คุยกับ Tippsy ในวันที่รู้ตัว (แอบ) ช้าว่ารักอาชีพศิลปิน และเจอโจทย์ยากกับ genie records | Sanook Music

คุยกับ Tippsy ในวันที่รู้ตัว (แอบ) ช้าว่ารักอาชีพศิลปิน และเจอโจทย์ยากกับ genie records

คุยกับ Tippsy ในวันที่รู้ตัว (แอบ) ช้าว่ารักอาชีพศิลปิน และเจอโจทย์ยากกับ genie records
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ช่วงโควิด-19 แม้ศิลปินจะออกมาแสดงไม่ได้ แต่ค่าย genie records ก็ได้ปล่อยคลื่นลูกใหม่ออกมาซัดวงการเพลงเต็มๆ อย่างเช่น Tippsy หรือ ทิปซี่-นัทธมน ทองชิว เป็นศิลปินเสียงชวนฝันที่มีเอกลักษณ์ที่ได้เข้ามาจากโปรเจกต์ GMM Audition 2020 และมากับเพลง "Lonely City" และ "โอ้ความรัก" ที่มีการใช้ซาวด์และภาษาที่น่าสนใจ ประกอบกับเสียงของ Tippsy ที่ฟังแล้วเคลิ้มตาม

และล่าสุดตัวของ Tippsy ก็มากับผลงานเพลง “ที่ชอบ ที่ชอบ” ที่มากับความร็อคมากขึ้นอย่างชัดเจน จนเราอยากรู้ว่าอะไรคือเบื้องหลังการทำงานของเธอ และทัศนคติภายใต้ 3 ซิงเกิล ซึ่งยิ่ง Sanook Music ได้พูดคุยกับเธอ เราก็ได้พบเรื่องน่าแปลกใจแต่ก็สามารถเป็นแรงบันดาลใจให้กับหลายคนได้ในเวลาเดียวกันจากปากของ Tippsy

Tippsy มาสนใจเรื่องดนตรีได้อย่างไร 

Tippsy  : จริงๆ พี่สาวสองคนก็ร้องเพลง คุณแม่ก็สนับสนุนการร้องเต้น มาจากครอบครัวนี่แหละ แต่คิดว่าไม่ได้เก่ง ได้สวย ไม่ได้คิดจะเข้าวงการก็ไปทำอย่างอื่น ไปเข้าคณะสถาปัตย์ วาดรูปเหมือนกัน ก็ไปเรียนสถาปัตย์เพราะพี่สาวของทิปเรียนดุริยางคศิลป์ทั้งคู่ เป็นนักร้อง ครูสอนร้องเพลง เลยอยากไปลองเส้นทางอื่น แต่พอเราไปลองใช้ชีวิตก็รู้สึกว่าจริงๆ เราชอบร้องเพลง ยิ่งโต ยิ่งเห็นมากขึ้น อย่างสมัยก่อนคนร้องเพลงต้อง ปาน ธนพร ต้องเสียงเพราะๆ มีพาวเวอร์ ต้องอะไรแบบนี้ แต่เราไม่ใช่ เราเลยคิดว่าเราไม่ได้ แต่พอเราโตขึ้นเราได้เห็นคนมีเสียงเอกลักษณ์ และคนมีเสียงเพราะไม่ได้มีแบบเดียว เราฟังผู้หญิงเสียงคล้ายเราก็เป็นนักร้องได้นะ ก็เริ่มๆ สนใจแต่งเพลงเป็นนักร้องค่ะ 

เราเริ่มฝึกฝนอย่างไรในเส้นทางนี้ 

Tippsy : จริงๆ เราก็ร้องกับพี่ๆ ตอนเด็กๆ มาเรื่อยๆ แต่เราไม่ได้คิดจะเป็นนักร้อง พอมาอยู่มัธยมปลาย มหาวิทยาลัย มีงานมีอะไรก็ตั้งวงกับเพื่อน ขึ้นเวทีเล่นๆ จริงๆ ก็ต้องฝึกเยอะ เราแค่ร้องเพลงเล่นๆ ค่ะ และเราชอบเล่าเรื่องอ่านบทกวี มันคงสะสมและตกผลึกมาเอง เรามีเรื่องราวที่อยากเล่า ก็เล่าเป็นเพลง คือถึงเราไม่ได้ติวมา แต่เราตอนมัธยมต้นก็เรียนนาฎศิลป์มา ก็มีขับร้องสากล และ เปียโน กีตาร์บางนิดๆ หน่อยๆ ก็ช่วยในการทำเพลงค่ะ 

