Paper Planes กับบทสนทนาถึงปีที่กราฟวงพุ่งสูงสุด จากความชัดเจนและไม่คิดทำเพลงฮิต
ใครที่ติดตามค่าย genie records ช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา เราจะได้เห็นชื่อของวงร็อค Paper Planes ที่มาจากโปรเจกต์ Showroom และมีผลงานออกมาต่อเนื่อง ซึ่งเราได้เห็นพวกเขาทดลองซาวด์ใหม่ๆ ที่ผสานความเป็นร็อคจนมี EP ชุด HERS ทำให้แม้ว่าช่วงแรกจะยังไม่มีเพลงฮิตที่แมสทั่วบ้านทั่วเมือง แต่คนฟังเพลงก็เคารพพวกเขาในฐานะศิลปินรุ่นใหม่ที่มากความสามารถ
และหลังจากที่เริ่มทิศทางใหม่กับการทำเพลงผสมผสานระหว่างอีโมแทรปที่มีการผสมผสานระหว่างเรื่องราวทางจิตใจและซาวด์สังเคราะห์กับบีทที่ติดหูกับดนตรีป็อปพังค์ที่มากับจังหวะสนุกชวนปลดปล่อยและกระโดดตอนฟัง โดยเริ่มจากเพลง “กำหมัด” ชีวิตพวกเขาก็เปลี่ยนสุดๆ เมื่อปล่อยเพลง “เสแสร้ง” ที่ยอดวิวถล่มทลายเข้าใกล้หลัก 90 ล้านวิว ก่อนจะมีเพลง “ทรงอย่างแบด” ที่รับไม้ในแง่ความนิยมต่อได้ทันที
แม้ว่าปีนี้ ฮาย-ธันวา เกตุสุวรรณ (ร้องนำ) และ เซน-นครินทร์ ขุนภักดี (เบส) ต้องแยกทางกับมือกีตาร์ หยก-คีตเมศร์ เสรีดุสิตพัชร์ ที่ลาออกด้วยเหตุผลส่วนตัว แต่ช่วงนี้พวกเขาก็ต้องเดินหน้าต่อในการทำอัลบั้มและการทัวร์ที่คิวแน่นสุดๆ จนแทบไม่มีเวลาพัก ทำให้ทาง Sanook ตัดสินใจขอคิวพูดคุยถึงชีวิตปีนี้ของวงที่กราฟพุ่งชันและเจอกับอะไรมากมาย
จุดเริ่มต้นการทดลองที่มาจากความชอบ ไม่นอกเหนือความป็อป
โดยเริ่มแรกทางเราได้สอบถามเรื่องจุดเปลี่ยนของการผสมผสานระหว่างเพลงอีโมแทรป และ ป็อปพังค์ที่ทำให้เราแปลกใจกับคำตอบของฮายทันที เพราะมันไม่ได้มาจากความตั้งใจที่อยากตีตลาดวงการ แต่เป็นการชัดเจนในความชอบตัวเอง
“เราเคยคุยกันว่าด้วยทิศทางเพลงในชาร์ตกระแสปัจจุบันมันจะมีแต่เพลงป็อป ก็มาวิเคราะห์ว่าเพลงแบบไหนจะอยู่บนชาร์ต ซึ่ง Paper Planes มันไม่ได้อยู่บนนั้น ซึ่งการแข่งเพลงป็อปก็อาจไม่ใช่ทาง อาจจะเหมือนผิด League คือเรามองว่า Paper Planes จะทำเพลงอย่างไรก็ได้ให้มีกลิ่น มีสีของตัวเอง มันจะทำให้มันมีตัวตนมากกว่าการเข้าไปลูปเพลงป็อป เราก็เลยมาคุยว่าเราชอบเพลงอะไรกันบ้าง เราฟังแบบไหนกัน พอมาฟังก็รู้ว่าเราเหมาะกับอีโมแทรป และป็อปพังค์แทรป เพราะมันเป็นเคมีที่คุ้นเคยเพราะเราโตมากับร็อคอยู่แล้ว แต่สิ่งที่มันใหม่กว่านั้นก็คือการมาผสมผสานความชอบในปัจจุบันที่มีความเป็นแทรป ก็เลยง่ายในความเป็นป็อปพังค์ และอีโมมาใส่”
