ลวงหญิง6คน ขังห้องใต้ดินเป็นทาสทางเพศ2ปี
หนุ่มจีนวัย34ปี ปิดบังภรรยา ล่อลวงหญิง6คน มาขังไว้ในห้องใต้ดินลึก4เมตร นานถึง2ปี ตำรวจบุกเข้าไปช่วยเจอศพอีก2ศพ
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เจิ้ง เซิ่งลี่ เจ้าหน้าที่ไต่สวนคดีอาชญากรรมในลั่วหยังบอกกับผู้สื่อข่าวจีนหนังสือพิมพ์หนันฟังตูซื่อ ว่าในชีวิตการทำงานไต่สวนคดีอาชญากรรม ตนคงไม่อาจลืมเรื่องราวที่ได้รับฟังจากโทรศัพท์เมื่อต้นเดือน(ก.ย.)ที่ผ่านมา มันเป็นเรื่องที่ช็อกวงการตำรวจลั่วหยัง และคดี “นายหลี่ เฮ่ากักขังทาสทางเพศ” ก็กระฉ่อนไปทั่วเมือง และกลายเป็นข่าวใหญ่ตามสื่อจีนเมื่อวันพฤหัสฯ(22 ก.ย.)
เจิ้ง เซิ่งลี่ เล่าว่า เสี่ยวชิง (นามสมมุติ) วัย 23 ปี ได้ฉวยโอกาสตอนที่นายหลี่ เฮ่า พาออกมาขายตัวข้างนอก โทรศัพท์มายังหน่วยงานพิทักษ์สันติราษฎร์ เล่าเหตุการณ์สุดสะเทือนขวัญ ว่าเธอและผู้หญิงอีก 5 คน ถูกล่อลวงและลักพาตัวมากักขังไว้ที่ห้องใต้ดิน และก็ได้กลายเป็นทาสทางเพศของ “พี่ชายใหญ่” ต่อมา ผู้หญิงสองคนถูก “พี่ชายใหญ่” สังหาร
สองวันต่อมาเจ้าหน้าที่ก็ได้บุกเข้าไปทลายห้องใต้ดินที่คุมขังทาสทางเพศในเขตซีกง เมืองลั่วหยัง มณฑลเหอหนัน ของ “พี่ชายใหญ่” ช่วยหญิงสาวทั้งหมดออกมา
ซึ่งผู้ต้องสงสัย คือนาย หลี่ เฮ่า วัย 34 ปี เป็นเจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจสอบดูแลด้านเทคนิกและคุณภาพ (Bureau of Quality and Technical Supervision) ประจำเมืองลั่วหยัง นายหลี่ เฮ่า แต่งงานมีภรรยา และมีลูก 1 คน ภรรยาของนายหลี่ เป็นแม่บ้านอายุอ่อนกว่านายหลี่ 10 ปี
เจ้าหน้าที่ตำรวจในเขตซีกงผู้ไม่เผยนาม บอกว่าห้องใต้ดินที่นายหลี่ เฮ่าใช้ประกอบอาชญากรรมนี้ อยู่ใต้ตึกที่พักอาศัย นายหลี่ เฮ่าได้ซื้อห้องใต้ดินนี้มาเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ด้วยพื้นที่ไม่ถึง 20 ตารางเมตร และตั้งอยู่ในเขตที่อยู่อาศัยเก่าเล็กๆ จึงน่าจะมีราคาถูก นายหลี่ เฮ่าใช้เวลานานปีกว่า ขุดอุโมงค์และต่อเติมห้องใต้ดิน โดยส่วนใหญ่จะทำในเวลากลางคืน จึงไม่เป็นที่สังเกตของผู้คนในละแวกนั้น จากนั้นก็ล่อลวงผู้หญิงมายังห้องใต้ดิน ซึ่งมักกระทำในเวลาหลังเที่ยงคืนแล้ว
เจ้าหน้าที่ตำรวจบอกว่า เจ้าหน้าที่ที่เคยผ่านศึกสงครามหลายคนยังตกตะลึงกับการออกแบบห้องลับของนายหลี่ เฮ่า ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ปากถ้ำมีเส้นผ่าศูนย์กลางราว 60 ซม. ถัดจากปากถ้ำด้านขวาเป็นทางแคบๆที่พอสำหรับคนเพียงคนเดียวสามารถคลานเข้าไปได้ ภายในมี 2 ห้องเล็กๆ เนื่องจากมันอยู่ลึกลงไปถึง 4 เมตร จึงมีสภาพทั้งชื้นทั้งเหม็นเปรี้ยว
“เหยื่อผู้หญิงอาศัยในห้องเล็กๆ ทั้งกินอยู่ขับถ่ายในห้องนี้ทุกวัน คุณคิดว่ากลิ่นมันจะเลวร้ายขนาดไหน?” เจิ้ง เซิ่งลี่ กล่าวพร้อมกับส่ายศีรษะ และเล่าต่อว่า “ตอนที่ตำรวจคลานเข้าไปข้างใน ผู้หญิงที่ถูกขังอยู่ได้ยินเสียง ก็คิดว่าเป็น “พี่ชายใหญ่” กลับมาแล้ว พากันร้องเรียก “พี่ชายใหญ่ กลับมาแล้วหรือ แต่เมื่อเห็นว่าเป็นตำรวจ พวกเธอก็ร้องไห้โฮออกมา”
ตำรวจได้สำรวจห้องใต้ดิน ก็พบว่ามันถูกแบ่งออกเป็นสองห้องเล็กๆ และสิ่งที่ทำให้พวกเขาตกตะลึงอีกคือ ข้างๆตัวเหยื่อผู้หญิงมีคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งแต่ไม่มีอินเทอร์เน็ต หลี่ เฮ่าเอามาให้ผู้หญิงดูแผ่นซีดีหนัง และเล่นเกมเท่านั้น
หลังจากที่ปล่อยเหยื่อทาสทางเพศแล้ว ตำรวจก็ทบทวนเรื่องราวที่ผู้หญิงเหล่านั้นเล่า จากนั้นในวันที่ 6 ก.ย.ก็ไปตรวจสอบห้องใต้ดินอีกครั้ง ก็พบซากศพของเหยื่อสองคนที่มุมห้องสองมุม จากการวิเคราะห์เบื้องต้น ผู้ตายน่าจะเสียชีวิตภายในช่วงเวลา 1 ปี
จากการไต่สวน เจ้าหน้าที่พบอีกว่า ผู้ต้องสงสัยหลี่ เฮ่า เมื่อล่อลวงผู้หญิง 6 คน มากักขังไว้แล้ว ก็ข่มขืนพวกเธอ นอกจากนี้ยังได้ “เกลี้ยกล่อมจนเชื่อง” จนหญิงเหล่านี้ไม่แสดงอาการต่อต้านใดเลย หน่ำซ้ำยังอิจฉากันเอง และมักเอ่ยอ้าง “คืนนี้ใครจะนอนกับพี่ชายใหญ่” ขึ้นมาตบตีกัน เมื่อเวลาผ่านไปยาวนาน พวกเธอก็เรียกหลี่ เฮ่า ว่า “พี่ชายใหญ่” หรือไม่ก็ “ผัว”
“ราวหนึ่งปีที่ผ่านมา คืนหนึ่งหญิงคนหนึ่งเกิดริษยาเพื่อนอีกคน ถึงกับตบตีกัน เมื่อหลี่ เฮ่าเข้ามาห้ามศึก ก็ตีผู้หญิงที่ก่อเรื่องก่อนจนตาย และได้ฝังศพไว้ ก่อนหน้าที่จะสังหารหญิงคนนี้ หลี่ เฮ่า ยังได้ทำการ “เชือดไก่ให้ลิงดู” โดยทุบตีผู้หญิงที่ไม่เชื่อฟัง คนหนึ่งจนตาย และนำศพมาฝังไว้ที่มุมห้องที่เหยื่อหญิงทั้งหลายอาศัยอยู่ ผู้หญิงเหล่านี้ถูกกักขังเป็นเวลานานมาก คนที่ถูกขังนานที่สุด คือ 2 ปี และสั้นที่สุด ก็ 3 เดือน หลี่ เฮ่าควบคุมทาสทางเพศของเขาอย่างระแวดระวังที่สุด นอกจากติดตั้งประตูเหล็กแล้ว เพื่อที่จะไม่ให้เหยื่อ “มีแรงหนี” จึงมักส่งอาหารให้พวกเธอกินสองวัน"
ทั้งนี้ เมื่อหลี่ เฮ่า รู้ว่าเสี่ยวชิงหนีไปแล้ว ก็คิดแผนการเผ่นไปอยู่ที่อื่น แต่ก็ถูกตำรวจรวบตัวได้เสียก่อน
แหล่งข่าวที่ใกล้ชดกับคดีฯเผยว่า หลี่ เฮ่า เก็บนางทาสทางเพศในห้องใต้ดินเป็นความลับเป็นเวลานาน โดยที่ภรรยาของเขาไม่รู้เลย เขาโกหกภรรยาว่าไปทำงานพิเศษที่ต่างเขต ดังนั้น ในเดือนหนึ่งๆ เขาสามารถอยู่กับ “น้องๆ”ได้ถึงเกือบครึ่งเดือน โดยไม่กลับบ้านเลย