คุยกับ Newery กับชีวิตภาคต่อ “กลิ่นดอกไม้” ที่ไม่หอมหวานแบบที่หลายคนคิด | Sanook Music

คุยกับ Newery กับชีวิตภาคต่อ “กลิ่นดอกไม้” ที่ไม่หอมหวานแบบที่หลายคนคิด

คุยกับ Newery กับชีวิตภาคต่อ “กลิ่นดอกไม้” ที่ไม่หอมหวานแบบที่หลายคนคิด
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เส้นทางความสำเร็จของศิลปินยุคปัจจุบัน หลายๆ คนจะเริ่มจากการมีเพลงฮิตของตัวเอง แต่ในมุมของ Newery (นิว-วิศรุต ณ นคร) เส้นทางของเขากลับเริ่มจากการมีเพลงฮิต แต่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นคือ เพลงที่เขาทำไว้เมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว และได้ผลตอบรับค่อนข้างดีระดับหนึ่งในวันนั้นอย่าง “หลงรัก” และ “กลิ่นดอกไม้” กลับกลายเป็นเพลงฮิตระดับปรากฏการณ์ในปี พ.ศ. 2566 และเปิดโอกาสมากมายให้เขา 

และจากวันนั้น ทำให้ทาง Sanook ได้มาพูดคุยกับ Newery ถึงชีวิตก่อนและหลังผลงานเปลี่ยนชีวิต รวมถึง DNA ทางดนตรี ซึ่งทำให้เรารู้เลยว่าแม้จะมีเพลงที่คนรู้จักทั่วประเทศ แต่เส้นทางเขายังคงมีหลายสิ่งที่ขาดหายและอยากมีให้ได้ในเร็ววัน  

อะไรคือจุดเริ่มต้นในการเป็นศิลปินของนิว 

Newery : จุดเริ่มมาจากเราคลุกคลีกับดนตรีตั้งแต่เด็กๆ 5 ขวบพ่อก็ส่งไปเล่นเปียโน พอมัธยมต้นก็มาตั้งวงดนตรีกับเพื่อน ก็เล่นกีตาร์ เล่นเปียโนบ้างบางวง พอเข้ามหาวิทยาลัยก็ไม่รู้จะทำอะไรนอกจากดนตรี ก็ไปเข้าคณะดุริยางคศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร สาขาดนตรีพาณิชย์ ก็ต้องทำเพลงส่งอาจารย์ครับของปี 1 ก็ลองทำดู และก็ร้องเอง เป็นเพลง “หลงรัก” พอทำส่งก็รู้สึกว่าเพลงนี้ไปได้ ก็เอามาลงเล่น ผลตอบรับดีเกินคาด ผมเลยคิดว่ามาทางนี้ได้ เลยมาทางศิลปิน แต่ตอนแรกไม่ได้คิดอะไรเลย ก็แค่เข้ามาเรียนและส่งอาจารย์และรู้สึกว่าชิ้นงานเราชอบ เอามาลงเล่นและช่วงแรๆ คนดูเป็นหมื่น ก็มีกำลังใจเลยมาเป็นศิลปินดีกว่าครับ ก็ 4-5 ปีมาแล้ว เป็นเพลงแรกและเป็นเพลงดัง 

มาอยู่ Whattheduck แล้วเป็นอย่างไร การทำงานเปลี่ยนยังไงบ้าง

Newery : มันจะมีช่วงที่อิสระและอยู่ค่าย ช่วงโควิด-19 ที่ตื้อๆ ก็คิดเพลงเก็บไว้ และปล่อยมาครับ ก่อนเพลง “กลิ่นดอกไม้” ก็มีพี่ บอล (ต่อพงศ์ จันทบุบผา) ติดต่อมาอยู่แพลตฟอร์ม MILK.bkk แต่ติดหลายอย่าง ติดค่าย แต่ปีนี้เพลง “กลิ่นดอกไม้” เป็นกระแสขึ้นมา พี่ มอย (สามขวัญ ตันสมพงษ์) ก็สะดุดหูกับเพลงนี้ ก็ชวนมาอยู่ What The Duck เลยครับ ผมชอบกว่าตอนอยู่อิสระ เพราะอิสระเราไม่มีคนซัพพอร์ต ไม่มีคนช่วยพาไปออกสื่อ หรือผลักดันเรา และเราตัวคนเดียว พอมีค่ายก็เหมือนอิสระ แต่มีคนให้คำปรึกษาว่าไปทางนี้ ทำแบบนี้สิ มีคนขายงาน ส่งไปสื่อนี้ๆ ได้คลุกคลีกับพี่ๆ ที่มีความสามารถได้แรงบันดาลใจด้วยครับ 

เรานิยามแนวเพลงอย่างไร 

Newery : เป็นแนวป็อปที่ผสมความย้อนยุคและเก่า อย่าง “กลิ่นดอกไม้” มีความเก่าแบบไทยสมัยก่อน ดนตรีก็ร่วมสมัย ผสมดนตรี Traditional แบบกู่เจิง ก็เป็นแนวป็อปที่มีย้อนยุคครับ 

เพลง “กลิ่นดอกไม้” มีที่มาอย่างไร มันเปลี่ยนชีวิตเรายังไงบ้าง มีเกร็ดอะไรจากเพลงนี้ที่แฟนๆ ไม่รู้ไหม

Newery : ก็เป็นเพลงที่ 2 ที่ปล่อยหลังเพลงหลงรัก ก็มีความรู้สึกคิดถึง ก็นั่งเล่นเปียโนอยู่กับตัวเองและเขียนขึ้นมา เป็นความคิดถึงคนที่อยู่ห่างไกล ก็เป็นเพลงนี้ขึ้นมาครับ ส่วนหนึ่งเป็นเพลงที่โดนใจและลึกซึ้งก็คลุกคลีในห้องเปียโนนั้นนานมากๆ กว่าจะได้เพลงนี้ ก็ดีใจครับ เป็นการเปิดทางให้คนรู้จัก เหมือนเพลงนำมาแล้วครับ 

ด้วยความที่เพลงมาดังหลายปีหลังจากปล่อย นิวเชื่อเรื่องจังหวะชีวิตไหม 

Newery : เชื่อครับ เพราะการฟังของคนเราเปลี่ยนแปลงตลอด แล้วอยู่ๆ เพลงติดเทรนด์ก็ง่าย อาจเป็นจังหวะก็ได้ครับ 

เพลง “รอเธอจนหายเปียกปอน (dry my tears)” มีที่มาอย่างไร ต่างจากผลงานก่อนหน้าอย่างไร

Newery : แต่งจากชีวิตช่วงชีวิตที่ผ่านมาครับ ผมเริ่มปลงเลิกยึดติดกับความรัก ถ้าย้อนไปแต่ก่อนวัยรุ่นก็จะมีความปั๊บปี้เลิฟ พอเลิกก็เศร้ายึดติด พอวัย 27 เริ่มปล่อยวางมากขึ้น เริ่มฟัง Podcast ก็รู้สึกว่าไม่ควรยึดติดคนที่หมดรัก และมูฟออนได้แล้วครับ Podcast ก็ฟังทั่วๆ ไปอย่าง Mission to The Moon เป็นช่องทั่วไป มันได้กำลังใจที่ดีครับ 

พอมีเพลงฮิต เราเป็นสายยึดสูตรสำเร็จเดิม หรือเน้นฉีกภาพจำ

Newery : ผมเป็นสายกลางๆ อะไรที่เป็นความสำเร็จอาจจะเอามาพัฒนาเป็นเราที่โตขึ้น เราคงไม่ได้ฉีกไปมาก แต่คงทำเพลงสูตรเดิมๆ แต่มีลูกเล่นมากขึ้น ผมอาจแต่งเพลงที่เป็นแบบ “หลงรัก” และ “กลิ่นดอกไม้” อาจจะ แต่ว่าใช้คำที่สมัยใหม่ขึ้น มีจังหวะน่าสนใจ ดนตรีใส่อะไรใหม่ๆ มากขึ้นครับ องค์ประกอบอาจจะไม่ใช้กู่เจิง อาจจะใช้อะไรใหม่ๆ อาจใช้ซออู้ อาจฉีกไปเลยใช้ดนตรีสมัยใหม่ แต่เนื้อร้องมีความเป็นไทยครับ

