“Marathon Concert” 16 ชั่วโมง ของ 16 มหรสพ จากศิลปินที่คู่ควรเวที “อิมแพ็ค” Part 1
เราจะมีคอนเสิร์ตเดี่ยวของ 16 ศิลปินใน 2 วันได้ไหม?
หลังจากงานใหญ่ genie fest 2020 : Rock Mountain เทศกาลดนตรีแนวร็อคก็ได้ห่างหายไปนานหลายปี และล่าสุดก็ได้กลับมาอีกครั้ง กับงานที่มีชื่อว่า MARATHON CONCERT FEST เทศกาลดนตรียาว 2 วัน ที่จะมากับการแสดง 16 ชั่วโมง ของ 16 วงดนตรีและศิลปินเดี่ยวที่ขึ้นชื่อเรื่องการแสดงสดและมีเพลงฮิตทุกวงและทุกคนแบบอัดแน่น เรียกได้ว่าเป็นความท้าทายคำถามที่ว่า เราจะมีคอนเสิร์ตเดี่ยวของ 16 ศิลปินใน 2 วันได้จริงหรือ? ซึ่งเดิมทีงานนี้มีการเตรียมมาตั้งแต่ 2020 ก่อนที่สถานการณ์ทุกอย่างจะเหมาะสมจนมันสามารถรันได้อีกครั้งท่ามกลางความดีใจของแฟนๆ ที่รอคอย
โดยจะแบ่งเป็นรอบการแสดงแรก วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม 2565 กับ BIG ASS, BODYSLAM, BOMB AT TRACK, KLEAR, LABANOON, หนุ่ม กะลา (ณพสิน แสงสุวรรณ) , PARADOX, THE YERS และรอบการแสดงที่สอง วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม 2565 COCKTAIL, LOMOSONIC, ปาล์มมี่-อีฟ ปานเจริญ, POTATO, SLOT MACHINE, TAITOSMITH, TILLY BIRDS และ THREE MAN DOWN ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นศิลปินที่มีความเด็ดสุดๆ ในเรื่องการแสดง ร้องสด เล่นดนตรี ยันกิมมิกสุดแปลกใหม่ และบางวงก็เคยมีโชว์บนเฟสติวัลระดับโลกด้วย จึงไม่แปลกว่าทำไมนี่ถึงเป็นอีกงานที่ Sold Out
โดยการแสดงแรกเริ่มต้นด้วย BOMB AT TRACK วงดนตรีสุดเดือดที่เข้ามาวาดลวดลายประเดิมความเดือดด้วยเพลงอย่าง “คำสั่ง”, “บ้ายอ” “เด็กเอ๋ยเด็กดี” จากอัลบั้ม Bomb The System ที่แม้ช่วงแรกเสียงของนักร้องนำจะจมดนตรีไปบ้างจนเราฟังเนื้อร้องเพลง “คำสั่ง” แอบไม่ออก แต่เมื่อซาวด์ลงตัวทุกอย่างก็เดือดแบบฉุดไม่อยู่ และในขณะเดียวกันในโชว์ก็มีเพลง “จำ” เพลงรักที่พวกเขาทำกับ พัด Zweed n’ Roll รวมอยู่ด้วย และในขณะเดียวกันก็มีเพลง “คำตอบ”, “เจ้าหน้าที่” ที่ปล่อยในสังกัดก่อนหน้า และเพลงที่มาจากเรื่องราวชีวิตของ เต้-วงศกร เตมายัง นักร้องนำ อย่าง “ช่วงเปลี่ยนผ่าน” ซึ่งในการโชว์ครั้งนี้เต้ได้ทำให้ทึ่งในฐานะแร็ปเปอร์ที่จังหวะและมีการพ่นและโฟลว์คำที่ดี โดยเฉพาะในเพลง “เสียงในหัว” ที่แอบทำเราหยุดหายใจตามความรัว และในขณะเดียวกันก็เป็นนักร้องที่สามารถใช้คำว่าร้องแบบกินแผ่นได้อีกคนหนึ่งเลย