Market News - บล.บีฟิท

Market News - บล.บีฟิท

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

Market News   ธ.กลางยุโรปคาดวิกฤติหนี้ยูโรโซนไม่ส่งผลกระทบแบบโดมิโน           หนังสือพิมพ์นิกเกอิรายงานว่า นายคริสเตียน นอยเออร์ สมาชิกสภาบริหารธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) กล่าวว่า เขาไม่คาดว่าจะเกิดผลกระทบแบบโดมิโนในวิกฤตการณ์หนี้ยูโรโซน เนื่องจากประเทศต่างๆ อาทิ กรีซ และโปรตุเกส ต่างก็ประสบกับปัญหาที่มีลักษณะที่แตกต่างกัน นายนอยเออร์เรียกร้องให้มีการปฏิรูปครั้งใหญ่เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้ของกรีซซึ่งเขาระบุว่า มีความรุนแรงมากกว่าปัญหาของไอร์แลนด์และโปรตุเกส แต่เขาเสริมว่า การปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งรวมถึงการลดเงินต้น จะไม่ช่วยแก้ไขวิกฤติหนี้ของกรีซ (Reuters)   กรีซแจงฟิทช์หั่นอันดับเครดิตเป็นผลจากข่าวลือในสื่อมวลชน           ฟิทช์ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของกรีซลง 3 ขั้น สู่ "B+" โดยกำหนดเครดิตพินิจในเชิงลบ ซึ่งส่งผลให้ตราสารหนี้ของกรีซมีความไม่น่าลงทุนมากยิ่งขึ้นและฟิทช์ประกาศเตือนอีกด้วยว่า หากกรีซทำการปรับโครงสร้างหนี้จะมีค่าเท่ากับการผิดนัดชำระหนี้ อย่างไรก็ดี รัฐบาลกรีซระบุว่า การตัดสินใจของฟิทช์เป็นผลมาจากกระแสข่าวลือ ในสื่อมวลชน ในขณะที่เจ้าหนี้ยังคงอยู่ในระหว่างการประเมินโครงการของกรีซ และระบุว่าการตัดสินใจของฟิทช์เป็นการมองข้ามสัญญาการให้ความช่วยเหลือใหม่ๆ ต่อกรีซ กระทรวงการคลังกรีซระบุในแถลงการณ์ว่า "ฟิทช์มองข้ามภาระผูกพันเพิ่มเติมที่รัฐบาลกรีซได้เริ่มต้นดำเนินการไปแล้วในการบรรลุเป้าหมายทางการคลังประจำปี 2011 และในการเร่งรัดโครงการแปรรูปกิจการเป็นของเอกชน" ทั้งนี้ฟิทช์เป็นสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือแห่งที่สองที่ประกาศเตือนว่าการที่ผู้ถือครองพันธบัตรต้องแบกรับความสูญเสียใดๆจะถือเป็นการผิดนัดชำระหนี้หลังจากสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (S&P) ประกาศเตือนเรื่องนี้เช่นกันในช่วงต้นเดือนนี้ (Reuters)   "มูดี้ส์"เตือนภาวะศก.ถดถอยเป็นปัจจัยลบต่ออันดับเครดิตของญี่ปุ่น           มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ระบุว่า การเผชิญกับภาวะถดถอยอีกครั้งและการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่หดตัวลงมากเกินคาดในไตรมาสแรกของญี่ปุ่นนับเป็นปัจจัยลบต่ออันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ พร้อมทั้งเตือนว่า ความล่าช้าในการฟื้นตัวอาจจะทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นต้องมีการออกมาตรการกระตุ้นทางการคลังและการเงินเพิ่มเติม มูดี้ส์ระบุว่า ผลกระทบ 3 ด้านจากแผ่นดินไหว, คลื่นยักษ์สึนามิ และวิกฤตินิวเคลียร์ในเดือนมี.ค.ทำให้ญี่ปุ่นเผชิญกับภาวะถดถอย และทำให้เศรษฐกิจหดตัวลง 0.9% ในไตรมาสแรก ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่มูดี้ส์ระบุว่า เป็นปัจจัยลบต่ออันดับความน่าเชื่อถือของญี่ปุ่น และเพิ่มความเร่งด่วนที่นายกรัฐมนตรีนาโอโตะ คังต้องรีบจัดทำงบประมาณพิเศษรอบ 2 (Reuters)   สภาพัฒน์เผยจีดีพี Q1/54 โต 3.0%, คงมุมมองทั้งปีนี้โต 3.5-4.5%           คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สภาพัฒน์) เผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี) ของไทย ในไตรมาส 1/54 ขยายตัว 3.0% จากระยะเดียวกันของปีก่อน และขยายตัว 2.0% จากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นการขยายตัว 2 ไตรมาสติดต่อกัน โดยได้แรงหนุนจากการส่งออกที่สูงเป็นประวัติการณ์ และรายได้ภาคเกษตรที่ขยายตัวดี ทำให้กำลังซื้อของเกษตรกรเพิ่มขึ้น ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวยังขยายตัวได้ในระดับสูงเช่นกัน "เศรษฐกิจในไตรมาส 1 ขยายตัวร้อยละ 3.0 โดยมีแรงสนับสนุนจากการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่ปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้การส่งออก การลงทุนและการบริโภคภาคเอกชน รวมทั้งภาคการท่องเที่ยวขยายตัวสูง" นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการสภาพัฒน์ กล่าว ส่วนในไตรมาส 2 เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะยังคงขยายตัวได้ต่อไป แม้ว่าในไตรมาส 2 ปีที่แล้ว จะขยายตัวสูงถึง 9.2% แต่ในไตรมาส 2 ปีนี้ ภาคการผลิตก็ยังขยายตัวดี อีกทั้งกำลังซื้อและการบริโภคในประเทศน่าจะขยับขึ้น จากผลของการเลือกตั้ง นายอาคม กล่าวว่า สภาพัฒน์ ยังคงคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจไทยปี 54 ไว้ที่ระดับเดิม คือ ขยายตัว 3.5-4.5% โดยมีแรงสนับสนุนจากศักยภาพการแข่งขันด้านการส่งออก ยังอยู่ในเกณฑ์ดี จากการที่ค่าเงินหยวนมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นและต้นทุนการผลิตในประเทศคู่แข่ง เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย และอินเดีย ปรับตัวสูงขึ้น (Reuters)   ธปท.เผยช่วงนี้มีแรงกดดันเงินเฟ้อจากหลายด้าน,ยังไม่ปรับเป้าจีดีพี           ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เผยว่า ช่วงนี้ยังมีแรงกดดันเงินเฟ้อจากหลายด้าน และธปท.ยังคงติดตามเรื่องดังกล่าวอย่างใกล้ชิดส่วนกรณีที่คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สภาพัฒน์) ปรับเพิ่มกรอบล่างของคาดการณ์เงินเฟ้อในปีนี้ ยังถือว่าใกล้เคียงกับกรอบที่ ธปท.คาดการณ์ไว้ นายประสาร กล่าวว่า ธปท.ประเมินไว้ว่า จีดีพีในไตรมาส 1 จะเติบโตได้กว่า2% ซึ่งความน่าสนใจของจีดีพีไตรมาสแรก คือการไปเปรียบเทียบกับฐานที่สูงในช่วงเดียวกันของปีก่อน จึงต้องคอยติดตามดูต่อไปว่า ในไตรมาส 2 และ 3 จีดีพีจะอยู่ในทิศทางใดต่อไป ซึ่งถ้าดูย้อนหลังไป 2-3 ไตรมาส ก็จะเห็นได้ว่าเศรษฐกิจมีแรงส่งเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เขามองว่า ในขณะนี้ยังไม่ต้องปรับประมาณการจีดีพีทั้งปี 54 เพราะต้องขอรอดูแนวโน้มของเศรษฐกิจก่อน และถ้าหากมีการปรับคาดการณ์ถี่เกินไปอาจทำให้ภาคเอกชนเกิดความลำบาก ในการนำข้อมูลไปใช้ในการวางแผนธุรกิจ(Reuters)   คลังคาดออกพันธบัตรอิงเงินเฟ้อในต้นก.ค., ดอกเบี้ยหน้าตั๋ว 1.0-1.2%           สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ(สบน.) เผยรัฐบาลจะจำหน่ายพันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อ(Inflation Linked Bond:ILB) ได้ในต้นเดือน ก.ค.นี้ โดยคาดว่าอัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋วจะอยู่ระหว่างอัตรา 1.0-1.2% ซึ่งจะประกาศได้ในสัปดาห์ที่ 4 ของเดือนมิ.ย.หรือก่อนการจำหน่าย 1 สัปดาห์ (Reuters)   ก.ล.ต.หนุน บล.ขยายฐานนักลงทุน, เล็งเพิ่มตัวแทนขายหน่วยลงทุน-ตราสารหนี้           สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) ระบุในเอกสารเผยแพร่ว่าการประชุมประจำไตรมาสกับสมาคมบริษัทหลักทรัพย์(บล.) ว่า เห็นด้วยกับสมาคมที่จะสนับสนุนการขยายฐานผู้ลงทุนด้วยวิธีการต่างๆ รวมถึงแนวทางการพัฒนาผู้ติดต่อกับผู้ลงทุน การเพิ่ม บทบาทของผู้ลงทุนสถาบันและ financial planner ซึ่งเป็นแนวทางที่ตลาดทุนของมาเลเซีย และสิงคโปร์ ขยายฐานผู้ลงทุนสำเร็จมาแล้ว โดยสำนักงานก.ล.ต.มีแนวคิดเพิ่มจำนวนตัวแทนที่ขายหน่วยลงทุนและตราสารหนี้และจัดให้มีผู้ให้บริการในรูปแบบ investment supermarket เช่น เพิ่มความยืดหยุ่นในขนาดของทุนจดทะเบียนขั้นต่ำของผู้ให้บริการ (Reuters)   BANPU คาดผลผลิตถ่านหินเพิ่มขึ้น 10-15% ในช่วง 5 ปีข้างหน้า           นางสมฤดี ชัยมงคล ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการการเงิน บมจ.บ้านปู(BANPU) ระบุว่า ทางบริษัทคาดว่าผลผลิตถ่านหินจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10-15% ต่อปีในช่วง 5 ปีข้างหน้า โดยบริษัทจะพุ่งเป้าไปที่การขยายกิจการในอินโดนีเซียและออสเตรเลีย บริษัทมีแผนจะลงทุนเป็นจำนวนเงิน 230 ล้านดอลลาร์ในอินโดนีเซียระหว่างปี 2554-2558 เพื่อเพิ่มผลผลิตและประสิทธิภาพ คาดว่ายอดขายของบ้านปูจะแตะระดับ 9 หมื่นล้านบาทในปีนี้ เพิ่มขึ้น40% จากปีที่แล้ว โดยส่วนใหญ่มาจากผลผลิตที่เพิ่มขึ้นจากอินโดนีเซีย และจากบริษัท Centennial ของออสเตรเลียที่บ้านปูซื้อกิจการในปีที่แล้ว รวมทั้งจากราคาขายที่เพิ่มสูงขึ้น แต่การเติบโตของกำไรสุทธิจะลดต่ำลง (Reuters)   AMATA คาดรายได้ Q2 ดีกว่า Q1, ยังคงเป้ายอดขายที่ดินปีนี้           บมจ.อมตะ คอร์ปอเรชั่น(AMATA) คาดรายได้ไตรมาส2/54 ดีกว่าไตรมาสแรก เนื่องจากมีการรับรู้รายได้จากยอดขายที่ดินในนิคม อุตสาหกรรมอมตะนคร ซึ่งมีราคาสูงและมียอดขายที่ดีขึ้น "ยอดขายที่ดินใน Q2 น่าจะใกล้เคียงกับ Q1 ที่เราขายได้ใน Q1 ได้ 246 ไร่แต่รายได้น่าจะมากกว่า เพราะใน Q2 มียอดรับรู้รายได้จากการขายที่ดินที่อมตะนคร มากกว่าที่(อมตะ)ซิตี้ และราคาต่อไร่ก็สูงกว่าเป็นเท่าตัว"นายวิบูลย์ กรมดิษฐ์กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ AMATA กล่าว บริษัทยังคงเป้าหมายยอดขายที่ดินในปีนี้ที่ 1.5-1.8 พันไร่ ซึ่งมองว่าจะสามารถทำได้อย่างแน่นอน เนื่องจากขณะนี้ลูกค้าเข้ามาติดต่อซื้อที่ดินเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะช่วง 2 เดือนนี้ มีลูกค้าเข้ามามากกว่าปกติที่เคยเข้ามา30-40% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกค้าจากญี่ปุ่น สำหรับราคาขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร อยู่ที่ราว 5 ล้านบาท/ไร่ ขณะที่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้อยู่ที่ 2.6 ล้านบาท/ไร่ ซึ่งตั้งแต่ต้นปีถึงขณะนี้บริษัทสามารถขายที่ดินไปแล้ว 300-400 ไร่ และจะรอรับรู้รายได้เกือบ 2 พันล้านบาทโดยคาดว่าจะรับรู้รายได้ในปีนี้ราว 90% (Reuters)   SENA คาดกำไรปีนี้ใกล้เคียงหรือดีกว่าปีก่อนเล็กน้อย, ทยอยขึ้นราคาขาย           บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์(SENA) คาดว่ากำไรสุทธิปีนี้ใกล้เคียงหรือดีกว่าปีก่อน เล็กน้อย ส่วนรายได้โตประมาณ 10-15% โดยทั้งปีนี้จะทยอยขึ้นราคาขายที่อยู่อาศัยเฉลี่ย 3-5% นางสาวเกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการและกรรมการบริหาร SENA คาดว่าปีนี้จะมีกำไรสุทธิใกล้เคียงหรือดีกว่าปีก่อนเล็กน้อย ซึ่งเป็นการเติบโตตามรายได้ที่คาดว่าจะโต 10-15% มาที่ 1.5 พันล้านบาท โดยในช่วงตั้งแต่กลางปีนี้เป็นต้นไป บริษัทจะเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการคอนโดมิเนียม อย่างไรก็ตาม ในส่วนอัตรากำไรสุทธิปีนี้ จะลดลงมาที่ 20% จากปีก่อนที่ 25%เนื่องจากมาตรการช่วยเหลือด้านภาษีที่หมดไป ทำให้มีภาระภาษีที่เพิ่มขึ้น (Reuters)   AIT คาดกำไรสุทธิปีนี้ดีกว่าปีก่อน, ตั้งเป้ารายได้ 5 พันลบ.           บมจ.แอ็ดวานซ์ อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี(AIT) ผู้ให้บริการด้านธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศและระบบการสื่อสาร คาดกำไรสุทธิปีนี้ดีกว่าปีก่อนพร้อมตั้งเป้ารายได้ที่ 5 พันล้านบาท สูงกว่าปีก่อน นายศิริพงษ์ อุ่นทรพันธุ์ ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ AIT คาดว่า กำไรสุทธิปีนี้ดีกว่าปีก่อน ซึ่งเป็นการเติบโตตามยอดขาย ส่วนอัตรากำไรสุทธิจะไม่ต่ำกว่า 8% ใกล้เคียงปีก่อน เนื่องจากบริษัทควบคุมต้นทุน รวมทั้งมีรายได้เสริมจากงานด้านบริการ ในส่วนรายได้รวมปีนี้ ตั้งเป้าที่ระดับ 5 พันล้านบาท ซึ่งสูงกว่าปีก่อน ซึ่งจะมาจากงานในมือ(backlog) ในไตรมาส 1/54 ซึ่งมีอยู่ 2.5-2.6 พันล้านบาท และคาดว่าปีนี้จะรับรู้รายได้ประมาณ 2 พันล้านบาท และจะมีเพิ่มขึ้นอีกในไตรมาส 2-4 ปีนี้ (Reuters)             โดย บจ.หลักทรัพย์ บีฟิท ประจำวันที่ 24 พ.ค. 2554

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook