"พี สะเดิด" ป่วยมะเร็งเปลี่ยนชีวิต เปลี่ยนที่ปลูกบ้านเป็นแปลงผักปลอดสาร
พี สะเดิด นักร้องเจ้าของฉายา "ตำนานร็อคอีสาน" เปิดบ้านสวนในเมืองกรุง ย่านสัมมากร รามคำแหง ให้สัมภาษณ์ Sanook.com เผยการดำเนินชีวิตหลังป่วยเป็นมะเร็งเต้านม รักษาตัวตามความเชื่อส่วนบุคคล จนหายเป็นปลิดทิ้ง
ในการพูดคุยครั้งนี้ พี เริ่มด้วยการเท้าความ เส้นทางศิลปินมาจากความชอบ ชอบร้องเพลง เล่นดนตรีในสมัยเรียน วันหนึ่งจับพลัดจับผลูได้มาทำอัลบั้มเพลง แฟนเพลงให้การต้อนรับ ชื่อเสียงโด่งดังจากเพลง "สาวซำน้อย", "มันมากับความเมา", "สาวกระโปรงเหี่ยน", "จี่หอย", "รักคนโทรมาจังเลย", "ความต้องการทางแพทย์สูง", "ฉันกำลังเป็นตัวแทนของใครหรือเปล่า" เป็นต้น
"ถ้าใช้คำยุคนี้ ก็คือเหมือนเด็กอินดี้ ในยุคนั้นเนาะ"
พี สะท้อนภาพนักร้องของเขา ก่อนเล่าต่อว่า สมัยฮอตตลาดแตก เคยรับงาน 7 งานภายในหนึ่งวัน ติดต่อกันอยู่ช่วงหนึ่ง สนุกกับการทัวร์คอนเสิร์ตแบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย สนุกกับการหาเงินแบบไม่คิดชีวิต เรียกว่า "ทำงานแบบลืมตาย"
"ช่วงดังมากๆ อายุประมาณ 25 26 ปี เป็นช่วงที่ไฟแรง เราเป็นคนต่างจังหวัดจากขอนแก่นมาโตลพบุรี ต้นทุนเรามันต่ำ เมื่อวันหนึ่งได้โอกาสทำงานหาเงิน รายได้เยอะ เราก็ทุ่มเทกับมันเต็มที่ เพื่อดูแลคนข้างหลัง แล้วมันก็ตอบโจทย์ตรงกับความฝันการเป็นศิลปิน นักร้องนักดนตรีของเรา มันยิ่งทำให้มีพลัง"
พี เล่านาทีช็อคตรวจพบมะเร็งว่า ในวันที่คิวทอง มีทัวร์คอนเสิร์ตต่อเนื่องไม่ห่วงสุขภาพ เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เมื่อเขาไปตรวจเลือด ตรวจร่างกายประจำปี พบมะเร็งที่เต้านม
"เป็นมะเร็งที่เต้านม แล้วนมมันก็โตขึ้นมาเท่าลูกปิงปอง กลัวมากตอนนั้น มันรู้สึกช็อก รู้สึกหดหู่กับชีวิต เพราะความเข้าใจเราคือ เป็นมะเร็งแล้วต้องตาย"
เขาเลือกรักษาตัวตามความเชื่อส่วนบุคคล จนอาการดีขึ้นตามลำดับ ก่อนหายเป็นปลิดทิ้ง จนถึงปัจจุบัน เป็นเวลากว่า 10 ปี แล้ว
"หมอให้ยามา แล้วก็นัดที่จะผ่าตัด ทำคีโม แต่ผมโทรไปปรึกษาพระอาจารย์ที่เคารพนับถือ ท่านให้นึกภาพว่า สมมติใครมาทำเราคนหนึ่ง ไปสู้กับเขายังไงมันก็ไม่จบผมก็เลือกเน้นมาทางทำใจให้สบาย โดยการภาวนา แผ่เมตตา ทานอาหารปลอดสารพิษ ท่านก็ให้ยาสมุนไพรมากินควบคู่ไปด้วย เป็นความเชื่อส่วนบุคคลอย่างนั้นก็ว่าได้ ผ่านไป 6 เดือน ไปตรวจค่าเลือดเริ่มดีขึ้น เชื้อน้อยลง พอผ่านไปหนึ่งปีก็หายเป็นปลิดทิ้ง เป็นสิบกว่าปีแล้ว"
พี ในวัย 48 ปี บอกต่อว่า หลังจากผ่านช่วงวิกฤตมาได้ เขาเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิต และการทำงานใหม่ จนแทบไม่หลงเหลือเค้าโครงเดิม
หันมาดูแลเอาใจใส่สุขภาพมากขึ้น เลิกทำงานแบบลืมตาย เน้นทำงานหารายได้พอเลี้ยงชีพ เคยอยากปลูกบ้านหลังโต ไว้ตอนรับเพื่อนฝูงญาติมิตร ในพื้นที่ว่างรอบรั้วเดียวกันกับบ้านหลังเล็ก เปลี่ยนมาเป็นทำแปลงพืชผักสวนครัวปลอดสารพิษ ปลูกเองกินเองเพื่อความมั่นใจ และสบายใจว่า ปลอดสารพิษร้อยเปอร์เซ็นต์
"ชีวิตที่เคยอยากทัวร์คอนเสิร์ต มีงานเยอะๆ ณ เวลานั้น ที่ไม่ได้ดูแลสุขภาพตัวเองเนี่ย ผมก็เริ่มหันมาดูแลตัวเองมากขึ้น เน้นทำงานให้มีรายได้เลี้ยงชีพ แล้วก็ดูแลผู้เฒ่าผู้แก่ไป"
"ก่อนหน้านี้ อยากมีบ้านหลังโต ไว้คอยต้อนรับเพื่อนฝูง พี่น้องญาติมิตร อย่างที่ตรงนี้ (บ้านสวน) ซึ่งอยู่ในกรุงเเทพฯ มีบ้านรูปลักษณ์สามเหลี่ยมเล็กๆ ผมตั้งใจที่จะสร้างบ้านหลังหนึ่งไว้ตรงที่ดินว่าง จะสร้างให้มันใหญ่โตมากขึ้น สัก 2 3 4 ชั้น อะไรก็ว่ากันไป"
"แต่ตอนนี้ผมเปลี่ยนความคิดว่าผมไม่สร้าง บ้านเราไม่จำเป็นต้องอวดใคร เราไม่ต้องใหญ่โต สุดท้ายเราก็นอนอยู่ในห้องเล็กๆ แล้วก็แอร์เย็นบ้างไม่เย็นบ้าง เราก็นอนได้เราก็อยู่ได้ ผมก็ให้เนี่ยเป็นหญ้าแบบนี้ แล้วก็ปลูกผักกิน"
"ก็จะมีพวกใบยี่หร่า ตะไคร้ แล้วก็มะนาว มะเขือ แล้วก็จะมีพวกกะเพราแดง กะเพราขาว มีกล้วย แล้วก็มีมะละกอ ใบชะพลู นี่ก็ขึ้นเองเต็มเลยโดยที่ผมไม่ต้องปลูก ผมมั่นใจ และสบายใจว่ามันไม่สารพิษ"
ในการพูดคุยครั้งนี้ พี ทิ้งท้ายด้วยการแสดงความคิดว่า วันนี้ระหว่างเงินกับสุขภาพ เขามองว่ามีความสำคัญทั้งสองอย่าง และคนเราไม่จำเป็นต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง มีสิทธิเลือกได้ทั้งสองอย่าง
อัลบั้มภาพ 17 ภาพ