โดยเขาได้ร้องแทนท่อนของพัดในเพลง “จำ” เองด้วย ส่วน เมษ-ภควรรษ ประเสริฐศักดิ์ (กีตาร์), ปุ้ย-ปราชญานนท์ ยุงกลาง (กีตาร์), ข้น-ศาสตร์ พรมุณีสุนทร (เบส) และ นิล-สิรภพ เลิศชวลิต (กลอง) เองก็เป็นเด็กรุ่นใหม่ฝีมือดี และมีการเล่นสดรวมถึงลีลาบนเวทีที่น่าจับตา และทีมเวิร์คที่เข้าขากันมาก จนเราเห็นช็อตการโยนกีตาร์ ไปจนถึงการโซโล่ของแต่ละคน ซึ่งพอเราได้ชมการแสดงทั้ง 11 เพลงของวง เราก็ได้สัมผัสว่าจริงๆ แล้ว BOMB AT TRACK เป็นวงที่มีเรื่องราวในเพลงที่สามารถตีความหลากหลาย จนเรามองว่าพวกเขาไม่ใช่แค่วงสายสะท้อนสังคม แต่เป็นวงที่เล่าเรื่องคนจริงๆ ในหลายมิติ ผ่านการทดลองดนตรี จึงไม่แปลกว่าทำไมตั้งแต่ฟอร์มวงไม่นาน พวกเขาได้ไปคว้ารางวัลบนเวทีดังอย่าง Hong Kong Asia-Pacific Youth Band Sound Competition 2017 และได้โชว์ในงาน 2017 Busan International Rock Festival
ต่อด้วยอีกวงดนตรีที่ขึ้นชื่อเรื่องการเล่นสดและเคยเขย่าใจเราในงานเปิดอัลบั้ม PRAY อย่าง The Yers ที่งานนี้ได้ขนเพลงจากอัลบั้มใหม่อย่าง “ปริศนา”, “แสดงความเสียใจ”, “ถูกเวลา”, “ตำรับยา” และ “พร้อมยอมตาย” มาเล่นบนเวทีจนบรรยากาศทางทุกคนจมกับความดาร์กที่ตัดสลับไปกับมุกตลกร้ายในแบบฉบับของ อู๋-ยศทร บุญญธนาภิวัฒน์ ที่แฝงความถ่อมตัว และนอกจากเพลงอัลบั้มใหม่แล้ว เราก็ได้ฟังเพลงดังของวงจากหลายยุคทั้ง “ระหว่างขับรถ”, “คืนที่ปวดร้าว” ที่พวกเขาทำกับต้นสังกัดเก่า และเพลงจากอัลบั้ม 2 อย่าง “เสพติดความเจ็บปวด” และ “เพียงหนึ่งครั้ง” และเพลงจากอัลบั้มอะคูสติก CRY อย่าง “เกลียด” แต่ที่เราเซอร์ไพรส์และปลื้มสุดคือทางวงได้นำเพลงพิเศษอย่าง “ห้องที่ไม่เคยสว่าง” และเพลงจากอัลบั้ม Play 2 project อย่าง “ดื่ม” ที่พวกเขานำเพลงวง Skalaxy มาทำใหม่ได้เท่ และแฝงไลน์กีตาร์สุดจี๊ดไว้มาโชว์ โดยการแสดงนี้ถือเป็นการแสดงสุดท้ายก่อนที่ทางวงทั้งอู๋รวมถึง ต่อ-พนิต มนทการติวงค์ (กีตาร์), โบ๊ท-นิธิศ วารายานนท์ (เบส) และ บูม-ถิรรัฐ ภู่ม่วง (กลอง) จะพักเป็นระยะเวลา 2 เดือน ซึ่งเราหวังว่าพวกเขาจะมีอะไรมาเซอร์ไพรส์แฟนๆ อีกหลังจากนี้
