มีเท่าไหร่โอนให้ภรรยาเก็บ "พลพล" พบความสุขที่หัวใจบอกว่าสุขจริงๆ
พลพล พลกองเส็ง นักร้องชื่อดัง เปิดบ้านต้อนรับทีมข่าว Sanook.com ให้สัมภาษณ์ การเดินทางตั้งแต่วัยเด็กจนถึงปัจจุบัน ที่ไม่ได้มีแค่ทางตรงอย่างเดียว คดเคี้ยวเลี้ยวออกนอกลู่ไปบ้าง ก่อนค้นพบ "ความสุขที่แท้จริง" หรือ "ความสุขที่หัวใจบอกว่าสุขจริงๆ" ขอรักษาเอาไว้ตราบนานเท่านาน
เจ้าของเสียงร้องเพลงดังมากมาย อาทิ "คนเดินถนน", "ยังยิ้มได้", "คนไม่สำคัญ", "หล่อเลย", "กอดหน่อยได้ไหม" เป็นต้น เล่าว่า การเดินทางของชีวิตเขาเริ่มต้นที่ อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
"พ่อแม่มีลูก 10 คน พี่เป็นคนสุดท้อง"
ครอบครัวของเขาเป็นครอบครัวยากจน เพราะพ่อแม่มีลูกเยอะ ยึดอาชีพซักรีด ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นครอบครัวข้าราชการ และคนขับรถทัวร์ ที่พักบังกะโลแถวบ้าน แต่ทำเท่าไหร่ก็ไม่เคยเห็นเงิน
"เป็นลูกคนสุดท้องก็จะอยู่กับพ่อแม่นานหน่อย ที่บ้านมีแบ่งหน้าที่กัน แม่ซักผ้าขาว พ่อรีดผ้า เราซักกางเกงยีนส์กับผ้าห่มหนักๆ สมัยนั้นยังไม่มีน้ำมีไฟ แบกลงไปซักที่แม่น้ำโขง"
"ทำไปแลกมา ซักผ้าให้บ้านนี้ขายของชำ ก็เอาของชำมาใช้ พ่อพาไปทำประมงดึกแค่ไหนก็ต้องไป ได้ปลามาเอาไปแลกไข่ ไม่เห็นมีเงินเป็นกอบเป็นกำ ไม่เคยเห็นเงินดีกว่า"
"เคยทะเลาะกันบ้านแทบแตก เรื่องเงิน 1 บาท พ่อจะเอาไปซื้อเกลือเป็นก้อนเก็บไว้ทำอาหาร ส่วนแม่จะเอาไปซื้อยาสระผม เพราะเป็นห่วงเรื่องความสะอาดของลูกๆ อยากให้ลูกได้สระผม"
"กินข้าวโรยเกลือไปโรงเรียนทุกวัน เพื่อนได้เงิน 3 บาท แต่เราได้ 50 สตางค์ กว่าพ่อจะหา 50 สตางค์ มาให้เราได้ เป็นเรื่องหนักหนาสาหัสมาก แบบให้เราแล้ว ที่บ้านไม่มีเลย จนขนาดนั้น"
นักร้องมาดอบอุ่นเสียงนุ่มละมุน บอกต่อว่า เขาโชคดีที่มีความสามารถทางดนตรี และกีฬา ทำให้ได้ทุนเรียนจนจบ ม.6 จากนั้นได้เข้ากรุงเทพฯ มาสอบเข้าดุริยางค์ทหารบก ได้บรรจุในตำแหน่งพลอาสา
"เงินเดือน 2,350 บาท ต้องส่งบ้าน 6 พันบาท"
พลพล เล่าว่า ด้วยเงินเดือนที่ได้รับไม่บาลานซ์กับภาระหนี้สิน ชั่วโมงนั้นเขาทำงานแบบไม่ลืมหูลืมตา เรียกว่า "ทำทุกอย่างที่ได้เงิน" แต่รับจ้างเข้าเวร เล่นดนตรี ขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ก็แล้ว เงินที่หามาได้ยังไม่พอไปจ่ายค่าบ้าน
"ร้านทองกลางซอยแม่งเปลี่ยวดีว่ะ"
"เรามีปืนข้าราชการอยู่ในมือ"
เขาบอกช่วงนั้นวูบหนึ่งคิดจะเป็น "โจร" ปล้นร้านทองให้มันรู้แล้วรู้รอดไป ในเมื่อตั้งใจทำดีทุกอย่างแล้ว ยังไม่หลุดพ้นจากความยากลำบาก
ยังดีที่เรียกสติกลับมาได้ ไม่ปล่อยให้ความคิดพาเลี้ยวไปสู่ทางตัน
เขาบอกว่า ถ้าวันนั้นตัดสินใจไวตามความคิด ชีวิตเขาวันนี้คงดูไม่จืด ไม่มีนักร้องชื่อ พลพล ติดทำเนียบขวัญใจมหาชนแน่อน
"ดูจากทีวีแล้ว ที่ปล้นมาไม่เคยรอด ผ่านไปแล้วหลายวัน เขายังจับกลับมาได้ เอามาก็ไม่ได้ใช้ ติดคุกเนี่ยไม่รู้จะกี่สิบปี ไม่มีใครช่วยพ่อแม่แน่นอน"
"เราอยู่ข้างนอก ทำงานสุจริตทยอยใช้หนี้ไปเรื่อยๆ ได้ คิดใหม่กลับมารับจ้างเข้าเวรต่อได้วันละ 400 บาท ถ้าวันนั้นคิดแล้วทำเลยเนี่ย ไม่มีนักร้องชื่อ พลพล แน่นอน"
พลพล บอกต่อว่า ด้วยภาระหน้าที่แบกเอาไว้มีมาก จากความคิดว่าตนเองจะไม่รอดจากอาชีพข้าราชการเงินเดือนน้อย หลังจากรับราชการ 5 ปี ได้ตัดสินใจลาออกมาตระเวนเล่นดนตรี แม้เหน็ดเหนื่อยกับการเดินสาย แต่รายได้สมน้ำสมเนื้อกับเหงื่อที่เสียไป
"อันนี้ไม่ได้บอกว่าข้าราชการไม่ดี ไม่ใช่นะ ด้วยสวัสดิการ คนที่ไม่มีหนี้มีสินเหมือนผมเนี่ย เขาอาจจะอยู่ได้สบายจนเกษียณ แต่ด้วยเราภาระหน้าที่เยอะ ไม่น่าจะใช้ชีวิตด้วยเงินเดือนราชการได้ ก็เลยตัดสินใจลาออก"
เขาบอกว่า หลังจากเปลี่ยนทางเดิน นอกจากความสามารถทางดนตรี ช่วยทำให้มีความเป็นอยู่ดีขึ้น ยังทำให้ "ปั๋ง" ประกาศิต โบสุวรรณ ประทับใจ ชักชวนไปเป็นศิลปินแกรมมี่ มีชื่อเสียงโด่งดังในเวลาต่อมา
"ตอนนั้นเริ่มมองเห็นทาง เล่นดนตรีประจำเงินมันได้เยอะ ขยันเล่นหลายที่หน่อย ที่หนึ่งได้ 9 พัน เล่น 3 ที่ ได้ 2 หมื่นกว่า ร้องวันหนึ่ง 7 ชั่วโมงครึ่ง ทุกวัน"
"เริ่มส่งบ้านได้ เริ่มซื้อมอเตอร์ไซค์ เริ่มเล่นหลายๆ ที่ ที่แบบมีผู้หลักผู้ใหญ่ เข้าไปนั่งดู จนพี่ปั๋ง ชวนผมมาเทสต์เสียงที่แกรมมี่ ฝึกอยู่พักหนึ่ง เริ่มปล่อยเพลงแรก "แฟนจนๆ" เงียบ"
"ส่งคนเดินถนนต่อ เริ่มมีคนขอหน้าไมค์ เพลงของนักร้องชื่อ พลพล น่ะ เราก็แบบเฮ้ย มีคนขอหน้าไมค์แล้วเว้ย มีกระแสขึ้นมา เริ่มดัง มีเงินออกมา 1 ล้านบาท ไปใช้หนี้หมดเลย"
"หนี้ที่บ้านตอนนั้นมีนอกระบบ 3 แสน และก็อีก 7 แสน เป็นแบงค์ โหดีใจมาก แบบวันนั้นเป็นวันที่แบบผม มีความสุขมาก พ่อเปิดหมอลำ รำทั้งวันเลย แม่นั่งยิ้ม"
การเดินทางช่วงหนึ่งของชีวิต ในขณะที่ปล่อยเพลงอะไรก็ปัง แต่ชีวิตเกือบพังด้วยน้ำมือของตัวเอง
พลพล เล่าตรงไปตรงมา หลังจากมีชื่อเสียงโด่งดัง หาเงินง่าย ไปไหนมาไหนมีคนคอยเอาอกเอาใจ เขาก้าวเป๋ไปจนแหกโค้ง ดีที่ยังคิดได้ ไม่ถลำไปจนตกเหวลึก
"ผมเคยหลุดไป ในช่วงหนึ่งประมาณว่า ไม่เคยดื่มเหล้า ไม่เคยเที่ยว ในช่วงประมาณสักชุดอัลบั้มที่ 3 ดื่มเหล้าแล้วดื่มหนักมาก ไปกับเพื่อนทั้งวันทั้งคืน บางงานร้องเพลงเหนื่อยแทบไม่ไหว"
"ทำแบบนี้อยู่ 5 ปี ดื่มเหล้าวันละ 2 ขวดทุกวัน คนเดียวก็ 2 ขวด กี่คนก็ 2 ขวด คือ ตั้งเป้าไว้เลยว่า 2 ขวด แต่บางวันมันเกินเป้า ไปเปิดเมมเบอร์ เหล้า 11 ขวด วันเดียวหมดเลย โหแบบเฮียมากครับ เฮียสุดๆ ครับ อันนี้เฮียสุดๆ"
"5 ปีผ่านไป คิดได้ด้วยตัวเอง ตอนนั้นมาชอบกีฬากอล์ฟ และก็ไปเล่นกอล์ฟ นัดพี่คนหนึ่งที่นับถือมาก แล้วไปไม่ได้ กินเหล้าเยอะเมื่อคืน ทำให้รู้สึกว่า เฮ้ยรับผิดชอบเวลาแค่นี้ ทำไม่ได้ แล้วต่อไปมึงจะทำอะไรได้วะ"
"เชื่อไหมว่าเย็นวันนี้ ถึงเวลาจะต้องออกไปกินเหล้ากับเพื่อน โทรบอกเพื่อนทุกคนว่าเลิกเหล้าแล้ว เลิกเลย เลิกตั้งแต่วันนั้นมาจนวันนี้ นี่ก็เลิกมาจะ 17 ปี แล้ว"
ศิลปินชายคนนี้ บอกต่อว่า หลังจากสลัดความสุขชั่ววูบ เกือบทำให้ชีวิตหายนะมาได้ จุดเปลี่ยนสำคัญ ทำให้ค้นพบความสุขที่แท้จริง คือการมี "รษา" เข้ามาในชีวิต
ผู้หญิงคนนี้เป็นอดีตพนักงานฝ่ายกฏหมายของแกรมมี่ ที่ลาออกจากค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ของประเทศ ไปช่วยพี่สาวทำธุรกิจโรงสี ที่ จ.นครราชสีมา และว่าจ้างให้ไปแสดงคอนเสิร์ตวันเกิดพี่เขย ทำให้ได้พบกัน ก่อนลงเอยด้วยการจูงมือกันเข้าสู่ประตูวิวาห์ อยู่กินเป็นสามีภรรยา มี "ธันวา" ลูกชายคนเดียวเป็นพยานรัก
