รีวิวคอนเสิร์ต Joji ดำแต่ไม่ดิ่ง ดีแต่ไม่สุด
VERY LIVE Present JOJI: SMITHEREENS TOUR LIVE IN BANGKOK 2022 เป็นคอนเสิร์ตทะเลมือถือที่เต็มไปด้วยคำถามหลากหลายอย่างที่อยู่ในใจ ได้แต่หวังว่า Joji จะมีโอกาสได้มาแก้มือที่ไทยอีกครั้งในอนาคต
ตั้งแต่ประกาศว่าจะมีคอนเสิร์ตเดี่ยวของ Joji ในประเทศไทย เหล่าแฟนเพลงสากลก็ลุกฮือพร้อมกันแชร์ข่าวและแท็กเรียกเพื่อนให้มาเตรียมตัวซื้อบัตรกันตั้งแต่วันแรก และไม่ผิดคาดที่บัตรคอนเสิร์ตขายหมดเกลี้ยงในเวลาอันรวดเร็ว ทั้งๆ ที่เปิดขายบัตรแบบเต็มพื้นที่ที่ธันเดอร์โดม เมืองทองธานีจะสามารถรองรับได้ เรียกว่าเป็นปรากฏการณ์ของศิลปินต่างชาติโดยเฉพาะฝั่งสากลที่ไม่ได้มีให้เห็นบ่อยๆ ในบ้านเรานับตั้งแต่จัดคอนเสิร์ตหลังโควิด-19
สิ่งนี้คือหลักฐานยืนยันถึงความฮอตของผู้ชายที่ชื่อ Joji ได้เป็นอย่างดี
วันที่ 8 ธันวาคม 2022 แฟนเพลงทั้งชายและหญิงต่างหลั่งไหลเข้าไปยังที่นั่งและจับจองพื้นที่ในการยืนชมคอนเสิร์ตของ Joji ตั้งแต่ช่วงเย็น สินค้า Official Merchandise ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แฟนเพลงชาวไทยและต่างชาติกรูกันเข้ามาที่สถานจัดงานจนนึกสงสัยว่าด้วยจำนวนมากขนาดนี้ ในฮอลล์จะเบียดเสียดกันแน่นขนาดไหน ซึ่งก็เดาเอาไว้ไม่ผิด ในโซนยืนแม้ว่าจะมีที่ให้หายใจหายคออยู่บ้างไม่ถึงกับเบียดเสียดไหล่ชนไหล่ แต่ก็ต้องบอกว่าเป็นคอนเสิร์ตหนึ่งที่แน่นขนัดไปทุกโซนเพราะบัตรขายหมดแบบที่หมดจดจริงๆ
เสียงดนตรีหลากหลายแนวตั้งแต่ป็อป ร็อค แดนซ์ เพลงการ์ตูน ไปจนถึงว๊ากแบบฮาร์ดคอร์ถูกเปิดขึ้นในช่วงเวลาก่อนเริ่มคอนเสิร์ต อาจจะแสดงให้เห็นถึงอารมณ์ขัน และความหลากหลายทางบุคลิกของ Joji ที่ตัวตนของเขามีทั้งด้านของอดีต YouTuber สุดกวน ไปจนถึงศิลปินเจ้าของเพลงเศร้าๆ ดิ่งๆ ได้เป็นอย่างดี
ทั้งหมดนี้อาจทำให้ความคาดหวังของผู้ฟังเพิ่มสูงขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้
ประเดิมเวทีด้วยดีเจมาปลุกเร้าอารมณ์คนดูพร้อมที่จะร่วมสนุกไปด้วยกัน แต่ก็เต็มไปด้วยความสงสัยว่าจะให้รอไปถึงเมื่อไร สักพักที่จอด้านข้างเวทีทั้งสองข้างปรากฏข้อความขอความร่วมมือไม่ดันไม่ผลักกันในคอนเสิร์ตด้วยฟอนท์ที่อ่านค่อนข้างยากและขนาดอักษรภาษาอังกฤษค่อนข้างเล็กจนสงสารชาวต่างชาติ ในที่สุด Joji ก็ปรากฏตัวบนเวทีช้ากว่าเวลาปกติไป 20 นาที เริ่มด้วย “Sanctuary” เพลงดังที่ใครๆ ก็ร้องตามได้ และแน่นอนว่าด้วยความที่เป็นเพลงดังจึงมี “ทะเลมือถือ” เกิดขึ้น ผู้ชมโซนยืนโดยเฉพาะผู้หญิงต้องชูมือถือสุดแขนเพื่อขอดูหน้าของศิลปิน เพราะจอด้านข้างเวทีไม่แสดงภาพของศิลปินระหว่างโชว์ให้เห็น ในขณะที่ผู้ชมทุกเพศทุกวัยที่เหลือต่างพากันยกมือถือเก็บบรรยากาศกันอย่างพร้อมเพรียง จนทำให้หลายๆ คนไม่สามารถมองเห็นศิลปินบนเวทีได้อย่างชัดเจน แม้ว่าลักษณะของเวทีจะมีการยกพื้นสูงขึ้นอีกมากแล้วก็ตาม ขนาดเรามี่สูงเกือบ 170 ซม. ยังมองไม่เห็นขนาดนี้ แล้วผู้หญิง 150-160 ซม. จะขนาดไหน
