ชีวิต ความฝัน การเติบโต และการสูญเสียของ “NICECNX”
Highlight
- NICECNX หรือ “ไนซ์ - ปิ่นพงศ์ ขุนกัน” ศิลปินมากฝีมืออีกคนหนึ่งของวงการเพลงไทย ที่ไม่ได้เก่งกาจแค่เรื่องการร้องและการแร็ปเท่านั้น แต่เขายังเป็นนักแต่งเพลง ที่ผลิตผลงานเพลงดังมากมาย
- ไนซ์ตัดสินดร็อปเรียนจากวิทยาลัยศิลปะ สื่อ และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ขณะที่เรียนอยู่ชั้นปีที่ 3 และเขาก็ได้ปล่อยเพลง “หลอก” ออกมาหลังจากนั้น ถึงจะยอมรับว่าวันที่เรียนจบมหาวิทยาลัยและได้รับปริญญา คือเป็นวันที่พ่อแม่ภูมิใจในตัวลูกมากที่สุด แต่เขาก็พยายามเติมเต็มช่วงเวลานั้นให้พ่อแม่ ด้วยการให้เงิน 1 ล้านบาท
- การทำหน้าที่ “เสาหลักของครอบครัว” ถือเป็นวัฒนธรรมหนึ่งของคนในวงการฮิปฮอปไทยในปัจจุบันนี้ ซึ่งสะท้อนจากชีวิตของแร็ปเปอร์หลายคนที่ทำงานหาเงินไปช่วยจุนเจือครอบครัว
- แม้ไนซ์จะประสบความสำเร็จบนเส้นทางสายดนตรี แต่เขาก็ต้องเผชิญกับมรสุมชีวิตครั้งใหญ่ เมื่อเขาสูญเงินกว่า 5 ล้านบาทไปกับการเทรดเหรียญคริปโต ถือเป็นบทเรียนครั้งสำคัญของชีวิตที่เขาจะจดจำไปอีกนาน
NICECNX คือชื่อในวงการของ “ไนซ์ - ปิ่นพงศ์ ขุนกัน” เจ้าของเพลงฮิตอย่างเพลง “หลอก” ที่ส่งให้เด็กหนุ่มจากจังหวัดเชียงใหม่คนนี้โด่งดังเป็นพลุแตก และกลายเป็นศิลปินมากฝีมืออีกคนหนึ่งของวงการเพลงไทย ที่ไม่ได้เก่งกาจแค่เรื่องการร้องและการแร็ปเท่านั้น แต่เขายังเป็นนักแต่งเพลง ที่ผลิตผลงานเพลงดังอีกมากมาย แม้ชีวิตเบื้องหน้าจะดูประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ชีวิตเบื้องหลังของไนซ์กลับไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ และเต็มไปด้วยความท้าทายมากมาย ที่ทำให้ศิลปินคนนี้กลายเป็น “ผู้ใหญ่” ที่มากด้วยประสบการณ์ชีวิต และเขาก็พร้อมจะแบ่งปันเรื่องราวชีวิตของเราให้คนอื่นได้เรียนรู้
ก่อนจะเป็น NICECNX
ย้อนกลับไปเมื่อครั้งยังเป็นเด็กเชียงใหม่ ไนซ์นิยามว่าตัวเองคือ “เด็กทั่วไป” ที่ไม่ชอบเรียนหนังสือ แต่รู้สึกสนุกกับการได้เป็น “เด็กกิจกรรม” ที่ชอบโชว์ฝีมือการแร็ปให้เพื่อนพ้องได้รับชม
“เป็นคนเอาตัวรอด เพราะไม่ได้สนใจการเรียนมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ แต่รู้สึกว่าดูจากตัวเองและหลาย ๆ อย่างในตอนนั้น ไนซ์เคยเป็นเด็กติดเกม แล้วก็เห็นว่าร้านเกมมีตู้ขายน้ำ ขายแซนด์วิช ก็เลยแพ็กแซนด์วิชไปขายกับเพื่อน ทำน้ำผลไม้ไปขายด้วยตอนเลิกเรียน เพราะอยากได้เงินมาซื้อเสื้อผ้า ซื้อสเกตบอร์ด เพราะที่บ้านไม่ค่อยมีเงิน ก็เลยอยากหาอะไรทำ แต่ไม่ได้โฟกัสเรื่องเรียน” ไนซ์เล่าย้อนกลับไป