"เขาเคยทำงานที่แกรมมี่แต่ไม่เคยเจอกัน เขาจ้างไปเล่นคอนเสิร์ตงานวันเกิดพี่เขย ไปเจอกันที่นั่น คบกันได้ปีกว่าๆ ก็แต่งงานเลย"
"วันแต่งงานยืมเงินเมียด้วยนะ"
เขาเปิดเผยเรื่องที่มีน้อยคนเคยรู้ พร้อมเล่าว่า วันแต่งงานเขามีเงินเก็บอยู่เพียง 7 แสนบาท หลังจากนำเงินก้อนโตไปใช้ดูแลรักษาคุณพ่อ คุณแม่ ต่อเนื่อง
"วันแต่งงานคุณแม่ยังไม่เสียนะ เริ่มป่วย ใช้เงินไปเรื่อยๆ กับค่ารักษาพยาบาล เงินก็เหลือน้อยลง"
"ยืมเงินเมียมาวางขันหมาก ยืมทองพี่สาวมาวางเป็นสินสอด ของทุกอย่างยืมหมด"
"บอกเมียว่า ต่อไปพี่ทำงาน จะเอาเงินมาให้ ทุกงานจะเอามาให้หมดเลย"
พลพล ระบุถึงสัญญา ที่เขาให้ไว้กับภรรยา และไม่เคยบิดพลิ้ว นับตั้งแต่ครองรักกันมากว่า 16 ปี สมกับที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ชายมาดอบอุ่น
"ไปทำงานนะครับ รับเงินมา ในสมองตอนเช้ากี่โมงจะต้องโอนแล้ว แบบนี้เลย คือแบบโอนตอนไหนเขาจะดีใจสุด ตอนนอนไม่โอนนะ ตื่นก่อน พอติ๊งเห็น อันนี้คือแบบคิดแบบนี้เลย"
"นั่นคือความสุขมากเลย"
พลพล บอกว่า ทุกวันนี้ไปทำงานหาเงินมาได้เท่าไหร่ โอนให้เมียเก็บทั้งหมด นี่คือ "ความสุขที่หัวใจบอกว่าสุขจริง"
"ถ้าได้ทิปมา จะเอามาให้ลูกต่างหาก ส่วนค่าตัวก็ให้แม่ไป ก็เลยกลายเป็นแบบว่า เออมันมีความสุข กับการที่ทำตรงนี้ เราทำให้เขาและครอบครัวเชื่อมั่นในตัวเรา ทำให้เขามีความสุข ความสุขก็หวนกลับมาหาเราเต็มๆ"
"ก่อนหน้านี้ หาเงินได้เยอะกว่าช่วงหลังนี้ด้วยซ้ำ แต่เงินไม่เหลือ แต่ตอนนี้หาเงินได้เท่าไหร่ก็เหลือ เพราะว่าไม่ได้ใช้เงินเหมือนเดิม ไม่มือเปิบเหมือนเดิม ไม่ดื่มเหล้า ไม่ไปเที่ยวเตร่"
"คือ รษา เนี่ยเข้ามาช่วยจัด ความเป็นระเบียบ ของบ้านให้เป็นครอบครัว"
"เงินอยู่กับผมยังไงก็หมด"
"ให้เมียเก็บดีแล้ว เวลาเราอยากได้อะไร ก็แม่พ่อขอตังค์หน่อย น่ารักจะตาย"
"เขาเองก็ไม่ได้เอาไปใช้ส่วนตัว ทุกบาททุกสตางค์ก็ใช้จ่ายในครอบครัวนี่แหละ"
ในการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ พลพล บอกว่า การที่ได้ภรรยาดี ส่งผลให้การเดินทางของเขาราบรื่น สวยงาม
