ชีวิตจริง "บักเจิด" จากเด็กวัดสู่พระเอก 600 ล้าน สู้เพื่อรักษาพ่อไม่ให้ตาบอด
เน็ค นฤพล นักร้องลูกทุ่งอีสาน ผู้รับบท "บักเจิด" พระเอกภาพยนตร์เรื่อง "สัปเหร่อ" กำลังโกยรายได้ถล่มทลาย ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าว Sanook.com ว่า เส้นทางเข้าสู่วงการบันเทิงเป็นไปอย่างทุกลักทุเล
นักร้องสังกัดค่ายแกรมมี่โกลด์เล่าว่า พื้นเพเป็นคน อ.ศรีขรภูมิ จ.สุรินทร์ ช่วยพ่อแม่ทำไร่ทำนามาตั้งแต่เด็ก ผ่านการชกมวย และเดินสายร้องเพลงหารายได้ จนเติบใหญ่ได้เดินทางเข้ามาตามความฝัน แต่ต้องพับเก็บไว้ก่อน เมื่อรู้ว่าพ่อใกล้สูญเสียการมองเห็น
"ช่วงเวลาที่ผมเข้ากรุงเทพฯ แรกๆ ผมทำงานเซเว่นฯ ก่อนที่จะไปประกวดไมค์ทองคำ พ่อเป็นเหมือนตาแกใกล้จะมองไม่เห็นแล้ว เป็นต้อเป็นอะไรประมาณนี้ครับ ถ้าไม่ได้รับการรักษา ตาจะบอดครับ"
เน็ค เล่าต่อว่า ห้วงเวลานั้นเขาทำทุกวิถีทางเพื่อเก็บเงินให้ได้มากที่สุด เพราะอยากมีเงินพาพ่อไปรักษาตา ทำงานเยอะขึ้นกินน้อยลง แต่เงินในกระปุกยังห่างไกลจากจำนวนค่ารักษา
"เงินเดือนก็ไม่ได้เยอะ ผมก็กินน้อย บาทต่อวันเท่านั้นเลย ในใจผมท่องว่าต้องเก็บเงิน"
"การที่พ่อกลับมามองเห็นได้ชัดเหมือนเดิม มันคือความสุขของคนเป็นลูก"
เขาตัดสินใจสมัครเข้าแข่งขันร้องเพลง รายการไมค์ทองคำ ซีซั่น 2 เพราะอยากได้เงินสักก้อนมารักษาตาให้พ่อ
ในการประกวดแม้เขาไม่ได้ยืนบนโพเดี่ยม แต่ก็ได้ "ครูสลา คุณวุฒิ" แนะนำทางสว่างให้ เขายกเป็นรางวัลยิ่งใหญ่ในชีวิตเด็กบ้านนอก เติมเต็มการทำหน้าที่ลูกกตัญญูให้กับผู้ให้กำเนิด อีกทั้งครูสลายังอ้าแขนรับเป็นนักร้องค่ายลมพัดไผ่ ก่อนผลักดันเข้าสู่ค่ายแกรมมี่โกลด์ ตามลำดับ
"ผมไปประกวดรายการไมค์ทองคำ ซีซั่น 2 ผมก็เลยได้เอาความฝันตรงนี้ ไปเล่าให้คุณครูสลา ฟังบนเวที ครูสลาก็เลยบอกว่า บักหล่า (ลูกชาย) ไปรักษาตาที่วัดไร่ขิง (โรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์) เรื่องค่าใช้จ่ายครูจะดูแลเอง ผมพูดอยู่ผมก็ยังขนลุกเลย ผมกราบ ก้มกราบลงตรงนั้นเลย เพราะการที่ผมมารายการนี้ อยากได้รางวัล เพื่อที่จะไปรักษาตาให้พ่อ"
นักร้องหนุ่ม เล่าต่อว่า หลังจากพ่อได้รับการรักษา กลับมามองเห็นปกติแล้ว เขาเข้าไปเป็นเด็กวัดไข่ขิง ด้วยความตั้งใจอยากตอบแทนพระคุณ พระธรรมวชิรานุวัตร หรือ เจ้าคุณแย้ม เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง ที่ให้ความเมตตาพ่อของตน
"ผมไปเป็นเด็กวัดไร่ขิง 3-4 ปี วัดไร่ขิงตอนนั้นน่ะก็จะมีกิจกรรม สานฝันเพื่อน้องพี่ร้องน้องสุข ก็จะหาเงินจากการเปิดหมวกของพวกผม ไปให้น้องๆ ในถิ่นทุรกันดาร ไปช่วยเหลือเด็กที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ทางการศึกษา ครูสลาบอกว่า เราจะได้ไปฝึกฝนตัวเองด้วย"
"เสาร์ อาทิตย์ ก็เปิดหมวกร้องเพลง เพื่อหาทุนการศึกษาให้น้องๆ จันทร์ถึงศุกร์ก็ขายของอยู่ที่วัดไรขิงครับผม พอผมได้ทำงานกับแกรมมี่ฯ มากขึ้น ผมก็ได้ไปกราบลาหลวงพ่อ ท่ายก็ให้พรของให้โชคดี ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ผมทำหลายเพลงมาก กว่าจะมีเพลงเจ็บส่ำฟ้า"
กับการได้มารับบทบักเจิดในสัปเหร่อ เน็ค บอกว่า "เกินฝัน" และอธิบายต่อว่า ที่ผ่านมาติดตามภาพยนตร์ไทบ้าน เดอะซีรีส์ มาทุกซีรีส์ เพราะชื่นชอบในความเรียล และความเป็นธรรมชาติ อยากเป็นเสี้ยวหนึ่งในปผลงานการสร้างของ "จักวาลไทบ้าน" พอได้รับเลือกให้เป็นนักแสดงนำ จึงรู้สึกว่า "มันเกินฝันของเราไปมาก"
"ทางไทบ้านฯ ติดต่อมาเนี่ย ผมมีความรู้สึกว่า เฮ้ยไทบ้านเดอะซีรีส์นะ หนังเป็นจักรวาลที่เราติดตามมา ตั้งแต่ภาคแรกของเขา ผมถึงขั้นที่คุยกับทีมงานของแกรมมี่ ถ้าเขาเอาผมเนี่ย พี่ลดค่าตัวให้เขาหน่อยได้ไหมครับ อยากเล่นจริงๆ น้อยลงไม่เป็นไร ขอแค่ให้ผมได้เล่น"
"ตัวเน็คเองเป็นเด็กที่สไตล์การแต่งตัว หรืออะไรก็แล้วแต่ มันมีความเป็นไทบ้าน มีความบ้านนอกอยู่ เราก็อยากเป็นส่วนหนึ่ง ของการที่จะถ่ายทอดวัฒนธรรมอีสาน ได้อยู่ เสี้ยวหนึ่งของเขาก็ดี พอผมได้รับบทมาเต็มๆ ผมอุทานกับตัวเองเลยว่าแบบ ห่ากินหัวมึงเอ๊ย มันเป็นความรู้สึกคล้ายๆ แบบ ว้าวจริงเหรอวะ"
"คือบทมันไม่ใช่แค่เดินผ่านน่ะครับ เป็นตัวหลักอีกตัวหนึ่ง ผมจะเล่าในเรื่องของความรักที่เกี่ยวกับครอบครัว เซียงจะเล่าเรื่องความรักเกี่ยวกับชู้สาว ณ เวลานี้ที่ผมนั่งสัมภาษณ์อยู่ ผมก็รู้สึกว่า กูฝันไปหรือเปล่าวะ"
"คือมันหลายปีมาแล้ว ต่อจากพี่มาก ไม่มีใครทำหนังแล้วประสบความสำเร็จ ได้มียอดรายได้ถึงตอนนี้ ขณะที่เราอัดอยู่ก็ 600 ล้าน มันจริงเหรอวะ คือเราไม่ใช่นักแสดงที่มีชื่อเสียง หรือดังหรือเป็นแม่เหล็กที่สามารถดึงดูดคน"
"นี่แหละครับผมถึงบอกว่า เพราะเป็นความเรียลของพวกเราหรือเปล่า ความเป็นอีสาน ความเป็นไทบ้าน ความสื่อสารออกมาด้วยความจริงใจหรือเปล่า มันทำให้มันทำให้ผลตอบรับออกมาแบบนี้"
เน็ค บอกอีกว่า ในฐานะที่เป็นลูกอีสาน รู้สึกภาคภูมิใจ ที่ได้ถ่ายทอดวิถีชีวิต ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี และพิธีกรรม ของคนอีสาน ที่สอดแทรกอยู่ในภาพยนตร์เรื่องสัปเหร่อ ให้คนรุ่นใหม่ได้รับรู้ว่ามีสืบทอดกันมาแต่โบร่ำโบราณ รวมทั้งได้ถ่ายทอดให้สัมคมวงกว้างได้เห็นคุณค่าของอาชีพสัปเหร่อ เป็นอาชีพที่มีเกียรติ และมีศักดิ์ศรีเฉกเช่นเดียวกันกับอาชีพอื่นๆ
"ดีใจ ภาคภูมิใจ ครั้งหนึ่ง เราก็ได้มีชื่อจารึกไว้ว่า เป็นนักแสดงหลายร้อยล้านนะ หนังเรื่องนี้ มันทำให้ใครหลายๆ คน รู้ว่ามันมีด้วยเหรอพิธีกรรมโยนไข่ มันมีด้วยเหรอพิธีกรรมซ้อนขวัญ หรืออะไรหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่างที่ผู้กำกับ และทีมงาน ได้ยกไปสอดแทรกไว้ในหนัง"
"เด็กยุคใหม่เนี่ยอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำ อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันมีพิธีกรรม มันมีประเพณีนี้ไหนอีสานด้วยเหรอ ผมเนี่ยถ่ายหนังเรื่องนี้จบ ผมสามารถเป็นสัปเหร่อได้จริงๆ คาถาทุกคาถา ผมท่องได้ เพราะต้องเต (ผู้กำกับ) บอกว่า พี่ครับ พี่ท่องให้ได้นะครับ ผมอยากให้ท่องให้ได้ครับ ผมอยากให้มันจริงที่สุด"
"ยกตัวอย่าง เราจะเก็บอัฐิจะท่องประมาณว่า อิมัสมิงกาเย เกศา โลมา นะขา ซึ่งมันยาวมาก แล้วก็มีอีกหลายๆ คาถา เช่น แบบตอนสับโลง ตอนเอาผีเข้าโลง ทำนู่นนี่นั่น ผมมองว่า อาชีพนี้เป็นอาชีพที่มีคุณค่า ทำงานกับความตาย ผมว่ามันมีไม่กี่คนหรอกที่จะแบบเสียสละ"
"เงินเดือนก็ไม่ได้ แล้วก็เลือกปฏบัติไม่ได้ด้วย เขาจะตายจะเสียชีวิตในรูปแบบไหนเราก็ต้องทำ ก็ต้องดูแล เขาเผาก็ต้องอยู่เป็นเพื่อนเขา อยู่แบบเขี่ยศพเขี่ยอะไรให้เป็นกระดูกออกมาจนเสร็จสรรพเรียบร้อย เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่มีเกียรติ มีความเสียสละที่งดงาม"
อัลบั้มภาพ 12 ภาพ