แม้จะยอมรับว่าเป็นเด็กวัยรุ่นหัวรั้นตามประสา แต่ไนซ์ก็คิดเปลี่ยนแปลงตัวเอง เมื่อเห็นว่าพ่อกับแม่ต้องเข้าไปพบครูที่โรงเรียนบ่อย เพราะความเกเรของตัวเอง เขาจึงตั้งปณิธานว่า “หาเงินดีกว่า จะได้สิ่งที่ต้องการด้วย พ่อแม่ไม่ทุกข์ใจด้วย”
เริ่มต้นเส้นทางสายดนตรี
“เวลาไปปาร์ตี้หรืองานอีเว้นต์ ก็จะมีกลุ่ม “8 GARAD” ที่แหละที่ไปกันตลอด เมื่อก่อนกลุ่มคนทำเพลงมีน้อย ก็เลยได้รู้จักกัน เราก็เริ่มไปดูพี่ ๆ เขาทำเพลง แล้วก็ชอบมาตั้งแต่ตอนนั้น” ไนซ์บอก
ไนซ์ถือเป็นรุ่นน้องสุดในกลุ่ม 8 GARAD ที่ถือเป็นกลุ่มคนทำดนตรีรุ่นแรก ๆ ของเมืองเชียงใหม่ ที่มีเพลงฮิตสะเทือนเมืองเหนือ และกลับมาเป็นไวรัลในโลกโซเชียลอีกครั้งในตอนนี้อย่างเพลง “สาวขี่ฟีโน่แดง” อย่างไรก็ตาม แม้จะสนใจการทำเพลง แต่ไนซ์ก็ไม่ได้เริ่มต้นทำเพลงกับรุ่นพี่กลุ่มนี้ทันที แต่เขาเข้าไปทำหน้าที่ถ่ายวิดีโอให้กับเหล่าพี่น้องในช่วงแรก
“ไปถ่ายให้เพื่อน ๆ แล้วรู้สึกว่า ทำไมเขาแร็ปได้เท่านี้นะ ทำให้ดีกว่านี้ไม่ได้เหรอ เราอุตส่าห์มาถ่ายให้ มันเป็นความรู้สึกหงุดหงิด ก็เลยตัดสินใจทำเพลงเองเลย ก็คือเพลง Overtime ที่ทำกับกลุ่ม 8 GARAD นี่แหละ แต่ตอนนั้นประสบความสำเร็จในวงการเพลงใต้ดิน”
“เราไปเปิดเพลง Overtime ให้ที่บ้านฟัง แล้วมันก็มีคำหยาบอะไรเต็มไปหมดเลย ก็เลยคิดว่า ถ้าเราทำเงินกับมันได้ เราก็ควรจะทำเพลงที่ทุกเพศทุกวัยฟังได้ มีคนร้องตามได้ ไม่มัคำหยาบ ถ้าเราเป็นศิลปิน เราก็ควรจะทำได้ทุกอย่าง ก็เลยทำเพลงหลอกขึ้นมา” ไนซ์เล่า
ความฝันรอไม่ได้
“เราจบศิลป์คำนวณ จากโรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย ก็เลยสอบตรงเข้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก็บอกแม่ว่าเข้าแล้วนะ มาเรียนให้แล้ว มาเป็นลูกช้างให้แม่แล้ว แต่หลังจากนี้จะจบไม่จบก็อีกเรื่อง เพราะรู้สึกว่ามันเสียเวลาในสิ่งที่เราไม่ชอบ เราชอบอีกอย่าง เขาให้ไปทำอีกอย่าง เราก็เลยพิสูจน์ให้เห็นว่า ถ้าจะเข้ามหาวิทยาลัยก็เข้าได้ ถ้าจะเรียนให้จบก็เรียนได้ แต่รู้สึกว่าพอแล้ว เพราะความฝันของเราช้ากว่านี้ไม่ได้แล้ว ถ้าไนซ์ไม่ตัดสินใจดร็อปเรียนในตอนนั้น อาจจะไม่มีเพลงหลอก และอาจจะไม่มี NICECNX ก็ได้”
ไนซ์ตัดสินดร็อปเรียนจากวิทยาลัยศิลปะ สื่อ และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ขณะที่เรียนอยู่ชั้นปีที่ 3 และเขาก็ได้ปล่อยเพลง “หลอก” ออกมาหลังจากนั้น ถึงจะยอมรับว่าวันที่เรียนจบมหาวิทยาลัยและได้รับปริญญา คือเป็นวันที่พ่อแม่ภูมิใจในตัวลูกมากที่สุด แต่เขาก็พยายามเติมเต็มช่วงเวลานั้นให้พ่อแม่ ด้วยการให้เงิน 1 ล้านบาท ซึ่งทำให้พ่อแม่รู้สึกสบายใจกับเส้นทางที่ลูกชายเลือกเดิน
“ถ้าสมมติเราอยู่ทองหล่อ เราอยากไปรังสิต เราก็ต้องเลือกเส้นทางที่จะไปรังสิต เราคงไม่เลือกเส้นทางที่ไปบางนา แต่การทำงานของคนส่วนใหญ่เป็นแบบนั้น เขาไม่ได้เลือกเป้าหมายก่อน แต่ไนซ์เลือกเป้าหมายก่อน ไนซ์อยากมีเงินล้าน อยากมีบ้าน อยากมีความสำเร็จให้พ่อแม่ แล้วไนซ์ค่อยเลือกเส้นทาง” ไนซ์ชี้
แม้จะไม่ปฏิเสธว่า “ใบปริญญา” เป็นสิ่งสำคัญ แต่ในยุคที่เทคโนโลยีพัฒนาก้าวหน้า และทุกคนสามารถเข้าถึงสื่อได้ง่ายเพียงปลายนิ้ว เด็ก ๆ ก็สามารถหาเงินเองได้ เพราะมีแพลตฟอร์มออนไลน์ในการทำเงินให้กับพวกเขา บางคนที่แจ้งเกิดได้ ก็สร้างฐานะได้เลยในทันที อย่างไรก็ตาม ไนซ์ก็ชี้ว่า การเรียนหนังสือก็ยังเป็นการสร้างพื้นฐานที่ดีให้กับชีวิตคน เพราะเป็นการปลูกฝังเรื่องความรับผิดชอบในการใช้ชีวิต ความสามารถในการจัดการชีวิต และการจำลองการทำงานเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่
ฮิปฮอปยอดกตัญญู
“วันแรกที่บอกว่าทำเพลงแล้วได้เงิน ได้เงินน้อยมาก สองสามหมื่นบาทต่อเดือนเอง พ่อแม่ก็ถามว่าอันนี้ไปทำอะไรมา ไปขายของมาเหรอ คือพ่อแม่ไม่รู้เรื่อง เราก็เลยทำให้เห็น ด้วยการไปออกสื่อให้เยอะขึ้น เขาก็ได้เห็นตามทีวี ชาวบ้านก็เอามาให้ดู เขาก็ยังเป็นห่วงแหละ ด้วยความที่เราเป็นลูก ไม่ว่าเราจะโตยังไง หาเงินได้เยอะแค่ไหน เราก็ยังเป็นลูกของเขา ที่เขาเคยเลี้ยงมาตั้งแต่ยังเล็ก ตอนนี้พ่อแม่ก็หมดห่วงแล้ว เพราะเราส่งเงินให้มาได้ 3 ปีแล้ว”
ไนซ์เล่าว่า การทำหน้าที่ “เสาหลักของครอบครัว” ถือเป็นวัฒนธรรมหนึ่งของคนในวงการฮิปฮอปไทยในปัจจุบันนี้ ซึ่งสะท้อนจากชีวิตของแร็ปเปอร์หลายคนที่ทำงานหาเงินไปช่วยจุนเจือครอบครัว รวมถึงวัฒนธรรมการสลักชื่อตัวเองลงบนสร้อยเพชร เพราะนั่นคือเครื่องหมายที่แสดงให้คนอื่นรู้ว่าเขาประสบความสำเร็จแล้ว
“เมื่อก่อนเราไม่เคยมี เราเคยได้เงินใช้น้อย แต่ตอนนี้เราส่งเงินให้ที่บ้าน เราสามารถดูแลครอบครัวได้ เราทำให้ชื่อจังหวัดเชียงใหม่มาอยู่ตรงนี้ เราแบกความฝันเอาไว้ด้านหลัง และนี่คือที่มาของ NICECNX แหละ”
“ไนซ์อยากตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ อยากพาพ่อแม่ไปเที่ยวต่างประเทศ แม่กับพ่อไม่เคยไปต่างประเทศเลย อันนี้คือเป้าหมายในชีวิตเลย คือถ้าพูดเหมือนผู้ใหญ่เลยนะ ว่าเราจะมีครอบครัว แต่งงานไหม ถ้าพูดตรง ๆ เลยคือไนซ์ไม่อยากมีครอบครัว ไม่อยากแต่งงาน ไนซ์อยากดูแลพ่อแม่ เขารักเราที่สุดแล้ว เรามารู้ตัวตอนที่มาอยู่กรุงเทพฯ แล้วเราได้กินอะไรดี ๆ ได้ไปเที่ยวในที่ดี ๆ เราคิดว่าคงจะดีถ้าพ่อแม่เรามาอยู่ตรงนี้ด้วย”
บทเรียนสำคัญของชีวิิต
แม้ไนซ์จะประสบความสำเร็จบนเส้นทางสายดนตรี แต่เขาก็ต้องเผชิญกับมรสุมชีวิตครั้งใหญ่ เมื่อเขาสูญเงินกว่า 5 ล้านบาทไปกับการเทรดเหรียญคริปโต ถือเป็นบทเรียนครั้งสำคัญของชีวิตที่เขาจะจดจำไปอีกนาน
“กลไกลคือเหมือนเราเอาเงินไปฝากธนาคาร เราเรียกว่าการฟาร์มมิ่ง คือได้กำไรเป็นรายวัน กระแสตอบรับเป็นรายวัน ตอนนั้นได้เงินวันละ 5 หมื่นบาท เราไม่อยากทำอะไรแล้วในชีวิตนี้ ผู้จัดการโทรมาก็คือไม่ทำงาน ทุนเริ่มต้น 15,000 บาท สี่วันเราได้เงิน 5 ล้านบาท เราก็ถอนเงินมากินโอมากาเสะคนเดียว เช่าโรงแรมหรูอยู่เป็นเดือน มันสนุกมาก มีความสุข รู้เลยว่าการจำลองความรวยเป็นอย่างไร ไนซ์กลายเป็นอีกคนเลย นิสัยแย่ ๆ คือทำออกมาหมดเลย อะไรดีก็คือกี โอนเงินช่วยหมาแมวทุกวัน แฟนคลับขอเงินก็ให้หมดเลย” ไนซ์เล่า
เพราะความใฝ่ฝันตั้งแต่เด็กคือการมีเงินล้านและใช้ชีวิตอย่างที่ตัวเองต้องการ การได้ครอบครองเงินล้านจากการลงทุนเพียงเล็กน้อย ทำให้ไนซ์ “โลภ” อยากได้เงินมากกว่าเดิม เขาจึงนำเงินกำไรที่ได้ทั้งหมด ไปลงทุนกับเหรียญคริปโตอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้กลับขาดทุนหนัก และเงินล้านก็มลายหายไปเหลือเงินหลักพันติดตัว
“วันที่มันหมดไป เรารู้สึกอยากตื่นขึ้นมา แล้วขอให้มันเป็นความฝัน ขอให้ตื่นขึ้นมาแล้วมีเงินเหมือนเดิม ทุกวันนี้ก็ยัง move on ไม่ค่อนได้ แต่ก็คิดว่าชีวิตต้องไปต่อ”
“ไนซ์รู้สึกว่าโตขึ้นเยอะ จากคำพูดคำจา จากการวางตัวในสังคม เราโตขึ้นเพราะประสบการณ์หลาย ๆ อย่างสอนเรา มันเหมือนตกผลึกอะไรบางอย่าง คำพูดคำจาบางคำที่ตอนเด็ก ๆ เราพูดอีกอย่าง เราคิดอีกอย่าง แต่วันที่โตขึ้นมาก็เข้าใจเลยว่า คำพูดคำเดียวกัน แต่ความอินมันแตกต่างกัน เพราะเราไปเจอประสบการณ์มาจริง ๆ แล้วมันทำให้เราโตขึ้น ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน เรื่องเพลง แต่นี่คือชีวิตเลย” ไนซ์กล่าวปิดท้าย
อัลบั้มภาพ 8 ภาพ