การเป็นศิลปินอิสระช่วงแรกมีความยากอย่างไร 

Tippsy : ตอนทำเพลงเอง ความยากคือเราไม่มีความรู้มากพอ ไม่มีคนช่วย ก็ต้องค่อยๆ จิ้มใน Garageband ได้แค่นี้ ไม่ได้ตามที่เราอยากให้เป็น มันได้เท่าที่สกิลล์เรามี มันยากตรงที่เราทำให้ได้แบบที่ต้องการไม่ได้ เพราะเรายังเก่งไม่พอค่ะ ตอนแรกทำ “Like a Virus” เป็นเพลงแรก และ GMM เปิดออดิชั่นแล้วเราก็ส่งออดิชั่นค่ะ ตอนแรกส่งคลิปเพลงเข้าไป อัดคลิปเล่นเพลงตัวเองและคัฟเวอร์ ก็โทรมาว่าผ่านออดิชั่น ต้องมาที่ GMM Live House ก็เตรียมไปเล่นบนฮอลล์ค่ะ ก็มันยังงงๆ เหมือนเป็นออดิชั่นปิด ไม่ได้เป็นแบบ The Star และ The Voice Thailand ก็เรียกไปคุยประวัติ ว่าทำแบบนี้ๆ จะเป็นแบบนี้นะ เสร็จแล้วก็กลับบ้านแล้วเขาโทรให้ไปคุยที่ GMM เราก็แบบ “เอ๊ะนี่ได้หรือยังนะ” เหมือนมันไม่ได้ปุบปับ ก็จะแบบมีความรู้สึก “ได้ยัง ได้ทำหรือยัง” 

เรานิยามตัวเองในยุค “Lonely City” และ โอ้ความรัก” ไว้ในรูปแบบไหน 

Tippsy  : เหมือนเราใสๆ เด็กๆ ก็คิดว่าเราต้องแต่งเพลงเยอะๆ เพื่อรู้ว่าเพลงไหนที่เราถนัด และ เป็นแนวของเราเพราะก่อนเข้ามาทิปไม่มีประสบการณ์มาก่อน แต่งมาแค่เพลง 2 เพลง พอเข้ามาเขาก็ให้แต่งและมาเลือก ก็แต่งมา 6-7 เพลง “Lonely City” และ โอ้ความรัก” ก็เหมือนการทดลองว่าแนวนี้เป็นอย่างไร เพราะเราใหม่มาก เรารู้สึกเขาปล่อยอิสระ และเขาไม่ค่อยแก้อะไร อาจเป็นเพราะพี่ ณัฐ Klear (ณัฐวัฒน์ แสงวิจิตร) โปรดิวเซอร์ช่วงแรกดูมาสเต็ปแรก ตอนแต่งมาแต่งด้วยกัน ของทิปก็ราบรื่นแฮปปี้ กับพี่ณัฐก็เจอตั้งแต่ออดิชั่นเพราะมีพี่ๆ แต่ละค่ายมาออดิชั่นมาช็อปปิ้งว่าอยากทำเพลงให้ใคร ทิปว่าพี่ณัฐเป็นรุ่นพี่ที่คณะสถาปัตย์ ก็คงคิดว่ามีเรื่องที่รีเลทและแชร์กันได้ เลยคิดว่าเขาอาจทำให้เราเปิดใจคุยกันง่าย เลยเป็นจุดเริ่มต้นให้ค่ายทำงานกับณัฐ 

รุ่นพี่ ณัฐ Klear ช่วยเราในการทำงานอย่างไร 

Tippsy : ช่วยเยอะมากค่ะ เพราะทิปไม่รู้เลยว่าวงการเพลงทำงานอย่างไร ไม่รู้ว่าคอนเสิร์ตต้องทำอะไร แบ็คอัพเตรียมตัวยังไง แต่งเพลงเสร็จเพลงหนึ่งแล้วไปไหนต่อ เราไม่ได้คิดเลยว่าเพลงจะต้องเล่นยังไง ภาพเอ็มวีต่างๆ อีก นอกจากพี่ณัฐ ก็ได้พี่ๆ ที่ genie records ช่วย ตอนนี้ก็เพลงที่ 3 แล้ว ก็ทำเองมากขึ้นเพราะรู้ว่าเพลงต้องผ่านขบวนการนี้ แล้วเพลงที่แล้วมีอะไรผิดพลาดต้องแก้แบบนี้ๆ เพลงต่อไปเข้าไปอยากขออะไร ก็รู้สึกเยอะกับทุกขบวนการค่ะ (หัวเราะ) 

