วัยรุ่นพ่อ "ธเนศ วรากุลนุเคราะห์" สนุกเรียนรู้อยู่แบบเด็กฝึกงาน
"ธเนศ วรากุลนุเคราะห์" สตริงขวัญใจยุค 80 ในวัยรุ่นพ่อ สนุกกับการเรียนรู้ อยู่แบบเด็กฝึกงาน ไม่ยึดมั่นถือมั่นอายุอานาม ประสบการณ์ผ่านร้อนผ่านหนาวหลายฤดู มองทุกอย่างเป็นครูเก็บเกี่ยวไม่มีวันหมด
ธเนศ วรากุลนุเคราะห์ นักร้องเพลงไทยสากล ขวัญใจยุค 80 หรือช่วง พ.ศ. 2523-2532 มีผลงานตอบสนองคนฟังได้สมบูรณ์ลึกซึ้ง ยังเป็นที่กล่าวขานของผู้ถวิลหาเรื่อยมาอย่างไม่มีสิ้นยุคสมัย อาทิ แดนศิวิไลซ์, ซ้ำเติม, อีกหน่อยเธอคงเข้าใจ, ทำใจลำบาก เป็นต้น ให้สัมภาษณ์ทีมข่าว Sanook.com เล่าชีวิต และวิธีคิด "วัยรุ่นพ่อ" ในแบบฉบับของเขา นำไปสู่การพบสมบัติล้ำค่าที่แท้จริง "นั่นคือความสุุข"
ธเนศ เล่าว่า หลังจากปิดสวิตช์ตงานในวงการบันเทิง ไปทำหน้าที่พ่อ เลี้ยงลูกจนเติบใหญ่ ปัจจุบันเขากำลังสนุก และมีความสุขเปี่ยมล้น ที่ได้กลับมาทำงานแสดง ซึ่งเขาระบุว่า "เป็นรักแรกพบ" ก่อนมาเป็นดีเจ และนักร้อง นักแต่งเพลง
ในช่วงวัยหนุ่ม ประสบความสำเร็จกับการสร้างงานหลายชิ้นให้กับวงการดนตรี มีผลเด่นดังระดับสุดยอด เบื้องหน้าคือการเป็นศิลปินเจ้าของอัลบั้มในตำนาน "แดนศิวิไลซ์, คนเขียนเพลงบรรเลงชีวิต, กดปุ่ม, ร็อคกระทบไม้" เบื้องหลังก่อตั้งค่ายเพลง "มิวสิค บั๊กส์" เมื่อช่วงปี 2539 สร้างศิลปินคุณภาพ อย่าง "ละอ่อน, บิ๊กแอส,บอดี้สแลม, ลาบานูน" เปิดค่ายเพลง "ร็อค โอเปร่า เฮาส์ เร็คคอร์ด" สร้างสรรค์เพลงใหม่จากประสบการณ์ร่วมกับศิลปินรุ่นใหม่มากมาย
แม้ภูมิใจกับความสำเร็จในอดีตแต่ไม่ยึดติด ห้วงเวลานี้ไร้ความรู้สึกอยากหวนกลับไปสร้างผลงานอีก
"มันแค่พอร้องได้เฉยๆ แล้วก็เราเนี่ยเป็นคน ที่ชอบที่จะเล่าเรื่อง สังเกตงานเพลงเรา มันจะเป็นหนังอยู่แล้ว แทบจะเป็นหนังอยู่แล้ว ซึ่งก็มีคนบอกอย่างนั้น ย้อนไปสัก 10 กว่าปีที่แล้วเนี่ย ช่วงที่เราเริ่มหยุดทำเพลง หยุดทำค่ายเพลง อะไรต่างๆ นานาเนี่ย เรามีลูก แล้วเราก็อยู่กับลูก อยู่กับตัวเองมากขึ้น มีคนเคยถามนะ คิดถึงดีเจไหม อยากกลับไปเป็นดีเจไหม คิดถึงเวทีคอนเสิร์ตไหม ห้องอัดเสียงร้องเพลงไหม ไม่ว่ะ"
"ตอนนี้ โอ้ เรามีความสุขมาก เพราะว่าจริงๆ แล้วเนี่ยงานแสดงเป็นอาชีพที่เรารักที่สุด พูดให้มันโรแมนติกหน่อยนะ มันเป็นรักแรกพบ ที่จะประกอบอาชีพ ตอนมีลูกเราหยุดทำงานทุกอย่างแล้วนะ ตั้งใจเลี้ยงลูก เอ๊ะถ้าลูกโตแล้ว เราก็ต้องกลับไปทำงาน แต่ด้วยวัยด้วยอะไรก็บอกกับตัวเองว่า คงจะต้องลืมเรื่องการแสดงไปดีกว่า"
"แต่มีอีกอย่างที่เราสนใจ คือ การเป็นผู้กำกับ การเขียนบท การทำหนังเอง และก็เขียนบทไว้เต็มเลย ยังไม่ทันได้ทำเลยนะ มีโปรดิวเซอร์คนหนึ่งให้น้องโทรมา ขอเชิญพี่เล่นหนังให้ผมหน่อย โปรดิวเซอร์คนนั้นชื่อ ทองดี โสฬส สุขุม หนังเรื่องนั้นคือ ป๊อปอาย ที่เป็นทุนสิงคโปร์ ผู้กำกับสิงคโปร์ โอ้โห ดีใจๆ ตั้งแต่นั้นมา ก็เลยเล่นมาเรื่อยๆ"
ธเนศ ล่าสุดเป็นหนึ่งในแสดงภาพยนตร์เรื่อง "ปิดเมืองล่า Pattaya Heart" หนังอาชญากรรมเหนือความคาดหมาย ผลงานผู้กำกับชาวฮ่องกง "หยางซู่ผิง" มีกำหนดเข้าฉาย ในโรงภาพยนตร์ วันที่ 8 ก.พ.นี้ บอกต่อว่า เขาเป็นคนไม่ยึดติดอดีต แต่ชอบอยู่กับปัจจุบัน ต่อยอดไปสู่วันข้างหน้า
"เราเป็นอย่างนี้ เราชอบคุยเรื่องปัจจุบัน และวันข้างหน้า ไม่ได้ปฏิเสธอดีตอะไรนะ เราก็ภูมิใจนะสิ่งที่นั่นมา แต่มันผ่านไปแล้วทำไงอะ"
ในการทำงานและการดำเนินชีวิต วัยรุ่นพ่อ ส่วนตัวจึงเปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่จากคนรุ่นใหม่ แบบไม่กลัวเสียหน้า ทำตัวเหมือนเป็น "นักศึกษาฝึกงาน" หรือ "เด็กฝึกงาน" ลงสนามหาประสบการณ์การทำงาน และชีวิตนอกรั้วมหาวิทยาลัย
"เรียนรู้กับคนอายุน้อยกว่านี่มันโคตรขุมทรัพย์เลย" ธเนศ ระบุ
"เราอย่าไปมอง เราผ่านโลกมาขนาดนี้แล้ว อายุเท่านี้แล้ว หรือไรนะ เราเห็นมาเยอะแล้ว เราเข้าใจหมดแล้ว อย่ามาพูดอะไรเลย ไม่จริงนะ แต่ละวันไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไรนะ มันเรื่องใหม่หมดเลยนะ ทุกเวลา ทุกนาที ทุกขณะจิตด้วยซ้ำไป จะว่าไป เรียนรู้กับคนอายุน้อยกว่าไม่ได้เสียหายอะไร"
"ไปเรียนรู้กับคนอายุมากกว่า มึงก็ผ่านมาแล้ว มึงไปเรียนอะไรอีกอะ คือผ่านมาแล้วอะ ถ้าเราเป็นเด็กเราโอเคใช่ไหม แต่นี่ตอนนี้ใครๆ ก็อยากจะมาเรียนกับเรา เราก็อยู่ในวัยที่ ใช่ไหม ที่นี้ถ้าเราแบบว่า อ้าวมึงมาเรียนรู้กับกู กูไม่เรียนรู้กับมึง เพราะกูผ่านมาหมดแล้ว ก็สวัสดีล่ะครับ"
"การเรียนรู้กับคนที่อายุน้อยกว่า แม่คือขุมทรัพย์สำหรับเรา เราก็แบบตื่นเต้นเร้าใจอะ เราเข้ามาในวงการหนังเนี่ย เรารู้สึกว่าแม่งยังเป็นสดๆ ของเรา เราถือเราเป็นเด็กไง เราถือเป็นเด็กใหม่เพิ่งเข้ามาใหม่อะ ไม่เกี่ยวกับอายุนะเว้ย นึกออกไหม เราก็แบบเรียนรู้นู่นนี่นู่นนั่น โอ้โหมันตื่นเต้นเร้าใจทุกวัน"
ในการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ ธเนศ บอกถึงท้ายว่า เขาเป็นคนที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นอายุอานาม และประสบการณ์ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายฤดู มองทุกอย่างเป็นครู มีเรื่องราวดีๆ ให้เรียนรู้อีกมากมาย เก็บเกี่ยวได้อย่างไม่มีวันหมด ถ้าไม่รู้จะมีความสุขได้อย่างไร อยากลองให้คิดย้อนไปสมัยเป็นเด็ก
"เวลาเราสนใจอะไร เราก็จะได้เรียนรู้อันนั้น การเลี้ยงลูก เราสนใจเลี้ยงลูก ลูกเป็นครู โอ๊ยวันนี้เนี่ยมันเรียนไม่ทัน ก็เรียนเท่าที่เรียนได้ใช่ไหม แล้วก็เอ็นจอยกับสิ่งที่เรียนรู้ไป แล้วก็ผิดพลาดไป ไม่เป็นไร เป็นผู้ใหญ่แล้วก็ผิดพลาดได้
"ทำตัวเหมือนเด็ก ทำไมตอนเด็กเรามีความสุขไง เพราะว่าเราไม่เป็นไร พลาดเราก็ลุกขึ้นเริ่มใหม่ ล้มก็ลุกๆ ใช่ไหม ทีนี้พอเราผ่านๆ อะไรมา แล้วเราไปจริงจังกับมันมากเกินไป เราก็รู้สึกว่า กูเสียหน้าเว้ย เด็กจะมองยังไงวะ เราแก่ป่านนี้แล้วยังพลาดอีก พลาดได้แก่แล้วก็พลาดได้
"แต่ว่า ไม่ได้แปลว่าให้เป็นเด็กแบบว่า กูทำเหี้ยอะไรก็ได้ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวผู้ใหญ่ก็ให้อภัย กูเป็นเด็กกูทำเหี้ยอะไรก็ได้ ไม่ใช่ เป็นเด็กหมายความว่าความรู้สึก ตอนเด็กนี่เรามีความสุขยังไง เราไม่ได้ที่จะต้องกังวลอะไรมากมายนัก ผิดพลาดแล้วเริ่มใหม่ แล้วก็มีความสุขได้ทันที เศร้าแป๊บเดียวมีความสุข"
"ถ้าไม่รู้จะมีความสุขได้ยังไงลองคิดถึงตอนเด็กๆ หลายๆ คนเผลอไปว่าสุขไปแป๊บนึง เศร้า เศร้าเพราะอะไร เพราะว่ารู้สึกว่า วันนั้นมันไม่กลับมาอีกแล้ว จริงๆ แล้วอะ มันไม่ต้องกลับมาไง เราสร้างวันนี้ให้เป็นเหมือนวันนั้นได้"
อัลบั้มภาพ 4 ภาพ