สำหรับแพลนการปล่อยเพลง ฮายก็เล่าว่า "เพลงแรกที่ปล่อยไป 'กำหมัด' จะเป็นอีโมแทร็ป มันจะชัดมาก ช่วงที่ปล่อยก็ได้ตัวตนใหม่ ไดเร็คชั่นใหม่ ก็เลยได้ฤกษ์ปล่อยเพลงที่ 2 'เสแสร้ง' ก็แปลกใจและสนุกมาก ดีใจ คือเวลาเราคุยกันเราไม่ได้ลงไปเล่นกับกระแสแต่เราฉีกออกมา มันเป็นได้ยากในแง่คนทำงานที่เพลงนี้จะขึ้นมาอยู่ในกระแสหลัก ที่เป็นแพลตฟอร์มทุกวันนี้ ส่วนเซนก็เสริมว่า "เราแค่อยากให้เพลงเราเป็นตัวเลือกของคนฟัง แต่พอมันขึ้นมาในชาร์ตที่มันแมสมากขึ้น มันก็เข้าถึงคนฟังมากขึ้น"
การต่อยอดความโด่งดังที่พีคสุดในชีวิต
ที่ผ่านมาการที่วงจะมีเพลงดังแบบสุดๆ มันก็สร้างความกดดันให้หลายศิลปิน ซึ่งฮายก็ยอมรับว่ามันเกิดขึ้นกับวงด้วยโดยเล่าว่า “มันมีอยู่แล้ว ตอนแรกคือเราไม่คิด ไม่กดดันเพราะเรามาจากความที่ไม่กำหนดว่าจะทำเพลงฮิต คือเป็นฟีลอยากทำเพลงให้ชัดเจน ยกเว้นถ้าทำให้กับคนอื่น เราจะคิด Make a Hit คือมันจะมีสูตรบางๆ ในการทำเพลงฮิต แต่เราจะไม่ใช้ตัวเอง คือเราจะไม่ทำ 'เสแสร้ง' เพลงที่ 2 เราจะไม่ทำเพลงที่ 2 ให้เหมือน 'เสแสร้ง' แต่เราจะหาเพลงที่ตอนทำให้ความรู้สึกเหมือนเพลง 'เสแสร้ง' อย่างเช่นความตื่นเต้น ความรู้สึกใช่และเท่แบบตอนทำเพลงนั้น พอมาเป็นเพลง 'ทรงอย่างแบด' ตอนทำมันมีฟีลแบบนั้น เราก็ดึงมาปล่อยก่อน แม้เราจะมีลำดับเพลงอยู่ก่อนหน้านี้”
เพลงฮิตหมายเลข 2 ที่มาจากสเตตัส Facebook
ถึงแม้ว่าจะเจอความกดดัน แต่ในที่สุดพวกเขาก็มากับ “ทรงอย่างแบด” อีกผลงานที่มียอดวิวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและกลายเป็นคอนเทนต์ในหลายๆ โซเชียลมีเดีย ซึ่งฮายเผยว่าเพลงนี้มาจากการเห็นสเตตัสข้อความของเพื่อน จนตัวเขาขอทักนำข้อความมาใช้
“ทรงอย่างแบด” เป็นคำที่มีอยู่แล้ว เราเห็นเพื่อนอัปข้อความตอนไปเมาว่า ทรงอย่างแบด แซดโคตรบ่อย เรารู้สึกคำนี้มันทรงพลังเลยทักไปขอใช้คำนี้หน่อย ก็นำมาขยับเป็น “ทรงอย่างแบด แซดอย่างบ่อย” แล้วเราทำออกมาเป็นเพลงนี้ที่ได้ความรู้สึกเหมือน “เสแสร้ง” ก็มองว่าจบหน้าที่แล้ว และเราส่งไปให้คนที่ฟังอื่นก็ชอบ มันเหลือแค่ส่งพลังออกไปให้กับคนฟัง ก็เหนือความคาดหมายครับ
การทำเพลงแบบฉบับ Paper Planes ใน Song Camp
และหลังจากที่มี 2 เพลงฮิต ทำให้ทางเราสนใจว่าความคืบหน้าของอัลบั้มถึงไหนแล้ว จนทำให้เราได้รู้เรื่องการทำงานของวงแบบลึกๆ อย่างเช่นการสร้างผลงานผ่านการเข้า Song Camp ที่เป็นการแต่งเพลงในบรรยากาศใหม่ๆ จากปากของฮาย
"ตอนนี้ตัวอัลบั้มก็มาสเตอร์แล้ว ก็จะมีประมาณ 10 เพลง แต่ถ้าระหว่างทางเรามีดูว่าเพลงไหนใส่เข้าไปได้อีก เพราะ “ทรงอย่างแบด” ก็เกิดมาจาก Song Camp เลยคิดว่าจะไปแคมป์รอบสองเพื่อปิดอัลบั้ม Song Camp มันคือการออกไปเอาท์ติ้งไปพักแต่มีสเตชั่นการทำงาน ทำเพลงด้วย เหมือนหนีจากบรรยากาศเก่าๆ แล้วรวมคนที่ทำงานไว้ด้วยกัน มีการคอลแลปปรึกษากันนู่นนั่นนี่มีความสามารถ แบ่งหน้าที่จนเราไม่โหลดเรื่องไม่จำเป็น เช่นการหาอาหาร การจัดคิวเดินทาง เราจะโฟกัสการทำเพลง เวลาไปก็จะมีน้องที่ให้คำแนะนำเรื่องภาษา มีทีมซาวด์เอนจิเนียร์ที่ไปเติมบรรยากาศ ผมว่ามันเป็นการรวมคนที่จำเป็นจริงๆ ในการทำเพลงในบรรยากาศต่างจากห้องอัด"
และเซนก็เสริมเรื่อง Song Camp อีกสั้นๆ ในแง่สิ่งที่ได้รับว่า “มันไม่เหมือนการที่บ้าน มันจะสดและพุ่ง อย่างเพลง “ทรงอย่างแบด” ก็ได้มาวันที่ 2 จาก Song Camp ซึ่งเป็นวันแรกที่เริ่มทำกันจริงจัง คือบรรยากาศมันพาให้ออกมาแบบนี้”
สีสันใหม่ของวงจาก แป๊บ Sweet Mullet
อีกหนึ่งประเด็นที่หลายคนให้ความสนใจก็คือการลาออกของหยก และการที่ได้ แป๊บ-ประณัฐ ธรรมโกสิทธิ์ มือกีตาร์ Sweet Mullet มาร่วมทัวร์ ซึ่งฮายได้เล่าถึงการทำงานที่เปลี่ยนไปพร้อมชื่นชมรุ่นพี่อย่างแป๊บที่มาเติมสีสันให้วง
“การทำงานไม่ต่างจากเดิม เพราะ Song Camp ก็มีผมกับเซน และมีน้องๆ ที่ไปเล่นตามงานต่างๆ และน้องที่จัดการเรื่องต่างๆ หลักๆ ก็จะเป็นเรา 2 คน ที่ต่างก็จะเป็นผมเริ่มเพลงแล้วเซนตัดกรอบ แล้วหยกอัดกีตาร์ ก็เปลี่ยนมาเป็นผมอัดเองเลย ส่วนพี่แป๊ปโตกว่าเรามาก แต่เคมีเข้ากับเรามาก คือเป็นต้นสาย การที่มารวมกับเราไม่ยาก มันก็เหมือนกับเขาในเวอร์ชั่นปัจจุบัน มันมารวมกันง่ายมากเพราะเราเป็นพี่น้องกันอยู่แล้ว การทัวร์มันต้องอยู่ด้วยกัน นั่งรถไปด้วยกัน ใช้ชีวิตด้วยกัน แทบจะ 100% ก็ไม่มีปัญหาและแสดงของเขาทำให้วงดูเต็มมากขึ้น ก็ดีมากๆ”
และด้วยความที่แป๊บเป็นศิลปินที่ขึ้นชื่อเรื่องการปาร์ตี้ที่สร้างตำนานต่อเนื่อง ทำให้เราถามว่าทาง Paper Planes ได้รับอิทธิพลด้านนี้ไหม โดยฮายตอบแบบอารมณ์ดีว่า “เรื่องปาร์ตี้เขาไม่ชวนเพราะผมไม่กินอยู่แล้ว (หัวเราะ) เวลาพวกเราเล่นเกม เขาจะมานั่งดื่ม แล้วจะมีแบบบอกว่าเขาไม่เล่นเกมบอลเล่นเกมนี้สิ หลังจากทัวร์พวกเราจะกินข้าวและเล่นเกมด้วยกันครับ”
วุฒิภาวะที่เติบโตขึ้นตามวัย
อีกหนึ่งสิ่งที่น่าจับตาคือการที่วง Paper Planes ได้พัฒนาเรื่องการแสดงสด จากวงที่เคยถูกวิจารณ์ในเชิงลบจนเริ่มดีขึ้น และมาถึงปัจจุบันที่พวกเขาสามารถทัวร์ต่อเนื่องได้ โดยฮายได้เผยว่าเวลาคือจุดเปลี่ยนสำคัญของวง และตามด้วยความดังของเพลง "เสแสร้ง"
“ต้องบอกก่อนว่าช่วงเริ่ม Paper Planes ผมเป็นมือกีตาร์และสลับมาร้องเลย มันก็มาด้วยความสนุก ไม่ได้คาดหวัง และเด็กคนนึงที่ไม่ได้คาดหวัง ไปอยู่ในลู่การแข่งขันและวงการดนตรี คอมเมนต์มันก็ต้องมา เกิดการเปรียบเทียบวิจารณ์ คือการที่เรามีเรื่องไม่เก่งมาก หรือเก่งบางเรื่อง หรืออ่อนกับสิ่งที่ทำอยู่มันเป็นเรื่องปกติ จนเวลาผ่านไปมันมีเวลาให้เราเรียนรู้”
และทางเซนที่เป็นเหมือนผู้เติมกรูฟก็ขยายความคำตอบของฮายว่า “จุดเปลี่ยนจริงๆ มันอยู่กับตอน 'เสแสร้ง' มันดัง งานเริ่มเข้ามา เจอคนหลากหลาย และมีวิธีรับมือแตกต่างกัน ช่วงแรกมันก็ดีบ้างไม่ดีบ้าง ก็มีปรึกษากันเอง ปรึกษาในค่าย ค่ายก็แนะนำมาหลายอย่าง”
จากชื่อเสียงที่เพิ่มมากขึ้นและชีวิตส่วนของฮายที่เคยมีข่าวกับคนดังในวงการเพลง ทำให้เราสอบถามเรื่องวิธีการรับมือคอมเมนต์ไม่พึงประสงค์ และคำตอบของฮายก็ได้สะท้อนวุฒิภาวะของวงที่เปลี่ยนไปเมื่อมีวัยที่โตขึ้น ซึ่งส่งผลถึงวิธีการรับมือของเขาและเซน
“จริงๆ วิธีรับมือมันก็ตามวัยที่โตขึ้น ช่วงแรกก็แบบเก็บมาคิดบ้าง พอสักพักคิดไปก็เริ่มปล่อยวาง หลังๆ ก็มาสนุกกับมัน ก็เข้าไปปั่น คือเราเป็นคนปั่นๆ เกรียนๆ แต่หลังๆ ก็นิ่ง ช่วงนี้ปล่อยผ่านเป็นหลัก”
ส่วนเซนก็แชร์สิ่งที่เขาเคยไม่เข้าใจเกี่ยวกับแอนตี้ และสิ่งที่ทำให้เขาปล่อยวางว่า “เราก็ไม่ได้เข้าไปต่อล้อต่อเถียงอะไร ให้เป็นประเด็น มันจะมีช่วงที่แบบ 'ทำไมเขาไม่เข้าใจเราเลย?' พอเจอเยอะๆ ก็พบว่าเป็นการคุยกันคนละภาษา ทำยังไงก็ไม่เข้าใจกันได้ ก็ปล่อยผ่าน เป็นวิธีที่ดีที่สุด”
Paper Planes 2023
ความสำเร็จของปี 2022 ทำให้คำถามสุดท้ายของเราคือเรื่องแผนการในปี 2023 ที่ทั้งสองหนุ่มมุ่งมั่นว่ายังไงพวกเขาต้องมีอัลบั้มใหม่แน่นอน แม้ตารางงานจะทำให้พวกเขาแทบไม่มีเวลาพักเลยก็ตาม เพราะตอนนี้พวกเขามีคนติดต่องานแสดงเยอะมาก แต่ต้องแบ่งเวลาทำเพลงและงานเบื้องหลัง
“แน่นอนเป้าหมายก็ต้องเป็นอัลบั้มครับ และแนวทางใหม่ที่สื่อออกไปในอัลบั้มใหม่ ก็จะเป็นคลื่นต่อไปแล้วว่า ผลงานที่ออกไปมาจะสร้างสีสันอะไรให้กับวงการเพลงบ้าง ไม่แน่ปีหน้าวงร็อคอาจจะครึกครื้นมากขึ้น มีคอนเสิร์ตมากขึ้น เราอยากเป็นตัวเลือกและสีสันให้กับวงการเพลงให้มีความหลากหลายและคาแรคเตอร์ชัดเจน ตอนนี้ก็ทัวร์เยอะ ก็ลิมิตไว้ 10 งานเพราะจะไม่ไหว เพราะเราทำงานเบื้องหลังด้วย”
Photo by Ditsapong K.
อัลบั้มภาพ 24 ภาพ