แม้ว่าวง Klear จะเกือบไม่ได้ขึ้นเวที Marathon Concert Festival เนื่องจากอาการลำไส้อักเสบและไข้สูงของ แพท-รัณนภันต์ ยั่งยืนพูนชัย แต่เธอก็ได้ออกจากโรงพยาบาลบ่ายโมงวันที่ 13 สิงหาคม และมายืนอยู่บนเวทีอิมแพ็คอารีน่าในเวลา 17.00 น. ท่ามกลางคนดูที่เชียร์เธอจนเสียน้ำตา และแพทกับเพื่อนร่วมวงก็ได้มากับ 5 เพลงอย่าง “รักไม่ต้องการเวลา”, “อดทนกับความเหงา”, “คำยินดี”, “สิ่งของ” และ “กระโดดกอด” ที่แม้ว่าแพทกับเพื่อนร่วมวงอย่าง ณัฐ-ณัฐวัฒน์ แสงวิจิตร (กีตาร์), คี-คียาภัทร โพธิ์วงศ์ไพรเลิศ (เบส) และ นัฐ นิลวิเชียร (กลอง) จะเจอปัญหาสุขภาพคนละแบบ แต่พวกเขาก็แสดงและแทบไม่เผยความปกติใดๆ ออกมาเลย และยังคงมอบพลังบวก พูดคุย ให้กำลังใจทุกคนตามความตั้งใจที่แพทอยากมอบความสุขให้กับคนที่อาจจะมาดูวง Klear ครั้งแรก หรือครั้งเดียวซึ่งแม้การแสดงของวง Klear ช่วงท้าย เราจะแอบสัมผัสได้ถึงเสียงที่หึ่งและสะท้อนออกมาจากลำโพงเล็กน้อยที่เราไม่แน่ใจว่ามาจากเครื่องดนตรีไหน แต่มันก็ไม่ได้รบกวนหรือลดทอนความตั้งใจที่สมาชิกตั้งใจสื่อออกมา
และแล้วก็ถึงพาร์ทของเหล่าวงร็อครุ่นใหม่เมื่อ Big Ass ทั้ง 5 คนอย่าง เจ๋ง-เดชา โคนาโล (นักร้องนำ), หมู-อภิชาติ พรมรักษา (กีตาร์) และ โอ๊ค-พงศ์พันธ์ พลสิทธิ์ (เบส), อ๊อฟ-พูนศักดิ์ จตุระบุล (กีตาร์) และ กบ-ขจรเดช พรมรักษา (กลอง) ก็มากับเพลงใหม่อย่าง “ลายนิ้วมือ” ก่อนที่จะมากับเพลงที่หลายคนคุ้นเคยแบบรัวๆ ทั้ง “แดนเนรมิต”, “คนไม่เอาถ่าน”, “ยักษ์ใหญ่ไล่ยักษ์เล็ก”, “ปลุกใจเสือป่า” แต่ในขณะเดียวกันก็มีเพลงใหม่อย่าง “ถ้ารู้อย่างนี้”, “มีความสุขมากๆ นะ” ที่เศร้าและสอดแทรกระหว่างเพลง “ไม่เดียงสา” ซึ่งการแสดงของวงนั้นเจ๋งก็เป็นนักร้องนำที่พลังเสียงโหดและเป็นไฮป์แมนสายโหดที่ปลุกอารมณ์รัวๆ ส่วนพี่ๆ อีก 4 คนก็เรียกได้ว่า ลูกเล่นเยอะกันเหลือเกิน ระหว่างเล่นดนตรีจนเราแอบได้ฟังหลายๆ อิมโพรไวซ์ที่ต่างจากในแผ่น และเมื่อสิ่งเหล่านี้มาเจอกับกราฟฟิคและลูกเล่นควันที่ทางทีมงานจัดมา ก็ทำให้ไม่มีใครนั่งติดเก้าอี้ยันเพลงสุดท้ายอย่าง “อย่างน้อย”, “ข้าน้อยสมควรตาย” และ “เล่นของสูง” เรียกได้ว่าแม้ปัจจุบันนักดนตรีวง Big Ass จะงานเบื้องหลังเยอะทุกคน แต่งานเบื้องหน้าพวกเขาไม่มีคำว่าดร็อปจริงๆ
ทางฝั่งของวงเพื่อนซี้ของ Big Ass อย่าง Labanoon นั้น งานนี้ก็เปิดมาด้วยลุคแปลกตา กับเพลงระดับตำนาน “เชือกวิเศษ”, “191” และตามด้วย “ศึกษานารี” และหลังจากนั้นก็มีเพลงใหม่กับเก่าสลับกันไปทั้ง “ท้าพายุ”, “รักคนผิด”, “แพ้ทาง” ที่ทำให้เราเซอร์ไพรส์ว่าแม้ที่ผ่านมาเราอาจจะไม่ได้เห็นวงเล่นสดบ่อยเพราะสถานการณ์ต่างๆ แต่ทุกคนร้องเพลงใหม่ของพวกเขาได้แทบทุกคน ก่อนที่วงจะพาทุกคนและเราสนุกกับกลิ่นอายวัฒนธรรมไทยลูกทุ่งกับเพลง “พลังงานจน” ที่ทางวงมากับเสียงโห่ที่ชวนแฟนๆ ขานรับและพยายามชวนทุกคนรำวงกลางอิมแพ็ค โดยคนที่ทำให้เราแปลกใจต่อโห่ร้องที่สุดคือสมเมย์ที่มากับเนื้อเสียงเพราะแบบนักร้องจริงจังเลย และหลังจากนั้นวงก็ปิดท้ายโชว์กับเพลง “ยาม” และ “คนตัวดำ” ซึ่งในการแสดงครั้งนี้ทาง เมธี อรุณ (ร้องนำ), อนันต์ สะมัน (เบส) และ สมเมย์-ณัฐนนท์ ศรีศรานนท์ (กลอง) นอกจากจะมีลูกเล่นอย่างการแฝงความเป็นไทยแล้ว พวกเขาก็ยังทำให้เห็นว่าวงยังคงคอนเซ็ปต์วงดนตรี 3 ชิ้นสุดแน่นแบบไม่มีเปลี่ยน
และแล้วก็มาถึงคิวของศิลปินที่เราตั้งคำถามเรื่องเซ็ทลิสต์มากที่สุดคนหนึ่งอย่าง หนุ่ม กะลา เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่าตอนนี้หนุ่มมีอัลบั้มวงแนวร็อคหลายชุด และผลงานเดี่ยวที่พาเขาเข้าใกล้ความเป็นป็อปสตาร์มากขึ้น โดยการแสดงของหนุ่มก็เริ่มด้วยเพลงสายซอฟท์ร็อคแบบ “เป็นแฟนกันตั้งแต่เมื่อไหร่”, “ถ้าเธอหลายใจ”, “เธอเป็นแฟนฉันแล้ว”, “บอกสักคำ”, “My Name is Kala” ก่อนที่จะมาถึงคิวเมดเล่ย์เพลงแนวป็อปอย่าง “จม”, “ปล่อย”, “ปล่อยมือฉัน”, “แล้วแต่ใจเธอ” ภายใต้ฉากเลียนแบบเมืองบนจอ และเซอร์ไพรส์ทุกคนด้วยเพลง “อยากให้รู้ว่าเหงา” จากโปรเจกต์ Play 2 Project ก่อนจะเรียกเสียงกรี๊ดด้วยเพลง “ขอเป็นตัวเลือก” และหลังจากนั้นกลับมาโหมดร็อคแบบต่อเนื่องอย่างเพลง “แม่”, “วัดใจ” ของ Silly Fools และ “ใช่ฉันหรือเปล่า” แต่ระหว่างนั้นก็มีการสอดแทรกเพลง “ลม” คั่นกลางความร็อคที่ทำหลายคนรวมถึงเราดีใจสุดๆ ซึ่งตลอด 1 ชั่วโมงแล้ว นอกจากการเอนเตอร์เทนและเสียงที่เป๊ะเหมือนเปิดแผ่นของหนุ่มที่เขาแสดงให้เราเห็นแล้ว วง NKL ก็เป็นอีกหนึ่งทีมที่เราต้องชื่นชมจริงๆ และพวกเขาก็ได้โอกาสโชว์โซโล่ระหว่างการแสดงของหนุ่มด้วย
สำหรับโชว์รองสุดท้ายของคืนวันแรกก็คือวง Bodyslam ที่ทั้งร็อคสตาร์อย่าง ตูน-อาทิวราห์ฺ คงมาลัย, ยอด-ธนชัย ตันตระกูล (กีตาร์), ปิ๊ด-ธนดล ช้างเสวก (เบส), โอม เปล่งขำ (คีย์บอร์ด) และ ชัช-สุชัฒติ จั่นอี๊ด (กลอง) ก็มากับการแสดงที่มีการผสานเพลงต่างยุค เริ่มจากเพลง “149.6”, “คราม”, “เรือเล็กควรออกจากฝั่ง”, “ความเชื่อ” ก่อนตามด้วยเพลงอย่าง “เปราะบาง” “ชีวิตยังคงสวยงาม” โดยนอกจากเมมเบอร์ที่เต็มที่กับการเล่นดนตรีที่แน่นและเต็มไปด้วยอิมโพรไวซ์แล้ว ตูนก็ได้ปล่อยพลังเสียงแล้วปรากฎตัวในหลายๆ มุมของเวที พร้อมทั้งลงไปร้องท่ามกลางคนดูอีกท่ามกลางเสียงกรี๊ดจนเราแอบคิดสงสารทีมกล้องเบาๆ และตูนก็ยังคงส่งพลังบวกผ่านการเล่าเรื่องและพูดคุยให้กับทุกคน ก่อนที่จะมาจัดหนักในเพลง “อกหัก”, “แสงสุดท้าย” และ “ยาพิษ” ที่เป็นการส่งท้ายโชว์แบบเดือดและเอเนอร์จี้ไม่มีตกเลยของวง จนเราแอบแปลกใจว่าพวกเขาไปซุ่มซ้อมกันมาเมื่อไหร่ เพราะที่ผ่านมา Bodyslam ห่างหายจากการแสดงสดต่อหน้าแฟนๆ ไปนาน และเราหวังว่าเวที Marathon Fest จะเป็นจุดเริ่มต้นก้าวต่อไปของพวกเขาที่จะมีอะไรใหม่ๆ ออกมาให้ติดตามเรื่อยๆ
ในช่วงสุดท้ายของงานก็ถึงคิววงที่ไม่เคยธรรมดาเลยเวลาเล่นสดแบบ Paradox ที่มากับเมมเบอร์อย่าง ต้า-อิทธิพงศ์ กฤดากร ณ อยุธยา (นักร้องนำ), บิ๊ก-ขจัดภัย กาญจนาภา (กีตาร์) สอง-จักรพงศ์ สิริริน (เบส), โจอี้-เสรฐพร กฤดากร ณ อยุธยา (กลอง) ที่บอกเลยว่านอกจากจะอัดเพลงมาถึง 18 เพลง และมีเพลงฮิตแบบ “ทาส”, “ดาว”, “ฤดูร้อน”, “รด. แดนซ์” “ปลายสายรุ้ง”, “ทะเลสีดำ”, “ขอ” แล้ว พวกเขาก็เอาเพลงอย่าง “L.O.V.E”, “เขียนไว้ข้างเตียง” และอีกเพียบมาโชว์ และยังฉีกแนวด้วยการมีสตอรี่ไลน์ในการแสดงที่สื่อถึงไก่ตัวหนึ่งที่เล่าบนจอยักษ์ระหว่างเพลงอีกด้วย โดยทางวากเกอร์และสมาชิกในวงได้ร่วมสร้างสีสันระหว่างโชว์ ภายใต้คอสตูมแปลกตา ก่อนที่จะถึงเพลง “มีแต่เธอ” ที่ปมเรื่องราวของไก่จะถูกคลี่คลายและสองกับสมาชิกวงออกมาแต่งตัวชุดแฟนซีและปาร์ตี้บนเวที โดยงานนี้ใครที่รอการโยนของจากวงบอกเลยว่า “มาครบ” ตั้งแต่ลูกบอลที่ถูกยิง ตุ๊กตาหมี และ ผักบุ้ง ที่ถูกโยนขึ้นไปชั้นสองของเวทีปีกขวา คืออะไรที่เป็นภาพจำบนเวทีของ Paradox เราได้เห็นหมดเลย และถ้าดูดีๆ เราจะเห็น นิค-วิเชียร ฤกษ์ไพศาล อดีตผู้บริหารและผู้ก่อตั้ง genie records ขึ้นมาร่วมแจมโยนผักบุ้งด้วย ส่วนตัวเราว่าการแสดงของวงคือความลงตัวของดนตรีกับวายป่วงที่ทำให้เราชื่นชมความตั้งใจพวกเขา แต่ก็มีสิ่งที่แอบติดใจคือการวางตุ๊กตาเอเลี่ยนบนเวที เพราะคนที่นั่งด้านโซน 3 หรือขวามือจากเวที จะเห็นว่าตุ๊กตาได้บังตัวโจอี้มือกลอง จนเราแทบไม่เห็นเขาเลย ถ้าไม่มีการแพนกล้องหา
และถ้าใครคิดว่า 8 โชว์ของศิลปินนี้เด็ดแล้ว เรายังมีอีกเรื่องราวของ 8 โชว์ในวันที่ 2 ของงาน MARATHON CONCERT FEST ที่ไม่อยากให้พลาดเรื่องราวเด็ดๆ เลย แต่จะมีอะไรบ้างนั้น อ่านต่อได้เลย!
อัลบั้มภาพ 42 ภาพ