การที่เราจบจากสถาปัตย์มา มันช่วยเรื่องพาร์ทงานศิลป์หรือภาพไหม 

Tippsy : มันเป็นพาร์ทการตัดสินใจว่าเราจะเอาแบบนั้น แบบนี้ แต่อย่างทุกๆ งานก็มีอาร์ตไดเร็คเตอร์ มีพี่เติ้ล The Whitest Crow (ไตเติ้ล-ปฏิภาณ สุวรรณสิงห์) ก็มาดูแลส่วนของเอ็มวี ก็ส่งงานมาแล้วเราก็แบบ “เอาแบบนี้”, “เปลี่ยนตรงนี้หน่อยได้ไหมค่ะ” หรือ “ตรงนี้ไม่ชอบ” แต่ส่วนใหญ่พี่ๆ เขาทำงานดีอยู่แล้วค่ะ อาจจะเป็นไอเดียว่าเราชอบสีแบบนี้ กับพี่เติ้ลเราเจอตั้งแต่ตอนเปิดซิงเกิล หลังจากนั้นก็จับๆ กลุ่มๆ ร็อครุ่นใหม่ก็เจอ The Whitest Crow, Wallrollers Tippsy ก็โดนจับแก๊งค์ พอเจอกันก็สนิทกัน พอมีคอนเสิร์ตเพลง “แทงรัก” ก็มาฟีทกัน ก็ได้เรียนรู้อะไรเยอะ เพราะ Tippsy ยังไม่เคยมีโชว์ของตัวเอง พอไป “แทงรัก” กับ The Whitest Crow ก็รู้ว่าเราต้องมีเซ็ทติ้งแบบนั้น แบบนี้ค่ะ 

เพลง “ที่ชอบ ที่ชอบ” มีที่มาอย่างไร

Tippsy  : จริงๆ เราเป็นคนแบบนี้ แต่คนไม่ได้เห็นไม่ได้เจอ ก็ไม่รู้จะเอาด้านเกรี้ยวกราดออกมาทำไม และทำงานกับพี่ อู๋ The Yers (ยศทร บุญญธนาภิวัฒน์) เขาก็ดึงด้านเท่ๆ ขมๆ ของเราออกมาได้ค่ะ ก็มองว่าน่าสนใจและเอาด้านนี้ของ Tippsy ออกมาดีกว่าค่ะ ความสะใจอะไรอย่างนี้ คนจะได้รู้จักเรามากขึ้น คือคนที่ขมๆ มาเจอกัน มันจะดึงด้านขมๆ ออกมา และเพลงที่พี่เขาทำมันเหมาะกับด้านนี้ของเราด้วย เขาไม่ได้ทำให้เราเป็นคนรุนแรง เราก็เป็นแบบนี้ แต่มันด้านดนตรีและเมโลดี้ที่ชัดขึ้น ต่างจากพี่ณัฐที่เป็นคนน่ารักๆ นุ่มนิ่ม อย่าง โอ้ความรัก” จะฝันๆ พอเปลี่ยนโปรดิวเซอร์ ผลงานก็เปลี่ยนไปด้วย คนเราไม่ได้เป็นแบบไหนแบบหนึ่งค่ะ จริงๆ มันก็เริ่มจากเพลง “แทงรัก” ที่ทำกับ The Whitest Crow ที่ทำให้เรารู้ว่าเราชอบแบบนี้นะ มันเท่ดี คือภายนอกเรายิ้มๆ แต่เรารู้สึกสนุกกว่าเวลาร้องเพลงร็อคๆ เข้มกว่า มันเอนเตอร์เทน มันสุดกว่าค่ะ 

ตอนนี้ก็มีคนที่รู้จัก Tippsy จากเพลงใหม่ และบางทีจากเพลงเก่า เรากังวลคำวิจารณ์เรื่องการเปลี่ยนแนวไหม 

Tippsy : ส่วนตัวไม่กังวล เพราะในอนาคตเราก็จะได้เห็นภาพใหม่ๆ ของทิปอีก เราเชื่อว่านะ การรู้จักใครสักคนมันใช้เวลา มันก็จะได้เห็นว่าภาพรวมเป็นยังไงค่ะ ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นอย่างไร ไม่ใช่แค่ “Lonely City” ไม่ใช่ “โอ้ความรัก” หรือ “ที่ชอบ ที่ชอบ” แต่เป็นทุกอย่างค่ะ 

ก่อนหน้านี้ทีม Sanook ได้ดู Tippsy ขึ้นโชว์งาน genie YOUNG PLAY วันนั้นเป็นอย่างไร 

Tippsy : อันนั้นถือเป็นคอนเสิร์ตใหญ่ คอนเสิร์ตแรกของทิปเลยไม่เคยขึ้นมาก่อน แต่ด้วยความที่มีพี่ ปั๊บ POTATO (พัฒนชัย ภักดีสุข) แฟนคลับที่มาเชียร์และพี่ณัฐ ทุกคนอยู่ข้างเวทีซัพพอร์ต และพี่แบ็คอัพก็โปร ก็รู้สึกดีที่มีคนซัพพอร์ตเราอยู่รอบด้านทำให้เราสนุกและเอนจอย ก็แฮปปี้นะ รู้สึกดีค่ะ อย่างที่บอกเราใหม่มากๆ ก็ฟอร์มแบ็คอัพเด็กๆ รุ่นใหม่มาเล่นให้ Tippsy ก็ซ้อมและมีสคูลทัวร์ให้ลองท่าใหม่ๆ ว่าทำแบบนี้พูดแบบนี้ สื่อสารอะไรใหม่ๆ จะสื่อสารยังไง เรียงเพลงยังไง เอาเพลงออกไปทำอย่างไรค่ะ ก็ตื่นเต้นและกลัวทุกครั้งที่ขึ้นเวที หลายๆ วงทำเพลงมาก่อนแล้ว ทำมาตั้งแต่ม.ปลาย หลายคนรู้แล้วว่าต้องการสิ่งนี้ และทำๆ มา เคยอยู่ค่ายนู้นนี้มาก่อน คือมาเริ่มกับ genie records เป็นศูนย์ก็กดดัน ขึ้นคอนเสิร์ตก็กลัวพลาด แบบเอียร์มอนิเตอร์ต้องซื้อด้วยเหรอ (หัวเราะ) ก็พยายามตาม ก็เริ่มรู้แล้วค่ะ (หัวเราะ)

ในฐานะคนที่เจอความท้าทาย อยากให้ฝากถึงคนที่กลัวการเปลี่ยนแปลงหน่อย 

Tippsy : ทิปว่าเราทำอะไรล้มเหลวมาเยอะ ทั้ง VLOG สอนร้องเพลง สอนแต่งหน้า ทำหลายอย่างเลย สุดท้ายถ้าเราทำเรื่อยๆ ไม่มีล้มเหลวหรอก สุดท้ายเราชอบอะไร และทำได้นาน เราก็อยู่กับสิ่งนั้นไปและเดี๋ยวมันจะได้เอง เราไม่ได้คิดว่าตัวเองล้มเหลว แต่เราแค่ล้มเลิกเท่านั้นเอง ก็รู้สึกว่าทิปทำสิ่งอื่นก็ประสบความสำเร็จได้ แต่เราเลือกมาร้องเพลงเอง ว่าทำอันนี้แหละ อยากให้ลองค่ะ 

เป้าหมายการเป็นศิลปินคืออะไร 

Tippsy : ทิปมาสองสเตจของความคาดหวัง คือ To The Moon ไปเลย กับแบบ Realistic จับต้องได้หน่อย คือเราหวังว่าจะมีค่ายก็หนึ่งสเต็ปแล้ว ก็เป็นฝันของหลายคนแล้ว ก็อยากเป็นที่รู้จักของคนในประเทศ อยากทำเพลงสากลและออกไปต่างประเทศ ก็มีความหวังทุกปีว่าจะได้ไปเวิร์ลทัวร์ (หัวเราะ) 

Photo : Ditsapong K.

อัลบั้มภาพ 18 ภาพ

อัลบั้มภาพ 18 ภาพ ของ คุยกับ Tippsy ในวันที่รู้ตัว (แอบ) ช้าว่ารักอาชีพศิลปิน และเจอโจทย์ยากกับ genie records

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook