Market Talks - บล.เอเซีย พลัส

Market Talks - บล.เอเซีย พลัส

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

กลยุทธ์การลงทุน           ตลาดหุ้นโลกอาจจะปรับฐานตามการปรับตัวลงของราคาน้ำมันดิบโลก ตลาดคลายความกังวลต่อการก่อการร้ายข้ามชาติ หลังผู้ก่อการร้ายถล่มตึก World Trade ถูกสังหาร ขณะที่ตลาดหุ้นไทยยังคงได้รับแรงหนุนจากการรายงาน ผลประกอบการงวด 1Q54 ของหุ้นภาคการผลิต แม้หุ้นหลายบริษัทจะถูกขายรับงบหลังจากที่ราคาหุ้นได้ปรับตัวขึ้นตอบรับความคาดหวังต่อผลประกอบการแล้ว อย่างไรก็ตามในสถานการณ์นี้คาดว่าเม็ดเงินจะถูกสลับขายหุ้นใหญ่ มาเข้าหุ้นขนาดกลางและเล็ก โดยเฉพาะหุ้น Laggard บางบริษัทที่ราคาหุ้นยังไม่ไปไหน เช่น TPIPL (FV@B17.06) รวมถึง JAS(FV@B4.5) ซึ่งเป็นหุ้น Growth Stock (EPS Growth จะเติบโตปีละ 48% ในระยะ 5 ปีข้างหน้า)  ตามกระแส Smart phone     SET Index             1,093.56 เปลี่ยนแปลง (จุด)            1.25 มูลค่าซื้อขาย (ล้านบาท)   33,707.49   ยอดซื้อ-ขายสุทธิ นักลงทุนแต่ละประเภท (ล้านบาท) นักลงทุนต่างชาติ           -714.03 บัญชีบริษัทหลักทรัพย์         -543.12 นักลงทุนสถาบันในประเทศ    -344.96 นักลงทุนรายย่อย          1,602.11   คาดจะมีการยุบสภาฯ สัปดาห์นี้ น่าจะกดดันให้ตลาดแกว่งตัวด้านข้าง             หลังจากที่รัฐสภาได้ผ่านความเห็นชอบกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ 3 ฉบับที่เกี่ยวเนื่องกับพรรคการเมืองและการเลือกตั้งแล้ว ประธานรัฐสภาได้ส่งกฎหมายทั้ง 3 ฉบับให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา ซึ่งถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ และประกาศในราชกิจจานุเบกษา ทั้งนี้ตามกำหนดศาลรัฐธรรมนูญ จะนัดพิจารณาเรื่องดังกล่าวในวันที่ 9 พ.ค. นี้ อย่างไรก็ตามเชื่อว่า นายกรัฐมนตรีจะประกาศยุบสภาฯ ก่อนหน้านั้น โดยมีความเป็นไปได้มากที่จะเกิดขึ้นในช่วงวันที่ 6–8 พ.ค.2554 ทั้งนี้สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้ออกเอกสารชี้แจงว่า แม้การยุบสภาฯ จะเกิดขึ้นก่อนที่ศาลฯ พิจารณากฎหมายทั้ง 3 ฉบับแล้วเสร็จ ก็จะไม่มีผลให้กฎหมายทั้ง 3 ฉบับต้องตกไป เนื่องจากขั้นตอนในปัจจุบันของกฎหมายได้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาแล้ว และรอเพียงให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญก่อนบังคับใช้เท่านั้น ทั้งนี้หากยุบสภาฯ ในช่วงเวลาดังกล่าว เชื่อว่ากำหนดวันเลือกตั้งน่าจะเป็นวันใดวันหนึ่งระหว่าง 26 มิ.ย. หรือ 3 ก.ค. 2554 ซึ่งพ้นกำหนด 45 วันนับจากวันยุบสภาฯ แต่ไม่เกิน 60 วัน ภายใต้กรอบเวลาดังกล่าวทำให้สถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน ปรับเข้าสู่ Mode เลือกตั้งอย่างสมบูรณ์ ทั้งนี้ผลกระทบต่อ SET Index จากการศึกษาข้อมูลด้านสถิติย้อนหลัง พบว่าหลังจาการยุบสภาฯ ประมาณ 2 สัปดาห์ SET Index มักจะปรับฐานเล็กน้อยราว 1-2% ก่อนที่จะฟื้นตัวอีกครั้ง เมื่อเข้าสู่ช่วงเวลาประมาณ 1 เดือน ก่อนกำหนดวันเลือกตั้งหรือปลายเดือน พ.ค.2554  ช่วงนี้น่าเป็นโอกาสสะสมหุ้นพื้นฐานที่ดี   เงินเฟ้อเดือน เม.ย. พุ่งสูงถึง 4.04% มากกว่าตลาดคาด หนุน กนง. เดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อ           วานนี้กระทรวงพาณิชย์รายงานตัวเลขเงินเฟ้อ ประจำเดือน เม.ย.เพิ่มขึ้นจากเดือน มี.ค. ที่ 3.1% สู่ 4.04% ซึ่งสูงที่สุดในรอบ 15 เดือน มากกว่าฝ่ายวิจัยคาดไว้ว่าจะอยู่ที่ระดับ 3.8% แต่ถือว่ายังใกล้เคียงกว่าตลาดที่คาดไว้เพียง 3.2% ซึ่งเป็นผลมาจากราคาน้ำมัน และราคาอาหารที่ยังคงทรงตัวในระดับสูง แนวโน้มเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นค่อนข้างเร็วดังกล่าว น่าจะกดดันให้ กนง. เดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจากปัจจุบัน 2.75% ในการประชุมอีก  2 ครั้งถัดไป คือ วันที่ 1 มิ.ย. และ 13 ก.ค. ราวครั้งละ 0.25% รวมทั้งสิ้น 0.5% ขึ้นสู่ระดับ 3.25% ซึ่งน่าจะเป็นจุด Peak ของวงจรขาขึ้นรอบนี้ ตามที่ฝ่ายวิจัยคาด ขณะที่ทาง ASP คาดว่าเงินเฟ้อจะสูงในระดับดังกล่าวต่อเนื่องในอีก 1 ข้างหน้าหรือ พ.ค. 2554 แต่หลังจากนั้นน่าจะเริ่มชะลอตัว เนื่องจากฐานเงินเฟ้อที่เริ่มสูงขึ้นในช่วง 7 เดือนหลังของปี 2553 โดยสรุปปัจจัย ดอกเบี้ยขาขึ้นที่ใกล้สิ้นสุด และน่าจะกดดันต่อตลาดหุ้นไทยลดน้อยลง แต่อย่างไรก็ตามในสถานการณ์นี้จะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญอีกประการหนึ่งต่อการปรับพอร์ตการลงทุน โดยน่าจะมีปรับพอร์ตออกจากหุ้นที่เคยได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น มายังกลุ่มที่เคยเสียประโยชน์ในภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น เช่นหุ้นกลุ่มอสังหาฯ  ซึ่งนักวิเคราะห์ของ ASP ได้ (เพิ่งปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนของกลุ่มขึ้นจากเดิมน้อยกว่าตลาดเป็นเท่ากับตลาดแล้วในช่วง 1 เดือนก่อนหน้านี้) แนะนำหุ้น  SPALI, PF เป็น Top Picks เนื่องจากมีค่า PER ต่ำ และ Dividend Yield สูง    แรงกดดันจากการเมือง อาจส่งผลให้ Fund Flow สะดุดในสัปดาห์นี้           แม้วานนี้ตลาดหุ้นเอเซียจะเปิดทำการซื้อขายเพียงบางตลาด แต่พบว่าต่างชาติยังซื้อสุทธิต่อเนื่อง ในเฉพาะยังคงซื้อสุทธิในตลาดหุ้นเกาหลีใต้ และตลาดอินโดนีเซีย ราว  181.35 ล้านเหรียญฯ และ 89.38 ล้านเหรียญฯ เพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้าที่มียอดซื้อสุทธิราว  70 ล้านเหรียญฯ  83 ล้านเหรียญฯ  ตามลำดับ  ยกเว้น ตลาดฟิลิปปินส์ที่ขายสุทธิแต่เพียงเล็กน้อยราว 3.24 ล้านเหรียญฯ  จากที่ซื้อสุทธิในสัปดาห์ก่อนหน้า ทั้งนี้ตลาดสัปดาห์ก่อนหน้า พบว่านักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ (เฉพาะการรายงานจากข้อมูลของ Bloomberg 5 ประเทศ) รวมกว่า 2,457 ล้านเหรียญฯ  แต่ลดลงราว 12% จากสัปดาห์ก่อนหน้า ทั้งนี้มีการซื้อเพิ่มขึ้นทุกตลาด ยกเว้นตลาดหุ้นไทย กล่าวคือ ประเทศไต้วันมียอดสุทธิสูงสุดได้แก่  ไต้หวันราว 1,184.37 ล้านเหรียญฯ เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า 36.22%  ตามมาด้วยเกาหลีใต้ มียอดซื้อสุทธิ 905.73 ล้านเหรียญฯ เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า 48.52% ตลาดอินโดนีเซีย และตลาดฟิลิปปินส์ มียอดซื้อสุทธิ 162.63 ล้านเหรียญฯ และ 33 ล้านเหรียญฯ เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า 136.17% และ 114.95% ตามลำดับ  ส่วนตลาดหุ้นไทยมียอดซื้อสุทธิ 166.96 ล้านเหรียญฯ แต่กลับเป็นยอดซื้อสุทธิที่ลดน้อยลงจากสัปดาห์ก่อนหน้าราว 31.22% ฝ่ายวิจัยคาดว่า Fund Flow ในตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้อาจสะดุดลง หลังจากมีการยุบสภาฯ ในสัปดาห์นี้ ประกอบกับตามปกติในเดือน พ.ค. สถิติชี้ว่าต่างชาติมักมีสถานะขายสุทธิมากกว่าซื้อ ดังนั้นด้วยแรงซื้อที่เข้ามาตั้งแต่วันที่ 22 มี.ค. – ปัจจุบัน สูงถึง 4.78 หมื่นล้านบาทแล้ว ทำให้มีความเสี่ยงต่อการถูกขายทำกำไรออกมาค่อนข้างมากแล้ว ในขณะที่ตลาดตราสารหนี้ไทยสัปดาห์ที่ผ่านมายังมียอดซื้อสุทธิกว่า 48,442.96 ล้านบาท โดยเป็นการซื้อในวันศุกร์ 4,464.06 ล้านบาท (ยอดซื้อสะสมปี 2554 ล่าสุดอยู่ที่ 445,569.91 ล้านบาท)   คาดหุ้นน้ำมันจะปรับฐานระยะสั้น หลังผู้ก่อการร้ายถล่มตึก World Trade  ถูกสังหาร           แม้ความกังวลต่อปริมาณผลผลิตน้ำมันดิบโลกจะยังมีอยู่ ตราบที่ปัญหาสงครามในตะวันออกกลาง และอาฟริกาเหนือ ยังไม่มีท่าที่จะยุติในระยะสั้น ๆ  แต่อย่างไรก็ตามการที่สหรัฐสามารถตามล่าชีวิตของ   Osama Bin Laden ในฐานะหัวหน้าผู้ก่อการร้ายข้ามชาติ ที่ทำการถล่มตึก  World Trade และ กระทรวงกลาโหม สหรัฐ ในปี 2554   จนทำให้มีผู้คนล้มตายหลายพันคน   ได้ดำเนินการสำเร็จในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา   หลังจากที่ใช้ความพยายามมานานนับ 10 ปี    ได้ช่วยคลายความกังวลต่อเหตุการณ์ก่อการร้ายข้ามชาติในระยะสั้นและ หนุนให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฟื้นตัวเล็กน้อย หลังจากแตะแนวรับที่ 72 จุดในปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา    โดยฝ่ายวิจัยคาดว่าเหตุการณ์นี้จะทำให้  Dollar Index  มีแนวโน้มฟื้นตัวครั้งใหม่  และตรงกันข้ามอาจจะทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์โดยเฉพาะราคาน้ำมัน   รวมถึงหุ้นที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันที่ราคาหุ้นตอบรับราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา  (PTTEP, PTT, LANNA)  และราคาทองคำ  เป็นต้น  มีแนวโน้มปรับฐานระยะสั้น ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่นักลงทุนต่างชาติจะเริ่มลดฐานะการถือครองหุ้นในภูมิภาคเอเซีย   โดยภาพรวมจะทำให้หุ้นใหญ่โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับน้ำมันถูกขายทำกำไรระยะสั้น  ด้วยเหตุนี้ฝ่ายวิจัยแนะนำให้สลับเม็ดเงินลงทุน มาเข้าหุ้นขนาดกลาง-เล็ก  ที่ยังมีการเติบโตสูง  มี PER ต่ำราว 10 เท่า  ขณะที่ราคาหุ้นยัง Laggard  หุ้นอื่นๆ ในตลาด  ได้แก่ TPIPL (FV@B17.06)  มี PER ต่ำเพียง 10 เท่า ขณะที่คาดว่าผลกำไรจะออกมาดีมากในงวด 1Q54  และเป็นการทำลายสถิติในอดีตก็ตาม  หรือหุ้นที่มีการเติบโตสูงสุดในกลุ่มสื่อสารคือ  JAS(FV@B4.5)  โดยปี 2554 แม้ PER จะสูง 42.8 เท่า  แต่มีแนวโน้มจะลดลงตามลำดับ โดยจะเหลือเพียง 6  เท่าในปี 2558   ภายใต้สมมติฐาน  EPS Growth ที่คาดว่าจะเติบโตสูงกว่าปีละ 48% ในระยะ 5 ปีข้าง ตามการเติบโตธุรกิจอินเตอร์เนตความเร็วสูง  และ ความสำเร็จจากการร่วมมือกับ ADVANC ในการให้บริการ WiFi    นักวิเคราะห์:  ภรณี ทองเย็น, CISA  เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146             เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม  เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132             กรภัทร วรเชษฐ์   ผู้ช่วยนักวิเคราะห์              โดย บมจ. หลักทรัพย์ เอเซีย พลัส ประจำวันที่ 3 พฤษภาคม 2554  

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook