สนทนากับ DVI ในวันที่ความฝันเริ่มงอกงาม แม้เส้นทางจะไม่หวานเหมือน "น้ำตาล"
ในงาน OCTOPOP เทศกาลดนตรีของ 4NOLOGUE ช่วงค่ำวันที่ 16 ตุลาคม วงการทีป็อปก็มีเรื่องน่าดีใจให้ฉลองและเซอร์ไพรส์พร้อมกัน เมื่อวง DVI บอยกรุ๊ปที่มาพร้อมสมาชิก ชีต้า-ปิติภัทร ธนสารไพบูลย์, สมุย-สมุทร แก้ววัน, แฟรงค์-พลช ชิณวังโส, ป๋อ-ศุภการ จิรโชติกุล, ตั๋ง-ชินดิศ เวียงวิเศษ และ อู่อู๋-ธนภูมิ เศรษฐสิทธิกุล ในสังกัด 4NOLOGUE ได้เปิดตัวบนเวทีให้ทุกคนรู้จักเป็นครั้งแรก และหลังจากนั้นเราได้เห็นการแสดงของเหล่าเมมเบอร์ รวมถึงเพลง "Sugar" และผลงานเพลง "To The Top" ที่ทำกับวงบอยกรุ๊ปญี่ปุ่น PSYCHIC FEVER จาก Exile Tribe ที่ทำให้แฟนๆ อินเตอร์รู้จักพวกเขา
ก่อนที่จะได้เดบิวต์และก้าวเดินบนถนนสายทีป็อป สมาชิกวง DVI เกือบทั้งหมดได้เผชิญความผิดหวัง และการเปลี่ยนแปลงที่ช่างตรงข้ามกับชื่อเพลง "Sugar" ผลงานเดบิวต์ของพวกเขา ซึ่งเรื่องราวจากปาก 6 หนุ่มได้ยืนยันกับเราจริงๆ ว่า แม้เส้นทางในฐานะเทรนนีจะไม่หอมหวานเหมือนน้ำตาล แต่พวกเขาก็เดินหน้าจนเข้าใกล้เป้าหมายอันหอมหวานของตัวเองและวง
อะไรคือแรงบันดาลใจให้เราอยากเป็นศิลปิน
ตั๋ง : ความฝันผมเริ่มช้ากว่าคนอื่น แต่ก่อนผมโฟกัสแค่เรื่องร้องเพลง แต่ไม่คิดเรื่องร้องและเต้นพร้อมกัน มารู้จักตอน ม.6 ขึ้นปี 1 ที่มีแก๊ป 6 เดือนเลย เลยเปิด YouTube ก็เจอคลิปวงหนึ่ง ก็เปิดเข้าไปดูสักหน่อย ก็แบบยาวเลย เราอยากเป็นแบบนี้เหมือนกัน เป็นจุดเริ่มต้น วงนั้นก็เป็น BIGBANG ครับ
ชีต้า : ผมสนใจทางนี้ตั้งแต่ ม.3 ม.4 ครั้บ เพราะตอนแรกเป็นเด็กสายวิทย์ เด็กเรียนเพราะคุณพ่อคุณแม่เป็นหมอ แล้วมีเพื่อนผมอยากแข่ง ชวนไปเต้นคัฟเวอร์ รู้สึกว่ามันใช่ มันชอบ ค้นหาตัวเองเจอ สุดท้ายเบนสายเลย เพราะรู้สึกว่าเราชอบที่จะร้องที่จะเต้นครับ ก็ได้มีโอกาสประกวดเต้น ร้องเพลง ทำผลงานมาบ้าง จนมาถึงตอนนี้ก็ยังจะทำอยู่ มีแพชชั่นแม้เจออุปสรรคล้มลุกคลุกคลาน ก็ภูมิใจที่ได้มาเป็น DVI
สมุย : ผมเริ่มจากที่แม่อยากให้ผมเต้นได้ เลยให้ผมไปเรียนที่คลาสเต้นที่ สนามศุภชลาศัย เป็นคลาสเรียนฤดูร้อน ก็ไปเรียนบัลเลต์ ยิมนาสติก และกีฬา ก็ไปเรียนเต้นที่ To Be Number One ต่อ แต่จริงๆ ผมไม่ชอบเต้นและร้อง แต่พอเข้ามัธยมก็พบว่ามันเป็นอะไรที่ทำให้คนจำเราได้ เพราะพูดถึงสมุยคิดถึงเต้น คิดถึงร้อง เลยฟอร์มวงดนตรีเพื่อเล่นบนเวที ก็แข่งไป แข่งก็แพ้แล้วแพ้อีก แพ้อยู่นะ คนก็บอกว่าเลิกเถอะทำอะไรไร้สาระ ผมก็ไม่หยุดทำต่อเรื่อยๆ เพราะหลังๆ แม่ยอมรับว่าทำได้ หลังๆ ผมก็ไปออดิชั่นที่นั่นนี่ ได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็ได้ไปเทรนที่เกาหลีช่วงหนึ่ง จนกลับมาก็เคว้งคว้างทำอะไรต่อดี วันที่เราไม่มีมัน มันทำให้เรารู้ว่าเรารักมันจริงๆ ก็เป็นจุดเปลี่ยนผมไม่ได้ร้องเพลงมา 1 ปี เพราะเจ็บใจมันเข็ด พอมาอยู่ค่ายอีกครั้งเราก็พบว่าเราจะทำมันจริงๆ แล้ว ไม่ว่าลำบากก็จะทำ ก็ผ่านอะไรกว่าจะมาถึงจุดนี้ ก็เป็นก้าวแรกในการทำสิ่งที่เรารักจนกว่าจะหมดแรงครับ
อู่อู๋ : อู๋เป็นคนที่มีความฝันอยากเป็นนักฟุตบอล เพราะมีไอดอลเป็น Cristiano Ronaldo ตอนเด็ก แล้วก็เหมือนพอเริ่มโตขึ้นก็เห็นพี่สาวแข่งบนเวที ก็ได้ซึมซับจากเขา ได้ดูเพลงจาก YouTube ก็ซึมซับจากตรงนั้นด้วย ผมรู้สึกว่าเราอยากทำด้านนี้ แม่เลยให้ผมประกวดรายการหนึ่ง ก็ไม่ได้เข้ารอบ ไปอีกรายการหนึ่งก็เจอพี่ๆ ในวง แล้วก็พอจบรายการก็มาต่อที่นี่ก็ได้เป็น DVI
ป๋อ : ผมเริ่มร้องเพลงจากวงคอรัสตอน ป.3-ป.6 ก็มาเรียนใหม่ตอน ม.3 ก็ไปอยู่ในค่ายค่ายหนึ่งและออกมา ตอนแรกผมไม่ได้เต้นเลย แต่พอมาอยู่ 4NOLOGUE ผมก็ได้ไปดูคอนเสิร์ตต่างๆ ของเกาหลีที่เต้นด้วย เป็นบอยแบนด์ หลังจากนั้นก็ไปแข่งรายการหนึ่งกับพี่ๆ ก่อนกลับมา 4NOLOGUE เป็น DVI ครับ
แฟรงค์ : สำหรับแฟรงค์ตั้งแต่เด็กๆ ตอนอนุบาลก็รู้สึกว่าตัวเองกล้าแสดงออก ถูกเลี้ยงมากับอากงอาม่า อาม่าร้องเพลงสุนทราภรณ์ให้ฟังตั้งแต่เด็ก น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราอยากเป็น พอโตขึ้นก็มาเห็นศิลปินเกาหลีก็อยากเต้น ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราไม่หยุดร้องและเต้นถึงทุกวันนี้ครับ
เราเข้ามาเริ่มเทรนกับ 4NOLOGUE ได้อย่างไร
แฟรงค์ - ชีต้า - สมุย : ก็เป็นการถูกเรียกเข้ามาเทสหลายขั้นตอนจนมาเป็น DVI ทุกวันนี้ครับ ช่วงเทสหลายครั้งก็มีจุดพิสูจน์ ทั้งร้อง ทั้งเต้น ทีมเวิร์ค หรือการว่าเราจะออกแบบโชว์อย่างไร ก็คือเริ่มตั้งแต่แรกเลย เป็นกระบวนการที่เรา 6 คนคิดมาเอง ว่าทำกี่เพลงๆ เราจะต้องวางว่าโชว์นี้ทำสิ่งนี้ก่อนหลัง เป็นกลยุทธ์ในการเทสรอบนี้ว่าเราจะทำยังไงให้เขาเห็นว่าเราทำอะไรได้หลายอย่าง และมีคาแรคเตอร์หลากหลาย แต่หลักๆ ก็ทีมเวิร์คเพราะการเป็นบอยแบนด์ต้องอยู่ด้วยกันอีกยาว ทุกคนคือส่วนเติมเต็มของคำว่า DVI ก็ทำให้เราต้องพิสูจน์ตัวเองหลายครั้ง
เราต้องผ่านอะไรมาเยอะกว่าจะเดบิวต์ เรารับมือความผิดหวังอย่างไร
ชีต้า : ของผมมีประสบการณ์รายการต่างๆ มีผลงานมาบ้าง คือถ้าเราหาตัวเองเจอและรักในสิ่งที่ทำนะครับ เรายังไม่มองผลว่าสำเร็จหรือไม่สำเร็จ การมีแพชชั่นจะทำให้เรากล้าทำสิ่งนั้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะล้มลุกคลุกคลาน ผมเปรียบตัวเองเป็นเหมือนตุ๊กตาล้มลุกที่ล้มแล้วแข็งแรงขึ้น ทุกสเต็ปทุกก้าวมันทำให้เราแข็งแกร่งและการพิสูจน์ตัวเองกับครอบครัวที่เป็นหมอแล้วเราฉีกตัวเองมาทางนี้ เราก็รู้สึกอยากทำให้เขาภูมิใจในแบบของเรา ก็ไม่ได้กดดันตัวเองนะ แต่รู้สึกอยากทำสิ่งที่เรารักก่อน และประสบความสำเร็จด้วยตัวเอง ตอนนี้ก็ทำอยู่ครับ
แฟรงค์ : แฟรงค์แค่คิดว่าชีวิตมันสั้น ผิดหวังก็ผิดหวัง ร้องไห้ก็ร้องให้สุดเลย แต่ร้องแล้วให้ลุกขึ้นมาและคาดหวังไปยังอนาคตว่ามันจะเป็นไปได้ อย่างชีต้าเป็นแพชชั่นแต่แฟรงค์มองว่าความหวังต้องควบคู่ไปกับแพชชั่นให้มันเกิดขึ้น
สมุย : หลายครั้งที่แพชชั่น ความหวัง และการมีชีวิตอยู่มันแทบไม่เหลือเลยครับ แต่พอยท์ของผมคือทำยังไงให้แม่สบายมีชีวิตดีขึ้น จะอยู่ยังไงถ้าแม่ไม่อยู่แล้ว เลยคิดว่าถ้าเราไม่ทำแล้วคนข้างหลังจะอยู่อย่างไร ก็ใช้ตรงนี้เป็นแรงขับไปข้างหน้า
เพลง “SUGAR” มีที่มาอย่างไร ความท้าทายในการทำมีอะไรบ้าง
ป๋อ : เพลงนี้มีคาแรคเตอร์ชัดเจน เป็นสีเดียวกับวงเรามีความจัดจ้านและความกวน
อู่อู๋ : มันเป็นเพลงของเราที่ตั้งใจทำมากๆ ตอนทำก็จะมีความตึงเครียด แต่เราก็ช่วยแล้วก็ให้คำแนะนำจนผ่านตรงนั้น เพลงนี้เป็นเพลงที่คนเข้าถึงง่าย
ตั๋ง : เพลง “SUGAR” ก็เป็นเพลงรัก ที่พูดถึงความกล้าที่จะสื่อความรู้สึกเราออกไปให้คนที่เราชอบได้ฟัง ก็จริงๆ เป็นเพลงรักที่มาจากคาแรคเตอร์เรา 6 คนที่เป็นผีเสื้อที่โบยบินกล้าแสดงออก หลุดจากกรอบที่ปิดกั้นเราอยู่ เราเป็นหน้าใหม่หมดเลย ก็จะตื่นเต้น เรามีเรื่องที่เก่งและมีข้อด้อยที่ด้อยต่างกัน แต่ผมว่าทุกคนอยู่ด้วยกันก็ดึงข้อดี และก็มีพี่ปอร์เช่ และ แจ๊คกี้ มาช่วยคุมตอนอัดร้องด้วย เนื่องจากพี่ๆ มีประสบการณ์มานาน ประสบการณ์ที่เขามาแชร์มันช่วยให้เพลงสมบูรณ์ขึ้น คือเราก็มีฝึกร้องมาแล้ว แต่พอไปห้องอัด พอใหม่เราตื่นเต้นในแบบที่การฝึกช่วยไม่ได้ การมีพี่ๆ ก็ทำให้เราอุ่นใจและการอัดราบรื่นขึ้นครับ
สมุย : ของพี่เช่จะคุมหลักๆ ว่าอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นคนคุมหลักตอนนั้น ส่วนแจ๊คกี้ก็จะแบบเสริมๆ แบบ ‘พี่เช่ตรงนั้นตรงนี้’ จะเป็นฟีลที่สองคนจะคนละแบบแต่ทำงานออกมาเป้าหมายเดียวกัน วันนั้นเราอัดหลายชั่วโมง ทุ่มหนึ่งถึงตีสอง ก็มีพี่ๆ หลายคนที่ช่วยเรา มีครูวอยซ์ โวคอล ช่วยเรา มี พี่แอ้ม (อัจฉริยา ดุลยไพบูลย์) และ พี่วุธ (อนุวัฒน์ วิเชียรณรัตน์) มาคุมการอัด มันได้ความรู้สึกต่างจากการอยู่ในห้องคนเดียว ก็มีหลายคนมาช่วยให้เพลงนี้ออกมาดีที่สุดครับ
เรารู้สึกอย่างไร ในวันที่ได้ข้ามจากเด็กฝึก มาเป็นศิลปิน
ชีต้า : ขึ้น OCTOPOP เป็นเหมือนพรีเดบิวต์ ก็ตื่นเต้นเพราะเป็นงานใหญ่ที่ค่ายเราจัด เป็นราชมังคลาสถานที่ไม่ใช่ทุกคนจะขึ้นได้ ก็รู้สึกดีใจกับกระแสตอบรับที่พวกเราได้ในฐานะ DVI และ Siam Music Festival และงานที่ขึ้นกับ PSYCHIC FEVER ก็เป็นการอุ่นเครื่องที่ดีครับก่อนเดบิวต์จริงๆ ทุกๆ การขึ้นเวทีเราจะได้อะไรทุกครั้ง อย่างการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า การเกิดเหตุสุดวิสัยเรื่องการเต้น บล็อคกิ้ง เวที ซาวด์ต่างๆ ที่อาจผิดพลาดได้ ก็รู้สึกว่าเราขึ้นเวที เราก็แก้ไขได้ เหมือนเราซ้อมในสนามจริง ไม่ใช่ห้องสี่เหลี่ยม
ตั๋ง : บนสเตจเป็นหนังสือที่ไม่มีคู่มือ บนสเตจมันจะมีอะไรมากมายนอกจากคู่มือที่บอกไปว่าทำแบบนี้ ต้องเรียนรู้สเต็ปบายสเต็ป
สมุย : การขึ้นเวทีของสมุยคือ สติต้องกำไว้ให้แน่นเลย หลังเวทีต้องหายใจเข้าออก และผมจะสวดมนต์ ผมมองว่าเป็นอะไรที่เราตื่นเต้น เราต้องกลับมาจูนตัวเองหายใจเข้าออก ว่าสเตจนี้เราต้องทำด้วยสติด้วยความมั่นคงไม่ใช่บ้าพลังอย่างเดียว เป็นความรอบคอบที่เราต้องทำให้ดีและสนุก ทุกเวทีไวบ์ความรู้สึกไม่เหมือนกัน เอาไปใช้ได้นะครับของวงเรา
การทำงานกับ PSYCHIC FEVER ในเพลง “To The Top” เป็นอย่างไรบ้าง เราได้เรียนรู้อะไรจากวงรุ่นพี่จากญี่ปุ่น
อู่อู๋ : เป็นประสบการณ์ที่ดีและตื่นเต้นมาก คือเป็นวงที่เข้ากันได้และเป็นหน้าใหม่เหมือนกัน เขาจะมีประสบการณ์มากกว่ามาแบ่งปันกับเรา เก่งมากๆ ด้วยครับ
ตั๋ง : PSYCHIC FEVER เป็นวงที่เก่งมากทั้ง ร้อง แร็ป เพอร์ฟอร์ม การแสดงบนเวทีใหญ่เขาก็เก่งมาก ผมก็ดูและถามว่ามีทริคอะไรบ้าง การที่เจอคนเก่งมันเติมไฟกัน เราก็ผลักดันตัวเองให้ดีขึ้นไป “To The Top”
ในฐานะคนที่สัมผัสวงการทีป็อปมานาน อยากเห็นอะไรในวงการทีป็อป
ชีต้า : ผมตื่นเต้นนะ เพราะทีป็อป มีเอกลักษณ์ แต่ละประเทศวัฒนธรรมไม่เหมือนกันและมีการเสพไม่เหมือนกัน ทีป็อปเราสามารถสื่อสารด้วยภาษาไทยผ่านเนื้อเพลงติดหูเข้าใจง่าย แบบวัยทั่วไปเข้าใจง่าย เราสามารถเข้าถึงแฟนๆ สื่อสารกันได้ ส่วนเรื่องที่อยากให้ปรับก็ทีป็อปที่มาบูมตอนนี้ ก็มีเรื่องการฝึกซ้อมและคุณภาพงาน เพราะตอนนี้มันเพิ่งเริ่มต้นมาบูมครับ
สมุย : ผมมองว่าอยากให้ทุกคนสนใจมากขึ้นคือแพชชั่น ใครชอบร้อง เต้น แร็ป ตอนนี้ในทีป็อปมีโอกาสให้คนได้แสดงสิ่งที่ชอบมากขึ้น ผมมองว่าใครอยากร้องอยากเต้น ตอนนี้เป็นโอกาสที่ดีครับที่คุณจะซ้อมฝึก เป็นช่วงที่โอกาสกำลังมาครับ
ตั๋ง : อุตสาหกรรมดนตรีกลับมายิ่งใหญ่ และผมเชื่อว่าวงการจะยิ่งใหญ่ ทุกคนกำลังหาเวย์ของตัวเอง หาเอกลักษณ์เฉพาะขึ้น ตอนนี้ทุกคนซัพพอร์ตกันทั้งศิลปินและคนทำเพลง เชื่อว่าจุดนี้ทำให้วงการเติบโตไปได้ครับ
อู่อู๋ : ชอบตรงที่ทุกคนซัพพอร์ตไม่ว่าเราจะต่างค่าย ชอบความเป็นทีป็อปตรงนั้นครับ
อัลบั้มภาพ 31 ภาพ