กู๊ดบาย ซานติก้า ลางบอกก่อนเกิดเหตุ!
จากความสนุกสนานในคืนนับถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่ ไม่มีใครคาดคิดว่า เพียงเวลาผ่านไปไม่กี่นาทีจะกลายเป็นความเศร้าโศก หลังเกิดเหตุสยดสยองไฟไหม้ลุกโชน จนทำให้นักท่องราตรีต้องจบชีวิตไปถึง 59 คน และบาดเจ็บอีกนับร้อย
สถานบันเทิง ซานติก้า เปิดบริการในรูปแบบผับมาแล้ว 5 ปี ตั้งอยู่บริเวณถนนเอกมัย ระหว่างซอย 9 และ ซอย 11 ภายใต้การบริหารของ บริษัท White & Brothers (2003) จำกัด โดยนำคำในภาษาสเปน แปลว่า ธรรมชาติที่สวยงาม มาตั้งเป็นชื่อร้าน ผับแห่งนี้สามารถจุคนได้ถึง 2,000 คน ก่อนหน้าเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2550 ผับแห่งนี้เพิ่งทุ่มงบกว่า 40 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงโฉมใหม่ ด้วยคอนเซ็ปต์การผสมผสานความเก่าและใหม่เข้าด้วยกัน ออกแบบมาเป็นรูปแบบของโบสถ์เก่าที่ผสานความทันสมัย
จากรูปแบบที่ปรับใหม่นี้ จะเห็นได้ว่า ซานติก้า ถูกออกแบบด้วยการเน้นใช้กำแพงปูนหนาทึบ แตกต่างจากผับสมัยใหม่ทั่วไป ที่เน้นใช้กระจกใสเป็นหลัก ด้านในซานติก้าถูกออกแบบให้เป็นพื้นที่เล่นระดับ เพื่อประโยชน์ในการใช้สอย โดยแบ่งเป็น 4 ชั้น ได้แก่ บริเวณชั้นใต้ดิน ซึ่งเป็นส่วนของห้องน้ำ บริเวณโถงกลางร้านหน้าเวทีที่อยู่ในระดับเดียวกับชั้นห้องน้ำ แต่ใช้ทางขึ้นลงคนละฝั่ง
บริเวณชั้นลอยยกระดับก่อนขึ้นสู่บริเวณชั้น 2 และบริเวณระหว่างชั้นลอยกับโถงกลางร้านหน้าเวที นอกจากความสลับซับซ้อนในโซนต่างๆ ที่แบ่งด้วยการยกระดับ อีกทั้งบันไดทางขึ้นที่มีหลายจุดและชันแล้ว ทางเข้าหลักของผับแห่งนี้ยังแคบและโค้ง ทำให้การเข้าออกค่อนข้างลำบาก อีกทั้งการตกแต่งที่เน้นใช้ปูนทึบ ติดเหล็กดัดตามช่องกระจก ส่งผลให้เมื่อเกิดเหตุคับขันผู้คนด้านในจึงเกิดความโกลาหล
หลังเกิดเหตุครั้งนี้ นักท่องเน็ตและนักย่ำราตรียังวิพากษ์วิจารณ์กันถึงลางบอกเหตุหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นชื่อของปาร์ตี้ส่งท้ายปีครั้งนี้ ที่ตั้งชื่อแปลกหูว่า กู๊ดบาย ซานติก้า (Goodbye Santika) ซึ่งโยงมาจากการผับแห่งนี้จะเปิดให้บริการเป็นคืนสุดท้าย หลังจากหมดสัญญาเช่าที่ดิน แถมทางร้านยังทำซีดีรวมเรื่องราวของร้าน ซึ่งหน้าปกมีสีดำหม่น และใช้ชื่อเดียวกับงาน มาแจกลูกค้าที่มาเที่ยวในค่ำคืนดังกล่าวอีก
การแจกไฟเย็นให้แก่นักท่องราตรีเพื่อใช้จุดร่วมกันในช่วงเวลานับ ถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่ ก็ถือว่าเป็นอีกสิ่งที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าอาจเป็นต้นเหตุของโศกนาฏกรรม เนื่องจากผับดังกล่าวเป็นสถานที่ปิด เพดานไม่สูงเท่ากับฮอลล์จัดคอนเสิร์ต อีกทั้งยังเก็บเสียงภายในด้วยการใช้วัสดุที่ติดไฟได้ง่าย
นอกจากนี้บนเวทียังมีการจุดเอฟเฟกท์ประกอบการแสดงดนตรี ลักษณะคล้ายโอ่งไฟที่จุดเล่น มีประกายพวงพุ่งชนวนสำคัญที่ไม่ควรนำมาใช้เล่นภายในสถานที่ปิดเช่นนี้
และยังมีการวิพากษ์วิจารณ์อีกว่า การตกแต่งภายในร้านที่นำโลงศพมาตั้งไว้กลางร้าน บวกกับไม้กางเขนที่ห้อยอยู่บริเวณฝาผนัง เพื่อให้เข้ากับคอนเซ็ปต์โบสถ์เก่านั้น เป็นเสมือนลางบอกเหตุ หรือแม้กระทั่งเว็บไซต์ของร้านที่ตกแต่งด้วยรูปเปลวเพลิง ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่นักท่องเน็ตนำมาพูดถึง
คำให้การของสองดีเจดังที่เป็นพิธีกรของงานนี้ ที่ตั้งข้อสังเกตถึงเปเปอร์ชู้ต (Paper Shoot) ซึ่งเป็นเอฟเฟกท์ยิงกระดาษชิ้นเล็กๆ ขึ้นไปแล้วกระทบกับความร้อน ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่มีการพูดถึง รวมทั้งคอนเซ็ปต์ของวงดนตรีที่ชื่อว่า เบิร์น (Burn) ที่แปลว่า "เผา" แล้วก็มีไฟลุกขึ้นบนฉากหลังที่เขียนคำว่า Burn ซึ่งก็มีไฟลุกบนฉากนั้นจริงๆ
หากเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเพียงละคร คงเป็นละครสยองขวัญอีกเรื่องที่จัดฉากวางบทและองค์ประกอบมาอย่างดี หากแต่นี่ไม่ใช่ละคร ความสูญเสียเหล่านี้จึงไม่ใช่สิ่งที่ผ่านมาแล้วผ่านไป เพราะไม่สามารถจะเรียกคนที่กลายเป็นศพฟื้นคืนกลับมาแสดงใหม่ได้อีกรอบ
เส้นทาง ซานติก้าผับ ...ลางบอกเหตุ
ในวงการนักย่ำราตรีกระเป๋าหนักต่างรู้ดีว่า "ซานติก้าผับ" เคยเป็นผับหรู ที่เป็นศูนย์รวมของบรรดาไฮโซมาก่อน กระทั่งต้นปี 2551 ผับหรูแห่งนี้เริ่มซบเซาลงอย่างรวดเร็ว ยกเว้นคืนวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ ที่ยังพอมีลูกค้าอยู่บ้าง แต่ก็ไม่แน่นขนัดเหมือนเมื่อ 2-3 ปีก่อน
ซานติก้าผับแห่งนี้ เปิดให้บริการมาเกือบ 5 ปี ภายใต้การบริหารงานของ "เฮีย ข." นักธุรกิจสถานบันเทิงที่รู้จักกันกว้างขวางในหมู่นักเที่ยว
ก่อน ที่ "เฮีย ข." จะเข้ามาทำธุรกิจผับแห่งนี้ เคยทำธุรกิจอื่นๆ มาก่อน เคยเป็นนักเสี่ยงโชคที่มีชื่อเสียงในวงการ อีกทั้งยังเคยทำธุรกิจซื้อขายรถยนต์มือสองจนมีฐานะดี ซึ่งเม็ดเงินที่ได้จากธุรกิจเหล่านี้ของ "เฮีย ข." หมดไปกับธุรกิจ "ซานติก้าผับ" ในยุคแรกๆ เพราะไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของนักย่ำราตรี
เฮีย ข. พยายามงัดกลยุทธ์หลากหลายวิธีเพื่อดึงลูกค้าเข้าร้าน กระทั่งมาลงเอยด้วยการจัดหาหญิงสาวจากคอกเทลเลานจ์ต่างๆ เข้ามาเที่ยวเพื่อเป็นแม่เหล็กดึงดูดบรรดาเหยี่ยวราตรีทั้งหลาย พ่วงกับกลยุทธ์ ลด...แลก...แจก...แถม อีกทั้งยังเชิญชวนมิตรสหายในแวดวงคนทำหวย เจ้าของเต็นท์รถมือสอง เข้ามาเที่ยวมากขึ้น จึงทำให้ชื่อเสียงของ "ซานติก้า" ผับโด่งดังขึ้นเป็นลำดับ
จนชื่อเสียงโด่งดังเข้าหู น้ำนิ่ง นักธุรกิจหนุ่มไฮโซ จึงมาเที่ยวพร้อมกับกลุ่มเพื่อนไฮโซ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ด้วย
การที่นายพานทองแท้ มาเที่ยวที่ผับแห่งนี้ค่อนข้างบ่อย ทำให้ไม่ค่อยมีตำรวจรายใดเข้าไปตอแยกับผับแห่งนี้มากนัก บ่อยครั้งที่ผับแห่งนี้เปิดเกินเวลา โดยในสมัยที่ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รองผบ.ตร. ยังคงทำหน้าที่ ผบช.น.ได้รับร้องเรียนจากประชาชนในบริเวณนั้นอยู่บ่อยครั้ง ซึ่ง พล.ต.อ.ธานี ได้สั่งการให้ผู้ที่รับผิดชอบดำเนินการไปตามกฎหมาย แต่ก็ไม่กระทบกับธุรกิจของผับแห่งนี้แต่อย่างใด
ว่ากันว่า "เฮีย ข." คนนี้มีความสนิทสนมกับนายตำรวจใหญ่สังกัดกองปราบปรามเป็นอย่างมาก ถึงขนาดนับถือกันเป็นพ่อลูก จึงไม่ค่อยมีตำรวจรายใดอยากเข้าไปยุ่งเกี่ยว
อย่างไรก็ตามระยะหลัง "ซานติก้าผับ" ซบเซาลงไปตามเวลา เนื่องจากนักเที่ยวส่วนใหญ่ไม่ประทับใจในบรรยากาศภายในร้าน เจ้าของผับแห่งนี้จึงทุ่มเม็ดเงินตกแต่งภายในใหม่ แต่การตกแต่งอาคารของ "ซานติก้าผับ" ครั้งนี้เหมือนเป็นลางบอกเหตุ เพราะมีการปรับปรุงภายนอกอาคารลักษณะคล้ายโบสถ์คริสต์ มีการนำสัญลักษณ์ไม้กางเขน ไปประดับไว้ที่หลังเวทีภายในร้าน พร้อมทั้งนำโลงศพสีขาวมาประดับไว้ด้วย เพื่อเนรมิตบรรยากาศภายในให้คล้ายกับสุสาน ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์หนาหูในหมู่นักเที่ยวว่า ทำไมจึงตกแต่งคล้ายกับโบสถ์คริสต์
ส่วนภายในผับมีลักษณะคล้ายแอ่ง กะทะ เมื่อก้าวพ้นประตูทางเข้าด้านหน้า จะมีทางบังคับให้เลี้ยวซ้าย เพื่อไปเจอโต๊ะจำหน่ายบัตรสมาชิก หรือจ่ายเงินค่าอาหารและเครื่องดื่ม ผ่านบริเวณนั้นไปแล้วจะมีทางบังคับเลี้ยวขวา เดินผ่านพื้นที่ต่างระดับลงสู่บริเวณด้านล่าง ซึ่งจัดเป็นโซนเต้นรำและกินดื่ม หากเกิดเหตุร้ายผู้ที่อยู่ภายในอาคารจะต้องย้อนกลับตามเส้นทางเดิมเท่านั้น
ทั้งนี้ในวันเกิดเหตุมีการจัดงานอำลาผับแห่งนี้ด้วย เนื่องจากสัญญาเช่าสถานที่ระหว่างเจ้าของร้านกับเจ้าของที่ดินหมดลง ประกอบกับ "เฮีย ข." ไม่คิดที่จะทำธุรกิจ "ซานติก้าผับ" ต่อ เพราะเบนเข็มไปทำธุรกิจรีสอร์ทขนาดใหญ่ในต่างจังหวัดแทน