"ลูกชายตอนนี้อายุ 14 ปีแล้ว เขาเกิดมา ทำให้ความรักระหว่างพ่อกับแม่สมบูรณ์มากขึ้น จากที่เรารักกันอยู่แล้ว มีคนนี้ขึ้นมาทำให้เป็นแบบสามเหลี่ยมทองคำเลย"
พลพล บอกต่อว่า เมื่อค้นพบความสุขที่แท้จริงแล้ว เขาไม่ยอมเสียไปแน่นอน ตั้งอกตั้งใจรักษาไว้ให้เป็นอมตะ ทุกวันนี้ออกไปสร้างความสุขนอกบ้านอย่างไร ก็กลับมาสร้างความสุขในบ้านให้มากเท่านั้น
"เราทำงานนอกบ้าน ภรรยาทำงานในบ้าน ดูแลลูก เรามีหน้าที่ไปสร้างสุขข้างนอก แล้วเรายังมีหน้าที่ มาสร้างสุขข้างใน ให้กับลูกเมียด้วย อยากให้ครอบครัว มีความสุขตลอดเวลา ไม่มีความตึงเครียด"
"สร้างสุขข้างนอกแบบไหน สร้างสุขในบ้านแบบนั้นเลย มีเสียงหัวเราะทุกวัน เจอกันฮัลโหลคุยกันเหมือนเพื่อน ลูกทุกวันนี้ตบหน้า คุยกัน ขี่คอได้ สนุกสนาน"
"ลูกไม่ต้องกลัวพ่อแม่ แค่ให้เกรงใจ ให้เกียรติกัน ก็โอเคแล้ว เขาจะไม่ปิดบังเราเลย เขาจะบอกเราทุกอย่าง เขาจะแบบปรึกษาเราทุกอย่างเลย คุยกันได้สบาย"
23 ปีบนถนนดนตรี พลพล พลกองเส็ง เป็นหนึ่งในศิลปินที่มีงานคอนเสิร์ตไม่เคยขาด
เขาระบุว่า สิ่งสำคัญ น่าจะเป็นเพราะบทเพลงที่เขาขับร้อง เป็นเพลงที่ฟังง่าย หลายคนร้องตามได้ และยังคงตราตรึงอยู่ในหัวใจของแฟนๆ มาโดยตลอด ไม่ว่าโลกจะเคลื่อนตัวไปข้างหน้ารวดเร็วเพียงใดก็ตาม
"มันเป็นเพลงที่แบบหลายๆ คนอยากได้ยิน หลายๆ คนฝึกกีต้าร์ จีบสาวด้วยเพลงพลพล เอาเพลงพลพลไปง้อแฟน มันก็เลยทำให้เพลงนี้ติดหู ตราตรึงอยู่ในใจตลอดเวลา"
"ตั้งแต่วันแรก จน 23 ปีผ่านมาเนี่ย ไปเล่นคอนเสิร์ตทุกคนร้องตามได้ เพลงเหล่านี้ยังอยู่ตลอดเวลา บางเพลงหลายๆ คนอาจจะลืมไปแล้ว แต่ว่าเพลงพลพล คนเดินถนน ขอให้โชคดี ห่วงใย คนไม่สำคัญ ชั่วฟ้าดินสลาย ยังยิ้มได้ ใจคอ เพลงเหล่านี้ ถ้าไปงานไหนแล้วไม่ร้อง ไม่ได้กลับนะ"
"23 ปีที่ผ่านมา มันก็ยังไม่มีช่วงไหนที่เราหยุดรับงานเลยนะ จะไม่มีช่วงเดี๋ยวทำอัลบั้ม หยุดรับงาน คอนเสิร์ตนี่มันเป็นอะไรที่แบบ ถ้ารับได้รับเลย เพราะบางงานมันย้อนกลับมาไม่ได้ และมันเป็นรายได้ให้กับครอบครัว"
"เราอยู่ด้วยอาชีพนี้แล้ว ห้ามเหนื่อย ไม่ใช่รวยแล้วเหนื่อยง่าย ไม่ได้"
อัลบั้มภาพ 6 ภาพ