คิดว่าอะไรคือเสน่ห์ดนตรีแบบไทยๆ 

Newery : คิดว่าเป็นทำนองครับ ที่ไม่เหมือนเพลงสมัยใหม่ เพลงไทยดั้งเดิม ด้วยคำ ด้วยภาษา เครื่องดนตรีไทยดั้งเดิมก็มีเสน่ห์ของมัน เสียงมีเอกลักษณ์ แต่ถ้ามาอยู่เพลงสมัยใหม่ได้ ผมว่ามันจะเพลงน่าสนใจครับ 

แต่ด้วยความเป็นคนเงียบๆ เรารับมือการทัวร์คอนเสิร์ตแบบไหน เพราะคนดูก็อาจไม่น่ารัก 

Newery : เราก็เรียนรู้จากหลายๆ งานครับ ตอนนี้ก็กล้าแสดงออกมากขึ้น ไม่ได้แบบว่าเขินแบบแต่ก่อน บุคลิกอาจจะเงียบๆ เล่นกับคนดูบ้าง เสริมการเล่นมุกกวนๆ บ้างครับ ส่วนคนที่เป็นศิลปินก็ต้องเจออยู่แล้ว ต้องเจอคนที่อาจคิดอะไรขึ้นมา ก็ต้องดูแลตัวเองให้ดี และควบคุมตัวเองครับ ส่วนของฝากก็มีของฝากที่ไม่คิดว่าคนมาให้ เป็นรูปใส่กรอบเล่นตามงาน ยังมีงานเล่นเปียโนใส่ชุดสีส้มคนเขาก็ทำอาร์ทเวิร์คเอารูปมาให้ครับ 

คิดอย่างไรกับการที่ “เพลง” เราเป็นที่รู้จักมากกว่า “ตัวตน” เรา

Newery : เป็นเรื่องปกติครับ เพราะคนฟังเพลงผ่านสตรีมมิ่ง และเพลงฮิตของผมดันไม่มีเอ็มวีอย่าง “หลงรัก” และ “กลิ่นดอกไม้” เป็นอาร์ตเวิร์คเลยครับ มันจะหนักเราหน่อยที่เราต้องสร้างตัวตนให้คนจดจำ ก็ไปสื่อ ออกไปเล่น ทำคอนเทนต์ให้คนรู้จักเรามากขึ้น ก็ไม่กดดันตัวเอง พัฒนาไปเรื่อยๆ ครับ 

มีเพลงฮิตแล้ว เป้าหมายต่อไปคืออะไรของ Newery 

Newery : ตอนนี้ก็อยากมีอัลบั้ม เราไม่ชอบมู้ดมีเพลงฮิตเพลงเดียว แบบทุกคนรอฟัง “กลิ่นดอกไม้” และ “หลงรัก” แต่เพลงก่อนหน้านั้นเอาคนไม่อยู่ เราอยากมีคลังเพลงมากขึ้น ทำเพลงเข้าหูคนฟัง อยากมีเพลงเยอะๆ และแฮปปี้ ถ้ามีอัลบั้ม 10 เพลงก็อาจมีเพลงฮิต 2 เพลง 3 เพลง คนดูก็แฮปปี้เพราะไม่ได้มีเพลงฮิตเพลงเดียวครับ 

อยากให้ Newery ถูกติดจดจำอย่างไร

Newery : อยากจดจำว่าเป็นศิลปินที่เขียนเพลงได้ในแบบตัวเอง เป็นศิลปินที่ส่งมอบพลังงานดีๆ ให้คนฟังครับ 

Photo : Ditsapong K.

อัลบั้มภาพ 12 ภาพ

อัลบั้มภาพ 12 ภาพ ของ คุยกับ Newery กับชีวิตภาคต่อ “กลิ่นดอกไม้” ที่ไม่หอมหวานแบบที่หลายคนคิด

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook