แจ้งจับพ่อเลี้ยงข่มขืน ด.ญ.10ขวบ มาราธอน2ปี
ครูยุ่น พา ด.ญ.วัย 10 ขวบ แจ้งจับพ่อเลี้ยงสุดหื่นข่มขืนลูกเลี้ยง ด.ญ.10ขวบ มาราธอนนานกว่า2ปี ชาวบ้านสุดทนพาเด็กส่งมูลนิธิคุ้มครองเด็ก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า (6 ก.ย.) เมื่อเวลา 14.00 น.ที่ สน.ราษฎร์บูรณะ นายมนตรี สินทวีชัย หรือ ครูยุ่น เลขาธิการมูลนิธิคุ้มครองเด็ก พาน้องเอ (นามสมมติ) อายุ 10 ปี นักเรียนชั้น ป.4 โรงเรียนย่านทุ่งครุ กทม.เข้าพบ พ.ต.อ.มานพ สุคนธนพัฒน์ ผกก.สน.ราษฎร์บูรณะ เพื่อดำเนินคดีกับนายศิริพงษ์ สุจริต อายุประมาณ 28 ปี พ่อเลี้ยงที่ข่มขืนน้องเอ ตั้งแต่อายุได้เพียง 8 ปี
นายมนตรี กล่าวว่า เมื่อวันที่ 31 ส.ค.ที่ผ่านมา พลเมืองดีได้นำตัวน้องเอ มาขอความช่วยเหลือที่บ้านพักเด็กหญิงมูลนิธิคุ้มครองเด็ก อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม เนื่องจากน้องเอไม่ต้องการอยู่บ้าน เพราะถูกพ่อเลี้ยงล่วงละเมิดทางเพศมานานร่วม 2 ปี ทางมูลนิธิจึงรับตัวน้องเอไว้ในความดูแลซึ่งขณะนั้นเด็กมีสภาพจิตใจค่อนข้างแย่ไม่ค่อยพูดจา จนกระทั่งน้องเอมีสภาพจิตใจดีขึ้นจึงพาตัวมาพบพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีกับพ่อเลี้ยง
"ทราบว่า แม่และพ่อเลี้ยง ได้พาครอบครัวหลบหนีไปอยู่ที่อื่นแล้ว จากการสอบถามเบื้องต้นผู้เป็นแม่อ้างว่าไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นไม่มีส่วนรู้เห็นเป็นใจ และไม่เชื่อว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ อย่างไรก็ตาม ได้แจ้งความดำเนินคดีกับนายศิริพงศ์ ในข้อหาข่มขืนกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 13 ปี ไว้โดยคาดว่าตำรวจจะสามารถติดตามตัวนายศิริพงศ์มาดำเนินคดีได้ในเร็วๆ นี้" นายมนตรี กล่าว
จากการสอบถาม น้องเอ กล่าวว่า เคยอยู่ที่ จ.เชียงใหม่ หลังจากพ่อแม่แยกทางกัน แม่ก็เดินทางทำงานที่กรุงเทพฯ จากนั้นได้รู้จัก นายศิริพงษ์ และแต่งงานกันจึงนำตนมาอยู่ด้วยที่พักคนงานของบริษัทแห่งหนึ่งย่านราษฎร์บูรณะ ที่พ่อเลี้ยงทำงานอยู่ โดยแม่กับพ่อเลี้ยงมีลูกด้วยกันอีก 4 คน เป็นหญิง 3 และชาย 1 คน หลังจากที่เข้ามาอยู่ กทม.ได้เพียง 2 ปี พ่อเลี้ยงก็พยายามหาโอกาสใกล้ชิด โดยเฉพาะช่วงที่แม่ไม่อยู่บ้านต้องไปทำงานรับจ้างขายของ
“วันหนึ่งช่วงที่แม่ไม่อยู่บ้านพ่อเลี้ยงได้เรียกเข้าไปที่ห้องนอน จากนั้นได้ทำการกระทำชำเรา แล้วข่มขู่ว่าห้ามนำเรื่องนี้ไปบอกกับแม่ ไม่เช่นนั้นจะฆ่าทิ้ง จึงไม่กล้าบอกใคร และถูกกระทำอย่างต่อเนื่องทุกครั้งช่วงที่แม่ต้องไปทำงาน นานร่วม 2 ปี จนก่อนเมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ทนต่อไปไม่ไหวจึงนำเรื่องนี้ไปเล่าให้เพื่อนนักเรียนและผู้ปกครองเพื่อนฟัง และเล่าต่อๆ กัน จนทราบทั้งชุมชนละแวกบ้าน ชาวบ้านจึงหารือเพื่อให้การช่วยเหลือพาส่งมูลนิธิ” น้องเอ กล่าว