สัมภาษณ์ beabadoobee ถึงเพลง “10:36” และเตรียมตัวแฟนๆ ชาวไทย 19 ก.ย. นี้ | Sanook Music

สัมภาษณ์ beabadoobee ถึงเพลง “10:36” และเตรียมตัวแฟนๆ ชาวไทย 19 ก.ย. นี้

สัมภาษณ์ beabadoobee ถึงเพลง “10:36” และเตรียมตัวแฟนๆ ชาวไทย 19 ก.ย. นี้
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

พูดคุยกับสาวน้อยเสียงน่ารัก beabadoobee ที่จะมาแนะนำตัวให้แฟนๆ ชาวไทยได้รู้จักอย่างเป็นทางการก่อนเจอตัวจริง 19 กันยายนนี้

beabadoobee ชื่อที่ดูน่ารักน่าชังนี้มาจากแอคเคาท์ instagram ที่เธอเคยใช้ส่วนตัว โดยคำขึ้นต้น bea มาจากชื่อจริงของเธอ Beatrice Kristi Laus เด็กสาวชาวฟิลิปปินส์ผู้ย้ายตามครอบครัวไปใช้ชีวิตในอังกฤษตั้งแต่เด็ก และค้นพบเสน่ห์ของดนตรี โดยเฉพาะดนตรีแนวป็อป กรันจ์ร็อค อัลเทอร์เนทีฟยุค ‘90s-2000s และไม่น่าแปลกใจเลยที่เพลงของเธอได้รับอิทธิพลมาจากดนตรีแนวนี้เยอะจนคนฟังแอบสงสัยว่าเธอเกิดในยุค GEN Z จริงหรือ

จากความโด่งดังของเธอในเพลง “Coffee” เพลงแรกในชีวิตที่เธอแต่งเองในวัย 17 ปี สู่เพลงล่าสุด “10:36” และอัลบั้มที่ 2 Beatopia เราได้เห็นการเติบโตของสาวน้อยคนนี้พอสมควร Sanook ได้พูดคุยกับเธอผ่าน e-mail interview อีกครั้งหลังจากที่ได้คุยกันผ่าน video conference ช่วงเปิดตัวอัลบั้มแรก Fake It Flowers อัลบั้มที่มีที่มาจากการบันทึกความทรงจำเกี่ยวกับความผิดพลาดสมัยเด็กของเธอที่ทำให้เธอได้เรียนรู้และเติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เรามาดูกันว่าสำหรับ Bea แล้ว Beatopia สำคัญกับชีวิตของเธออย่างไรบ้าง


เพลง “10:36” เกี่ยวกับอะไร ตอนที่แต่งเพลงจบเมื่อเวลา 10:36 (AM หรือ PM) คุณใช้เวลาแต่งเพลงนี้นานเท่าไร

beabadoobee: “10:36” น่าจะเป็นเพลงที่ฉันชอบที่สุดในอัลบั้มตอนนี้เลยค่ะ แม้ว่าชื่อเพลงออกจะแปลกไปสักหน่อย แล้วหลายคนก็คิดว่าชื่อเพลงน่าจะมาจากเพลงของ The Cure (“10:15 Saturday Night”) แต่จริงๆ แล้วอย่างที่คุณทราบคือมันเป็นเวลาที่ฉันแต่งเพลงนี้เสร็จพอดี 

ท่อนเพลงสุดท้ายของคอรัสสรุปใจความสำคัญของเพลงนี้เอาไว้พอดีค่ะ คือการพูดถึงความรู้สึกของฉันที่อยากได้ใครสักคนมานอนเคียงข้างยามค่ำคืนเพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกเปล่าเปลี่ยว ฉันเริ่มแต่งเพลงในตอนกลางวัน และถ้าให้บอกให้ชัดว่าเป็น AM หรือ PM ก็ขอตอบว่าฉันแต่งเพลงเสร็จตอน 10:36 PM ค่ะ

ทำไมถึงตั้งชื่ออัลบั้มล่าสุดนี้ว่า Beatopia

beabadoobee: ตอนที่ฉันอายุ 7 ขวบ ตอนที่ฉันอยู่ในโรงเรียน ฉันเริ่มสร้างโลกของตัวเองขึ้นมาค่ะ อาจจะเพื่อหลีกหนีตัวเองจากคนอื่น แล้วฉันก็ตั้งชื่อให้โลกของฉันใบนี้ว่า Beatopia มันเป็นโลกที่เต็มไปด้วยการอยู่ร่วมกัน จริงๆ มันก็เป็นแค่สิ่งสิ่งหนึ่งที่ฉันทำสมัยตอนที่ฉันยังเด็กมากๆ และฉันมักจะคิดถึงโลกใบนั้น ที่ซึ่งพวกเราทุกคนอยู่ร่วมกันได้ ในโลกใบนั้นมีแต่บรรยากาศนอกบ้าน และคล้ายๆ กับเป็นชั้นความฝัน ฉันสนุกอยู่กับการสร้างภาษาขึ้นมาใหม่ และอะไรอย่างอื่นอีกมากมาย ฉันเลยอยากจะตั้งชื่ออัลบั้มนี้ตามชื่อโลกใบนี้ที่ฉันเคยสร้าง และมีเพลงประกอบให้ด้วย ตอนนี้เลยครบจบทุกกระบวนการเรียบร้อย

beabadoobee - Beatopia

ระหว่างอัลบั้ม Beatopia and Fake It Flowers แตกต่างกันอย่างไรบ้าง

beabadoobee: ในอัลบั้มนี้มีการทดลองอะไรใหม่ๆ หลายอย่างเลยค่ะ ตั้งแต่แนวดนตรีที่ฉันเคยอยากลองมานาน ไปจนถึงวิธีการแต่งเพลง และอัดเสียง เริ่มที่ฉันแต่งเพลงกับ Jacob มือกีตาร์ของฉัน แล้วเราก็เริ่มอัดเพลงนี้ด้วยกันด้วยวิธีที่แตกต่างไปจากเดิมกันสุดๆ เราได้ลองใช้ซาวด์ใหม่ๆ ลองอะไรใหม่ๆ รวมไปถึงอุปกรณ์ในการทำดนตรีใหม่ๆ ที่เราไม่เคยใช้มาก่อน มีซาวด์อิเล็กทรอนิกส์เข้ามาผสมอยู่มาก รวมถึงซาวด์อื่นๆ ที่เราอยากลองนำมาผสมผสานกันดูเป็นครั้งแรก ฉันชอบที่พวกเราทำเพลงกันอย่างอิสระ ได้ลองอะไรใหม่ๆ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างเพลงกันใหม่ ให้เพื่อนๆ ลองเล่นให้ฟัง ทุกอย่างก็ไร้กฎเกณฑ์อย่างสิ้นเชิงเลยค่ะ

คุณได้ร่วมแสดงในเทศกาลดนตรีมากมาย ทั้ง Glastonbury, Coachella, Governor's Ball, Summer Sonic, Mad Cool, Rock En Seine และ TRNSMT งานไหนที่อยู่ในความทรงจำของคุณมากที่สุด แล้วตัวคุณเองชอบที่จะได้เล่นในเทศกาลดนตรีใหญ่ๆ หรือในคอนเสิร์ตเดี่ยวของตัวเองมากกว่ากัน

beabadoobee: ฉันชอบที่จะได้เล่นทั้งสองแบบเลยค่ะ อย่างเทศกาลดนตรี ฉันก็ได้มีช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่อย่างการพูดว่า “Hello Glastonbury” (ตอนเด็กๆ ฉันเคยซ้อมพูดอยู่ในห้องนอนของตัวเอง และคิดว่าสักวันหนึ่งจะได้พูดขึ้นมาจริงๆ) หรือการได้ไปเล่นในงาน Coachella กลางทะเลทราย ฉันคิดว่าทุกงานมีความพิเศษทั้งหมด และเป็นเรื่องที่ดีที่ทำให้ทุกคนได้มารวมตัวกันและมาสนุกด้วยกัน เทศกาล Mad Cool ก็เยี่ยมมากนะคะ เพราะฉันได้ดูโชว์ของ The Deftones ที่ฉันรักด้วย แต่ก็แน่นอนค่ะฉันก็ชอบที่ได้มีคอนเสิร์ตเป็นของตัวเองด้วย เพราะมันเหมือนกับการได้จัดปาร์ตี้ของตัวเอง

จากทุกเพลงทั้งหมดที่คุณแต่งมา เพลงไหนที่แสดงความเป็นตัวคุณมากที่สุด เพราะอะไร

beabadoobee: คำถามนี้ตอบยากมากเลยค่ะ! ทุกเพลงแสดงความเป็นตัวฉันได้หมดเลย ขึ้นอยู่กับอารมณ์ในช่วงนั้น ฉันไม่ได้เป็นแค่เพลงเพลงเดียว แต่ถ้าให้เลือกขึ้นมาสักเพลงที่แสดงความเป็นตัวฉันในตอนนี้ได้มากที่สุด ก็น่าจะเป็นเพลง “10.:36” นี่แหละค่ะ ฉันสนุกกับเพลงนี้มากในตอนนี้ ทั้งตอนที่ได้ร้องเพลงนี้สดๆ ตอนได้ยินแฟนๆ ร้องตามตั้งแต่ครั้งแรก มันตลกดีเหมือนกันที่ตอนนี้ฉันเหมือนอยู่ด้วยตัวคนเดียวไม่ได้อีกแล้ว เพราะฉะนั้นฉันก็เลยคิดว่าเพลงนี้น่าจะสรุปความเป็นตัวฉันในตอนนี้ได้ดีที่สุดค่ะ ฉันคุ้นเคยกับเพลงนี้มากในตอนนี้และเพลงนี้ก็ค่อยๆ มีบทบาทในชีวิตของฉันมากขึ้นเรื่อยๆ ในทุกๆ วัน เช่นกัน

beabadoobee

ส่วนใหญ่เพลงของคุณแต่งขึ้นมาจากประสบการณ์ชีวิตของตัวเอง เหมือนๆ กับนักร้องนักแต่งเพลงคนอื่นๆ ส่วนตัวแล้วคุณคิดว่าศิลปินสามารถแต่งเพลงรักโดยที่ไม่เคยมีความรักมาก่อนได้ไหม

beabadoobee: ได้นะคะ! ทุกคนเกิดมาพร้อมกับความรัก ทั้งการมอบความรัก และการได้รับความรักจากคนอื่น คุณแต่งเพลงถึงคนที่คุณแอบชอบได้โดยที่คุณอาจจะยังไม่เคยคบหากับใครเป็นแฟนมาก่อนเลยก็ได้ แค่พูดถึงความรู้สึกในใจของคุณออกมาเท่านั้น มันเป็นหัวข้อที่เปิดกว้างและสากลมากๆ แล้วยังมีหลายวิธีที่จะส่งข้อความเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปถึงคนอื่นๆ บนโลก แต่เมื่อไรก็ตามที่คุณได้คบหากับใครจริงจัง แล้วมีช่วงทั้งดีและร้ายเกิดขึ้น นั่นก็จะเป็นช่วงที่คุณอาจมีเรื่องเล่าที่เป็นเรื่องส่วนตัวของตัวเองลงไปในเพลงมากขึ้น

คุณเป็นหนึ่งในศิลปินรุ่นใหม่ที่ชอบฟังเพลงเก่าๆ คุณคิดว่าเทรนด์ของดนตรีในช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง และศิลปินรุ่นใหม่จะสามารถได้รับแรงบันดาลใจจากเพลงเก่าๆ เพื่อมาทำเพลงใหม่ของตัวเอง โดยที่ยังคงความเป็นตัวเองเอาไว้อยู่ได้อย่างไร

beabadoobee: จริงๆ แล้วเพลงในเพลย์ลิสต์ของฉันมักจะเป็นเพลงในยุค ‘60s ‘70s ‘80s และส่วนใหญ่จะเป็นเพลงในยุค ‘90s และ ‘00s ฉันไม่ค่อยได้ฟังเพลงที่ปล่อยออกมาในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้เลยค่ะ ฉันพอจะรู้จักอยู่บ้างนะว่ามีเพลงดีๆ ออกมาเยอะ แล้วก็มีศิลปินใหม่ๆ ที่ฉันชอบด้วย แต่เพลย์ลิสต์ประจำของฉันก็ยังคงเป็นเพลงเก่าๆ อยู่ดี

คุณอาจได้รับแรงบันดาลใจจากในยุคนั้น หรือจากคนในยุคนั้นก็ได้ค่ะ ฉันคิดว่าดนตรีเป็นเหมือนกับกลิ่น ลุค หรือความรู้สึกต่อสิ่งนั้น หรือคุณอาจจะได้แรงบันดาลใจจากแฟชั่นในยุคนั้นก็ได้ อะไรก็ได้ที่คุณชอบจากยุคนั้นๆ สำหรับฉันมันเป็นแค่นั้นเลยค่ะ ฉันชอบในสิ่งที่ฉันกำลังอินอยู่ และมันก็ดันเป็นเพลงเก่าๆ จากอัลบั้มคลาสสิกต่างๆ ฉันก็แต่งเพลงจากแนวดนตรีที่ฉันกำลังอิน และใส่ความเป็นสมัยใหม่ลงไปเพื่อพูดถึงตัวเอง พูดถึงสิ่งที่ฉันได้เห็นเอง และได้ใช้ชีวิตกับมันมาเอง มันเลยออกมาเป็นส่วนผสมของระหว่างของเก่ากับของใหม่ แค่จริงใจซื่อสัตย์กับตัวเอง และเป็นตัวของตัวเองก็พอค่ะ

beabadoobee

หากคุณเหนื่อยล้ามากๆ และหมดไอเดียหรือแรงบันดาลใจที่จะแต่งเพลง คุณจะทำอย่างไร

beabadoobee: พักสักครู่ และออกไปใช้ชีวิตสักพักค่ะ ฉันจะออกไปเที่ยวกับเพื่อน หาประสบการณ์ใหม่ๆ พูดคุยกับคนอื่นๆ ได้ฟังเรื่องราวต่างๆ ถ้าฉันไม่ได้แต่งเพลงเกี่ยวกับตัวเอง ฉันก็แต่งเพลงเกี่ยวกับสิ่งที่ฉันได้ยินมาจากคนอื่นว่าชีวิตเขาผ่านอะไรมาบ้าง แล้วมันติดอยู่ในใจของฉันอย่างไร มันแน่นอนอยู่แล้วสำหรับนักแต่งเพลงที่จะสมองตันบ้าง และฉันก็เคยเป็นมาแล้วเหมือนกัน แต่เมื่อคุณผ่านช่วงนั้นมาได้ ไอเดียต่างๆ ก็จะเริ่มพลั่งพรูผ่านเพลงต่างๆ เพราะฉันจะเริ่มรู้ว่าฉันอยากเล่าอะไรผ่านเพลงอีกครั้ง

รู้หรือเปล่าว่าในไทย คุณมีแฟนคลับเพียบเลยนะ แล้วทุกคนอยากเจอคุณมากๆ ช่วงฝากอะไรถึงแฟนๆ ชาวไทยหน่อย

beabadoobee: ถึงแฟนๆ ชาวไทยทุกคน เดี๋ยวเราก็จะได้เจอกันแล้วในวันที่ 19 กันยายนนี้นะคะ ขอบคุณมากๆ ที่สนับสนุนฉันมาตลอด และชอบในผลงานที่ฉันทำออกไป ฉันตื่นเต้นมากๆ ที่จะได้เจอทุกคน และหวังว่าจะได้เจอทุกคนที่คอนเสิร์ตครั้งนี้นะคะ พวกเรามาปาร์ตี้ด้วยกัน และร้องเพลงไปด้วยกันกันเถอะ หวังว่าคอนเสิร์ตในครั้งนี้จะสนุกสุดเหวี่ยงไปเลยนะ แล้วเจอกันค่ะ!

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook