Rock Rider ทางที่ แด๊ก บิ๊กแอส เป็นผู้เลือก
กลับมาเป็นข่าวตามหน้าสื่ออีกครั้งหลังจากมีคลิปเผยแพร่เสียงร้องที่ผิดเพี้ยนของ แด็ก บิ๊กแอส ที่ไปร่วมร้องเพลง เล่นของสูง ในงานแต่งงานของ ตั๊ก บริบูรณ์ จันทร์เรือง และแฟนสาว จนหลายคนที่ไม่เคยได้รับรู้ข่าวคราวถึงกับวิจารณ์กันไปต่างๆ นานา ว่าเหตุที่เส้นเสียงถูกทำลายเป็นเพราะใช้เสียงร้องเพลงไม่ได้หยุดพักติดต่อกันเป็นเวลานานบ้าง ปาร์ตี้จัดบ้าง หรือการไม่ดูแลสุขภาพตัวเองบ้าง
แต่จะมีใครสักกี่คนที่รู้ว่า เขากำลังทำอะไร และมีความสุขเพียงใดหลังจากแขวนไมค์ ยุตินามสกุล บิ๊กแอส ที่ใช้มาเป็นเวลานานนับสิบปี
หลังจากประกาศแขวนไมค์เดินหน้าเติมเต็มความฝันของตัวเอง ทิ้งไว้เพียงตำนานบทสำคัญของวงการเพลงร็อกเมืองไทย ซึ่งหลายคนยังคงเสียดายไม่หายสำหรับเสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์ของ เอกรัตน์ วงศ์ฉลาด หรือ แด็ก อดีตฟร้อนแมนแห่งวง บิ๊กแอส ที่ถึงจุดอิ่มตัวทางด้านดนตรี และออกเดินทางเติมเต็มความฝันของตัวเองอย่างแท้จริง ล่าสุดเขากลับมาอีกครั้งพร้อมจับมือกับ เทวฤทธิ์ ศรีสุข หรือ หรั่ง ซิลลี่ฟูล ในโปรเจ็คใหม่ที่มีชื่อว่า ROCK RIDER ภายใต้คอนเซ็ป ปล่อยวาง... เปิดใจ... แล้วเดินทางไปกับเรา... โดยโปรเจ็คดังกล่าวนี้เป็นการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ใหม่ ในการเดินทางทั่วไทยบนเส้นทางธรรมชาติโดยมอเตอร์ไซด์ของทั้งสองคน บนพื้นฐานความรักในความอิสระเสรีบนพาหนะสองล้อที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนคู่ใจของพวกเขา สำหรับแฟนๆ ที่ต้องการติดตามให้กำลังใจในการเดินทางสู่ความฝันของพวกเขาทั้งสอง
"ตอนนี้เราอยู่กันในนาม ร็อค ไรเดอร์ (Rock Rider) มันมีหลายพาร์ท คือพาร์ทแรกที่เราทำงานร่วมกันคือเป็นรายการทีวี ทาง Speed Channel ของทรูวิชั่น ซึ่งออนแอร์ทุกวันเสาร์ เวลา 23.00 น.ครับ เราสองคนชอบการขับขี่มอเตอร์ไซด์มานานแล้วเป็นสิบๆ ปีแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เราขี่ร่วมกัน แล้วเราจะบันทึกเรื่องราวทุกอย่างที่เราไปมาถ่ายทอดในรายการ ด้วยมุมมองของเนื้อเรื่องเป็นหลัก มีเป็นภาพสวยๆ ในการขี่รถที่ดูสมจริงสมจัง แล้วก็บวกกับเพลงร็อคที่เราจะทำออกมาให้เหมือนกับว่าเป็นมิวสิควิดีโอในการถ่ายทอด"
ฟังดูเหมือนรายการท่องเที่ยวแนวเรียลลิตี้ทั่วไป แต่ แด็ก ยินยันว่าไม่เหมือนกับรายการที่เคยดูกันมาแน่นอน
"ไม่ใช่เรียลลิตี้ครับ แต่ว่าผมว่ามันยิ่งกว่าเรียลลิตี้ ผมว่ามันได้อารมณ์ของความสมจริงมากกว่า มันไม่ใช่เรียลลิตี้เอากล้องตามนะครับ แต่ทุกเรื่องราวที่มันเป็นเรื่องจริง หรือว่าเรื่องราวที่ทุกคนมองผ่านไป อย่างเวลาทุกคนเดินทางไปจะไม่สนใจสิ่งรอบข้าง คุณอาจจะหลับไป คุณอาจจะกระพริบตาไป แต่คุณผ่านสิ่งสวยงามไปแล้ว แม้กระทั่งหลักกิโลเมตรก็มีเรื่องราวให้คุณมาเล่าต่อได้"
และทุกๆ การเดินทาง ก็นำมาซึ่งความประทับใจจากเส้นทางรอบข้างที่ผ่านเข้ามา
"ประทับใจที่สุดคงเป็นที่เพชรบูรณ์นี้แหล่ะครับ ผมคิดว่าตอนนี้มันปลายฝนต้นหนาว ที่เราคิดไว้นะคือไปรับลมหนาวก่อนใครดีกว่าที่ห้องรับแขกของประเทศไทย เพราะเพชรบูรณ์ถือว่าเป็นจุดศูนย์รวมของภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคกลาง แล้วมีภูอยู่อย่างภูทับเบิก อย่างเขาค้อลมหนาวจะมา ก็มาเจอที่นั่นก่อนเลย ได้สัมผัสอากาศเย็นแน่นอน มีทะเลหมอก มีภูเขาสวยงาม มีวิถีชีวิตชาวบ้านชาวเขาให้ดู คือเราไปแบบที่หลายคนเห็นดูแล้วอาจจะอยากตามเราไปด้วย"
เมื่อถามถึงผลงานเพลงว่าจะมีโอกาสได้ฟังเสียงร้องของเขาอีกหรือไม่ เจ้าตัวกลับไม่ขออธิบายมาก
"ตอนนี้เราทำรายการทีวีอยู่ครับ ส่วนงานเพลงเป็นโปรเจคท์ต่อไป แต่ก็คิดไว้เรื่องทำเพลงขายเอง ก็เหมือนตั้งกลุ่มมีผม มี พี่หรั่ง (เทวฤทธิ์ ศรีสุข สมาชิกวงซิลลีฟูลส์) หรืออาจจะเป็นสมาชิกคนอื่นที่เป็นนักดนตรี เอาเคสที่เรารู้จักกันนะครับมารวมกันจับเป็นกลุ่มๆ หนึ่ง แล้วก็สามารถรับงานไปเล่นตรงไหนก็ได้แล้วก็จัดคอนเสิร์ตตรงไหนก็ได้ แม้กระทั่งสถานบันเทิง กลางแจ้ง หรือว่างานอิเว้นต์อะไรก็ได้คือเราสามารถทำได้”
แล้วการเดินทางให้อะไรกับเขามากที่สุด เจ้าตัวตอบด้วยท่าทีที่ดูนิ่งและมีมุมมองของชีวิตที่เข้าใจอะไรมากขึ้น
"อย่างแรกเลยเราได้คุยกับตัวเอง (เน้นเสียง) หลายๆ คนอาจจะมีอายุกันเยอะแล้ว แต่ยังไม่ได้คุยกับตัวเองเลยว่าจริงๆ แล้วที่เราทำอยู่นี้เราต้องการอะไร คือเรามีเวลาคุยกับตัวเองเยอะขึ้น เรามีเวลาคุยกับสิ่งรอบข้างเยอะขึ้น เพราะไม่งั้นเราอยู่ในเมืองเราจะยุ่งกับวิถีชีวิตประจำวันเรา เราคิดแต่เรื่องของคนอื่นทำแต่เรื่องของคนอื่น ทำเพื่อคนอื่นเรื่องงานเรื่องการอะไรอย่างนี้ แต่พออยู่ที่โน้นผมได้คุยกับสิ่งที่กล่าวมามากขึ้น
ผมชอบตรงนี้ครับ โอเคล่ะหลายคนบอก ทำไมพี่แด๊กหยุดจากวงบิ๊กแอส คือผมชอบเดินทางด้วย เพราะบางทีมันไม่สามารถไปลิ้งค์กับเพื่อนตอนนี้ได้ ผมก็ต้องมารวมกันทีหลังว่าไหนๆ เราก็ชอบขี่รถด้วย ดนตรีเราก็ยังรักอยู่ มารวมกลุ่มกันอย่างนี้เลยดีกว่าเป็นโปรเจคท์ ร็อค ไรเดอร์ ขึ้นมา อยากถ่ายทอดเรื่องราวการเดินทาง ดนตรีก็อยากเล่น ก็เลยทำตรงนี้ขึ้นมา"
ดูจากถ้อยคำที่เปี่ยมสุขและสะท้อนถึงความสนุกในเส้นทางใหม่ที่เขาเลือก คงเป็นอีกหนึ่งคำตอบที่พิสูจน์ได้ว่า ผู้ชายคนนี้ได้เลือกเส้นทางเดินที่ถูกต้องของตัวเองแล้ว