น้องบุ๋ม อดีตนักกีฬาทีมชาติ เสริมจมูกติดเชื้อเป็นอัมพาต

น้องบุ๋ม อดีตนักกีฬาทีมชาติกระโดดสูง ผ่าตัดเสริมจมูกย่านรัชดา ก่อนติดเชื้อเป็นอัมพาตนาน 3 ปี พ่อแม่วอนช่วยลูกสาว

(30 พ.ค.) เมื่อวันที่ 29 พ.ค. ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.ชไมภรณ์ แก้วเกื้อ หรือน้องบุ๋ม อยู่บ้านเลขที่ 59/2 ถนนสายทุ่งสง-ทุ่งใหญ่ หมู่ที่ 12 ต.ควนกรด อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช นักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล อดีตนักกีฬากระโดดสูงทีมชาติไทย ซึ่งได้ไปผ่าตัดเสริมจมูกที่คลินิกย่านรัชดา เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา และเกิดอาการติดเชื้อจนเป็นอัมพาตต้องนอนพักอยู่กับพ่อแม่ที่บ้าน

นายสุชีพ ผู้เป็นบิดา กล่าวว่า น้องบุ๋มเริ่มเข้าเรียนที่โรงเรียนกีฬาจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นนักกีฬากระโดดสูง และติดเป็นนักกีฬาทีมชาติตั้งแต่เรียนชั้นม.1 ต่อมาช่วงที่น้องบุ๋มเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยมหิดล ชั้นปีที่ 2 ได้ไปทำศัลยกรรมเสริมจมูกที่คลีนิคเสริมความงามแห่งหนึ่งย่านรัชดาภิเษก กทม. ในปี 2551 หลังได้รับการผ่าตัดแล้วก็สลบไปจนไม่ได้สติ แพทย์ประจำคลินิกได้นำตัวไปส่งหอพัก ผ่านพ้นไปหลายชั่วโมงเพื่อนๆเห็นว่ายังไม่พื้นจึงโทรไปหาแพทย์เจ้าของไข้เพื่อให้มารับน้องบุ๋มไปที่โรงพยาบาลรามคำแหง หลังจากนอนพัก 6 ชั่วโมงแพทย์ดังกล่าวก็นำตัวน้องบุ๋มกลับมาส่งที่หอเช่นเดิม

ต่อมาทางบ้านทราบเรื่อง จึงเดินทางไปรับน้องบุ๋มส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ รัตนาธิเบศร์ รักษาตัว 5 วัน เสียค่าใช้จ่ายกว่า 130,000 บาท จึงนำตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลศิริราช อาการจึงดีขึ้นเล็กน้อย หลังจากนั้นได้เข้าแจ้งความที่ สน.สุทธิสาร พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหาแพทย์ผู้ทำศัลยกรรม กระทำการโดยประมาท แต่ทางแพทย์คนดังกล่าวระบุว่า เหตุที่น้องบุ๋มนอนไม่ได้สติ เกิดจากติดเชื้อสมองอักเสบและไวรัสเริม ไม่ใช่สาเหตุมาจากการผ่าตัดเสริมจมูก และยังบอกอีกว่าไม่กี่วันก็จะหายเป็นปกติพร้อมเจรจาจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลให้เป็นเงิน 130,000 บาท ซึ่งตนก็เชื่อว่าจะหายตามที่แพทย์ระบุจึงรับเงินไว้

นายสุชีพ กล่าวต่อว่า แต่จนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 3 ปีเศษแล้ว น้องบุ๋ม กลับมีอาการหนักขึ้นกว่าเก่า ร่างกายซูบผอม ไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ ตนและภรรยาต้องผลัดเปลี่ยนกันมาดูแล ทั้งคอยป้อนข้าว ป้อนน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า จึงอยากวิงวอนผู้ที่มียาดี หรือหนทางรักษาได้ช่วยเหลือน้องบุ๋มให้หายเป็นปกติด้วย เนื่องจากลูกสาวเป็นคนดีเป็นนักกีฬาทีมชาติเคยสร้างชื่อเสียงให้กับชาติกับประเทศไทยจึงอยากให้ได้กลับมาใช้ชีวิตเหมือนปกติ