาว่า "เพราะว่าอย่างน้อยชนะ 1 คน"
แต่ถึงตอนแรกจะไม่ได้เป็นเด็กเรียน เจฟก็เล่าว่าสมัยเรียนมหาวิทยาลัย เขาตั้งใจเรียนมากขึ้น โดยเล่าถึงวิธีการเรียน "ช่วงมหาวิทยาลัยก็จะอ่านแบบใช้ Take Note เหมือนกัน เหมือนแม่ สรุปเนื้อหาสำคัญไว้ในแผ่นเดียว แล้วก็จะอ่านแค่โน้ต แล้วก็หลับ แล้วก็ตื่นมาอ่านอีกที มันจะช่วยความทรงจำเราตอนที่หลับแล้ว ก่อนเข้าห้องสอบก็จะอ่านอีกรอบหนึ่ง ครับผม"
วิธีการรับมือลูกชายในแบบฉบับคุณแม่ปราณี
ถึงแม้จะเป็นแม่ลูกที่สนิทกันมาก แต่เหตุการณ์ความไม่เข้าใจก็เกิดขึ้นได้ ซึ่งเจฟย้อนเล่าถึงเหตุการณ์วัยเด็ก ที่เคยถูกแม่ว่า "ที่ถูกแม่ว่าครั้งล่าสุด คือตอน ป. อะไรสักอย่างเลย คือนานมาก พอโตขึ้นเริ่มมีเหตุผลก็คุยกันด้วยเหตุผล เลยไม่ทะเลาะกับแม่เลย ไม่มี" ซึ่งคุณแม่ปราณี ก็เล่าถึงการดูแลเจฟ "ไม่เคยทะเลาะกัน แต่เวลาที่เขาทำให้ไม่พอใจ เราจะอธิบายไปเลยว่า ความรักเท่าเดิม แต่อันนี้แม่ไม่ชอบ และก็ไม่พอใจ เขาก็จะเข้าใจว่า เราก็จะอธิบายเหตุผลว่าทำไมเราถึงไม่ชอบเรื่องนี้"
จากประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมา ทำให้คุณแม่ ปราณี มีแนวคิดน่าสนใจในการเข้าใจผู้คนที่หลายๆ ครอบครัวนำไปใช้ได้ อย่างเช่น "สำหรับแม่ เราต้องไม่เอาตัวเองเป็นบรรทัดฐาน ตัดสินทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ รวมแม้กระทั่งลูกด้วย ทั้งความฝันของเด็กๆ การประพฤติปฏิบัติของตัวเขา เพราะถ้าเราเอาตัวเองไปใส่ในทุกๆ คน เราก็จะไม่ถูกใจไปเสียหมด แต่ถ้าเราคิดว่าทุกคนเขาก็แตกต่าง ด้วยยุค ด้วยสมัย ด้วยอายุ ด้วยความคิด เพราะจริงๆ แล้วคิดว่าเด็กคือผู้ใหญ่ แต่เป็นผู้ใหญ่ที่ไซส์เล็กลงมาหน่อย แต่จริงๆ ถ้าเราฟังเขาเยอะๆ เราจะรู้ว่าเขามีความคิดที่ดีมากเลย ถ้าไม่รีบตัดสินเกินไป มันก็จะไม่ขัดแย้งกัน"
ภายใต้อารมณ์ที่ร้อนแรงของลูกขณะโต้แย้ง นั้นเต็มไปด้วยเจตนาที่ดี
หลังจากฟังมุมมองคุณแม่ปราณี ตัวเจฟเองได้เสริมมุมมองว่าเรื่องอารมณ์เป็นสิ่งหนึ่งที่มีผลกระทบต่อการสื่อสาร โดยเล่าว่า "จริงๆ คิดคล้ายๆ แม่แหละ รู้สึกว่าต้องฟังกันมากขึ้น ถ้าใช้อารมณ์มาคุยกัน ทุกคนจะเป็นคนที่ถูกหมด มันจะไม่มีคนผิดอยู่แล้ว เพราะเราต้องคิดว่าเราถูกอยู่แล้ว มันเลยเป็นคนถูกกับคนถูกมาเจอกัน ก็เลยกลายเป็นการทะเลาะอะไรแบบนี้" ก่อนจะเสริมต่อ "บางทีก็ไม่เข้าใจกัน แล้วเลิกคุยเรื่องนี้กันไปเลย"
"เจฟว่าวิธีที่ง่ายที่สุดคือการ ฟังกันมากขึ้น แล้วก็พยายามทำความเข้าใจกับตัวตนของเขา สิ่งที่เขาเจอมามันคืออะไร และอะไรทำให้เขาคิดแบบนี้ แทนที่จะไปคิดว่า "ทำไมถึงคิดแบบนี้", "คิดแบบนี้ได้ยังไง" อะไรแบบนี้มากกว่า ถามถึงต้นตอสิ่งนั้นมาจากอะไร แล้วก็เขาใจมัน เช่นเดียวกันกับคุณแม่ จริงๆ ลูกก็คงมีเจตนาที่ดีอยู่แล้วแหละ ไม่ได้อยากไม่เห็นด้วยกับคุณแม่อยู่แล้ว เชื่อว่าลูกหลายๆ คนก็ไม่ได้อยากจะทะเลาะกับคุณ เขาก็อาจจะต้องการแค่ความเข้าใจ ในความเป็นตัวเขา แล้วเมื่อทั้งสองคนเปิดใจให้กัน เราก็จะก้าวผ่านกำแพง จะคุยแล้วจะสนิทกันมากขึ้นด้วย"
อัลบั้มภาพ 42 ภาพ