การใช้มือถือบันทึกคลิปหรือภาพในคอนเสิร์ตเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้แม้ว่าจะมีการห้ามอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรในบางคอนเสิร์ต แต่การเก็บภาพบางส่วนลงโซเชียลมีเดียหรือเก็บเป็นภาพความทรงจำจากคอนเสิร์ตเอาไว้บ้าง สำหรับมองว่าไม่ใช่เรื่องผิด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือบางคนยกมือถือจนสุดแขนและบังคนที่อยู่ด้านหลังบ่อยๆ โดยเฉพาะช่วงที่ศิลปินแสดงดีจัดๆ และนั่งก็ไม่ใช่ความผิดของเขาทั้งหมด แต่นั่นเป็นเพราะคนดูไม่สามารถมองเห็นศิลปินได้เพราะไม่มีภาพศิลปินบนจอด้านข้างเวทีให้เห็นจริงๆ แต่ก็มีบางรายที่บันทึกคลิปเอาไว้ทุกเพลงแทบจะตลอดคอนเสิร์ตอยู่ด้วยเช่นกัน อันนี้แล้วแต่คุณผู้อ่านจะคิดว่าควรจะรู้สึกอย่างไร
แค่เพลงแรกก็หมดอารมณ์ไปเยอะและ เพลงต่อๆ มาหวังว่าจะช่วยฟื้น mood ขึ้นมาบ้าง “YEAH RIGHT”, “Will He”, “Pretty Boy” ช่วยให้บรรยากาศในงานดีขึ้นเรื่อยๆ อย่างช้าๆ และทำให้เราสามารถทนกับการยืนชะเง้อจนเมื่อยคอไปได้บ้าง “YUKON (INTERLUDE)”, “I Don't Wanna Waste My Time”, “Attention”, “Can't Get Over You”, “you suck charlie” ถูกเล่นต่อกันคั่นด้วยการบทสนทนาที่ Joji ชวนคุยกับดีเจ สลับกับการแนะนำและโชว์ออฟนักดนตรีแบ็คอัพที่มาเพียงมือคีย์บอร์ดและมือกีตาร์อย่างละคน หยอดมุกตลก (ตลกแห้งๆ) ด้วยการเปิดเพลงที่บอกว่าเป็นเพลงใหม่ แต่เป็นอินโทร “Shape of You” ของ Ed Sheeran รวมถึงการปรากฏตัวของแขกรับเชิญพิเศษที่ให้ความหวังกับเรามากว่าจะเป็นศิลปินไทยฮิปๆ สักคน แต่กลับเป็นใครก็ไม่รู้ที่สวมชุดเป็น Doctor Strange แล้วก็กลับเข้าหลังเวทีไปแบบช็อตฟีล
เผลอแปบๆ เวทีก็ดำมืด ในใจได้แต่สงสัยว่า encore แล้วเหรอ ดูนาฬิกาเพิ่งผ่านไปไม่ถึง 1 ชั่วโมง ยืนรออย่างงุนงงสักพัก Joji ขึ้นเวทีมาใหม่ด้วย “Like You Do”, “worldstar money (interlude)” และ “Gimme Love” ก่อนจะหายเข้าไปที่หลังเวทีอีกครั้ง คนดูเกิดความสับสนว่ารอบนี้ใช่ encore ที่แท้จริงหรือไม่ มีการตะโกนของเพลง “Die For You” กันเกิดขึ้น แต่สักพัก Joji กลับมาพร้อมกับ “Slow Dancing in the Dark” เวอร์ชั่น acoustic ครึ่งเพลง ก่อนจะกลับมาต่ออีกครึ่งเพลงด้วยเวอร์ชั่นปกติให้แฟนๆ ได้รู้สึกคอมพลีท ก่อนจะออกจากเวทีไปเป็นครั้งที่ 3 แล้วกลับมาอีกครั้ง “Bangkok, I think I forgot one more song.” นั่นก็คือเพลงใหม่ที่ทุกคนรอฟังอย่าง “Glimpse of Us” และโบกมือลาแฟนๆ ชาวไทยไปอย่างเรียบง่าย
สิริรวมทั้งสิ้น 1 ชั่วโมง 10 นาที กับเพลงทั้งหมด 14 เพลง
สิ่งที่อยากจะชื่นชมและมองว่าเป็นข้อดีมากๆ ของ Joji คือ เขาเป็นศิลปินที่มีพลังในการแสดงที่คงที่ตั้งแต่ต้นจนจบ เสียงดีไม่มีตก ช่วงที่ Joji ร้องเพลงเต็มๆ ทั้งเพลงโดยไม่มีอะไรคั่นคือช่วยที่ฟินที่สุด แต่โชคร้ายที่ช่วงเวลาเหล่านั้นช่างสั้นนัก แปบเดียวจบเพลงแล้วปิดจบแต่ละเพลงด้วยเสียงสต็อปเพลงจากดีเจเหมือนกำลังฟังเพลงจากผับหรือเทศกาลดนตรี EDM เหมือนกำลังเคลิ้มๆ แต่ถูกกระชากกลับมา อารมณ์เพลงดีแต่ขาดความต่อเนื่อง อยากจะดิ่งก็ดิ่งได้ไม่สุด แต่ถึงกระนั้น Joji ก็ยังเป็นเอนเตอร์เทนเนอร์ที่ทำหน้าที่ได้ดีอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง มีโยน Official Merchandise ให้แฟนๆ และร้องเรียกแฟนๆ ด้วย “Bangkok” ซ้ำๆ อยู่ตลอดโชว์ และกราฟิกที่ปรากฏอยู่บนจอ LED กลางเวทีและด้านล่างของเวทียกระดับก็ทำได้สวยงามเพลิดเพลินตา
…แต่ถึงกระนั้น ก็ยังไม่สามารถทดแทนโชว์ที่เล่นเพลงไม่ถึง 20 เพลง อารมณ์ของเพลงที่ขาดความต่อเนื่อง รวมถึงทัศนวิสัยที่ไม่ค่อยดีตลอดระยะเวลาในการแสดงได้
จะเรียกว่า “น่าเสียดาย” ก็อาจจะได้ เพราะด้วยราคาบัตรที่ค่อนข้างสูง บวกกับการรอคอยที่ยาวนานที่ทำให้ความคาดหวังต่อการแสดงในครั้งนี้ค่อนข้างสูงตามไปด้วย คนที่มาฟังอาจจะอยากฟังเพลงเพราะๆ ที่จะทำให้บรรยากาศในฮอลล์นุ่มนวลและอบอวลดำดิ่งไปด้วยกัน แต่การนำเสนอของ Joji ที่ออกแนวชวนมาปาร์ตี้อาจทำลายอารมณ์ของเพลงที่นุ่มลึกไปพอสมควร แม้ว่า Joji จะเพอร์ฟอร์มและร้องเพลงได้เสียงดีไม่มีตกแค่ไหน แต่สำหรับเราแล้วเป็นการแสดงที่ไม่มีอะไรแตกต่างกับการร้องเพลงคาราโอเกะมากเท่าไร แอบคิดว่าเป็นโชว์ที่ “เสียของ” อยู่สักหน่อย แต่ก็ต้องยอมรับว่า Joji เลือกที่จะแสดงโชว์แบบนี้ในทุกประเทศ หากได้ดูโชว์ใน Coachella ก็เป็นรูปแบบนี้เช่นกัน
ได้แต่คิดว่า ทัวร์คอนเสิร์ตครั้งหน้า หรือครั้งต่อๆ ไป เราจะได้เห็นรูปแบบโชว์ที่แตกต่างไปจากเดิม ได้เห็นเขาในภาพลักษณ์ศิลปินที่ร้องเพลงได้อย่างลึกซึ้ง ชวนแฟนๆ ดำดิ่งไปกับทุกโน้ตเพลงเหมือนที่เราประทับใจกันมาตลอด เก็บดีเจไว้ที่ผับ เล่นมุกระหว่างเปลี่ยนเพลง และมาพร้อมนักดนตรีแบ็คอัพเจ๋งๆ แบบฟูลทีมที่พร้อมใจกันสร้างสรรค์โชว์ที่มีความละเมียดละไมได้มากกว่านี้ก็คงจะดี
แม้จะเป็นความหวังลึกๆ ที่อาจจะเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ยังขอหวังต่อไปเท่าที่เพลงของ Joji จะยังคงอยู่ลึกในใจมาตลอด และยังคงอยู่ต่อไปเรื่อยๆ อย่างแน่นอน