สรุปทีมฟอร์มเจ๋งและเจ๊งในรอบปีโดยไทยลีกออนไลน์

สรุปทีมฟอร์มเจ๋งและเจ๊งในรอบปีโดยไทยลีกออนไลน์

สรุปทีมฟอร์มเจ๋งและเจ๊งในรอบปีโดยไทยลีกออนไลน์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

สกู๊ปพิเศษส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ของวงการฟุตบอลไทย โดยทีมงานไทยลีกออนไลน์ วันนี้เสนอเรื่อง 3 ทีมฟอร์มเจ๋ง และ 3 ทีมฟอร์มเจ๊ง ใครจะติดอยู่ในโผไหนบ้าง ลองติดตามดูครับ

ใกล้จะสิ้นปีเต็มที มีหลายเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับวงการฟุตบอลไทยในรอบปีที่ผ่านมา และในโอกาสนี้ทีมงานไทยลีกออนไลน์จึงขอนำเสนอสกู๊ปพิเศษต้อนรับปีใหม่

โดยการสรุปผลงานและเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับฟุตบอลในบ้านเราในฤดูกาลที่ผ่านมาให้ได้รับทราบกัน แบ่งเป็น 5 วัน 5 เรื่อง และในวันนี้ถือเป็นวันแรกประเดิมกันที่เรื่องของ 3 ทีมฟอร์มเจ๋งและเจ๊งในฤดูกาลนี้

เริ่มกันที่ทีมฟอร์ม “เจ๊ง” หรือน่าผิดหวังอันดับที่ 3 กันก่อน ทีมงานไทยลีกออนไลน์ลงความเห็นว่า ”ฉลามชล” ชลบุรี เอฟซี คือทีมที่ทำผลงานได้สุดน่าผิดหวังทีมหนึ่ง

เพราะก่อนเปิดฤดูกาล พวกเขาตั้งความหวังไว้ที่ “แชมป์” ไทยพรีเมียร์ลีก แต่เตะไปเตะมา ชักเริ่มห่างไกลกับถ้วยแชมป์มากขึ้นเรื่อยๆ จนในปัจจุบันทัพ “ฉลามชล” หมดสิทธิ์ลุ้นแชมป์ไปเป็นที่เรียบร้อย ทั้งที่ยังเหลือโปรแกรมให้แข่งขันกันอีกหลายเกม

หากย้อนกลับไปเมื่อช่วงต้นปี ประมาณเดือนมีนาคม ทีมชลบุรี เอฟซี ได้ทำการเปิดตัวสโมสรเพื่อสู้ศึกในฤดูกาล 2011 อย่างยิ่งใหญ่ นายกฯ วิทยา คุณปลื้ม ประธานสโมสร ลงทุนลงแรงไปไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท

ทั้งการเสริมทัพนักเตะต่างชาติค่าตัวแสนแพง และการลงทุนสร้างสนามแห่งใหม่ ชลบุรี สเตเดี้ยม เพื่อหวังจะนำถ้วยแชมป์ลีกสูงสุดกลับคืนมายังถิ่นเมืองชล

แต่ทว่าลูกทีมของ “โค้ชเฮง” วิทยา เลาหกุล กลับไม่สามารถรักษาความคงเส้นคงวาได้ แม้จะมีบางช่วงที่ ชลบุรี เอฟซี เค้นฟอร์มเก่งออกมาจนถล่มคู่แข่งแบบยับเยิน แต่ในไม่กี่นัดหลังกลับฟอร์มแผ่วไปเอง และทำแต้มหล่นแบบเรี่ยราด จนไม่อาจเอื้อมไปถึงตำแหน่งแชมป์ได้

อย่างไรก็ตาม ชลบุรี เอฟซี ยังมีข้อแก้ตัวเล็กน้อย นั่นคือในปีนี้พวกเขาต้องประสบปัญหานักเตะตัวหลักบาดเจ็บหลายคน ไม่ว่าจะเป็น เอกพันธ์ อินทเสน, ณัฐพงษ์ สมณะ และ อนุชา กิจพงษ์ศรี ที่พากันเจ็บยาว

นอกจากนั้นยังมีผู้เล่นเจ็บเล็กเจ็บน้อยอีกมากมาย ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ “ฉลามชล” ไปไม่ถึงฝั่งฝันในปีนี้

จากการหมดลุ้นแชมป์ตั้งแต่หัววัน ทั้งที่ลงทุนไปเป็นร้อยล้าน ทีมงานไทยลีกออนไลน์จึงขอยกให้ ชลบุรี เอฟซี คือทีมที่มีผลงาน “น่าผิดหวัง” ที่สุดเป็นอันดับ 3 ในฤดูกาลนี้

ต่อด้วยทีมที่ทำผลงานได้น่าผิดหวังมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ทีมงานไทยลีกออนไลน์คิดว่า “เดอะบลูมาร์ลิน” ศรีราชา ซูซูกิ เอฟซี คือทีมที่ทำผลงานได้น่าผิดหวังมากที่สุดอีกทีมหนึ่ง

เนื่องจากพวกเขาเลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นในไทยพรีเมียร์ลีกด้วยฐานะ “แชมป์” ของลีกดิวิชั่น 1 ที่มีผลงานสวยหรู ทำแต้มทิ้งห่างคู่แข่งเป็น 10 คะแนน

แต่กลับกลายเป็นว่า ศรีราชา คือทีมที่มีผลงาน “น่าผิดหวัง” ที่สุดในบรรดา 3 ทีมน้องใหม่ ทั้งสมัยการคุมทัพของ ทรงยศ กลิ่นศรีสุข ในช่วงครึ่งซีซั่นแรก หรือจะเป็นในสมัย ดุสิต เฉลิมแสน ครึ่งซีซั่นหลัง “เดอะบลูมาร์ลิน” ก็ยังย่ำแย่ต่อเนื่อง ทำให้โอกาสร่วงกลับไปเล่นในระดับดิวิชั่น 1 ฤดูกาลหน้ามีสูงเหลือเกิน

ปัจจัยหลักที่ทำให้ ศรีราชา มีผลงาน “เจ๊ง” ในปีนี้คงจะเป็น การเสริมทัพที่ผิดพลาด เนื่องจาก “เดอะบลูมาร์ลิน” ประมาทลีกสูงสุดมากเกินไป โดยฝ่ายบริหารคิดว่า การทำผลงานสวยหรูในดิวิชั่น 1 คงไม่จำเป็นต้องเสริมทัพมากนักในระดับไทยลีก

แต่กลายเป็น นักเตะระดับเทพที่พาทีมเลื่อนชั้น ไม่สามารถต่อกรกับเสือสิงห์กระทิงแรดในไทยลีกได้

ผู้เล่นอย่าง อรรถพงศ์ หนูพรหม, สุภภรณ์ พรหมพินิจ, สุจริจ จันทกล, วรุตม์ วงศ์ดี หรือนักเตะต่างชาติอย่าง ดักลาส โคโบ้, วาลารี่ ซานู, อารอน ดา ซิลวา แม้กระทั่ง กัสตัน กอนซาเลซ คือดาวเตะระดับ “เทพ” ที่ทุกคนยกย่องในดิวิชั่น 1

แต่พอเลื่อนขั้นมาเล่นในไทยลีก พวกเขาเหล่านั้นแทบจะกลายเป็นนักเตะระดับหางแถวเมื่อเทียบกับทีมอื่นๆ

จากเหตุข้อนี้ทำให้ ศรีราชา ซูซูกิ เอฟซี ไม่สามารถทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจ จนต้องเข้ามาติดในทำเนียบทีมฟอร์ม “เจ๊ง” ครั้งนี้

ส่วนทีมที่มีผลงานน่าผิดหวังมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ทีมงานไทยลีกออนไลน์ขอยกให้ “กิเลนผยอง” เมืองทองฯ ยูไนเต็ด แชมป์เก่า 2 สมัย ที่กำลังลุ้นรองแชมป์กับ ชลบุรี เอฟซี ในเวลานี้

หลายคนอาจสงสัยว่า “ทำไม” เมืองทองฯ ถึงเข้ามาติดในชาร์ตครั้งนี้ ซึ่งเหตุผลก็คงคล้ายๆกับของ “ฉลามชล” นั่นคือ เมื่อเทียบกับความหวัง, เป้าหมาย และการลงทุนแล้ว ผลตอบแทนที่ เมืองทองฯ ได้รับในปีนี้กลับไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน

โดยก่อนเปิดฤดูกาลพวกเขาทุ่มงบประมาณมหาศาลกว่า 100 ล้านบาท ในการเสริมทัพ ทั้งการกวาดต้อนผู้เล่นชั้นดีของทีมอื่นมาร่วมทีม ไม่ว่าจะเป็น อานนท์ สังสระน้อย จากบีอีซี เทโรศาสน, สันติ ไชยเผือก จากพัทยา ยูไนเต็ด, คัพฟ้า บุญมาตุ่น จากโอสถสภาฯ สระบุรี

รวมไปถึงซื้อตัวดาวเตะต่างชาติค่าตัวแสนแพงอย่าง “เดอะก็อด” ร็อบบี้ ฟาวเลอร์, เซส เรห์มาน, โทนี่ คัลลิโอ และมิโลสลาฟ ท็อธ จากทีโอที เอสซี

แต่กลายเป็นว่าผู้เล่นที่เอ่ยชื่อมา ไม่มีใครสามารถยึดตำแหน่งตัวจริง หรือเป็นตัวหลักให้กับทีมได้เลย หลายคนถูกส่งให้ทีมอื่นยืมตัว ส่วนบางคนก็ยอมขาดทุนยกเลิกสัญญาทิ้งไป

จากการเสริมทัพที่ผิดพลาด ทำให้ฟอร์มโดยรวมของทีม เมืองทองฯ ยูไนเต็ด ไม่สู้ดีนัก แม้จะยังเกาะกลุ่มหัวตารางได้จนจบฤดูกาล แต่เมื่อเทียบกับความหวังของเหล่าแฟนบอล ต้องบอกว่า “กิเลนผยอง” ปีนี้ แทบไม่มีอะไรให้สาวกอุลตร้าได้ชื่นใจเลย

นอกจากนั้นสาเหตุอีกประการที่ทำให้ เมืองทองฯ มีฟอร์มน่าผิดหวังในปีนี้คือ “การเลือกโค้ชผิด” เพราะฤดูกาลนี้พวกเขาเปลี่ยนโค้ชไปแล้วถึง 4 คน เริ่มตั้งแต่ คาร์ลอส คาร์วัลโญ่ ช่วงต้นซีซั่น ต่อด้วย อ.อาจหาญ ทรงงามทรัพย์ จนมาถึง เอ็นริเก้ คาลิสโต้ สุดท้ายกลายเป็น ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ที่ผันตัวจากนักเตะ มาควบตำแหน่งกุนซือในที่สุด

แต่แม้จะเปลี่ยนโค้ชไปมากมาย ก็ไม่มีใครจับจุด หรือหาความ “ลงตัว” ให้กับทีมเมืองทองฯ ได้เลย จนทำให้ผลงานน่าผิดหวังอย่างที่ออกมา ดังนั้นทีมงานไทยลีกออนไลน์จึงขอยกให้ เมืองทองฯ ยูไนเต็ด คือทีมที่ทำผลงานได้น่าผิดหวังที่สุดแห่งปี

ผ่านพ้นไปสำหรับ 3 ทีมฟอร์มเจ๊ง หรือน่าผิดหวังที่สุดแห่งปี ครานี้มาดูกันที่ 3 ทีมฟอร์ม “เจ๋ง” แห่งปีกันบ้าง ขอเริ่มต้นที่ทีมฟอร์มเจ๋งอันดับ 3 น้องใหม่อย่าง “กว่างโซ้งมหาภัย” เชียงราย ยูไนเต็ด

ก่อนเปิดฤดูกาล 2011 หลายคนยกให้ เชียงราย ยูไนเต็ด คือตัวเต็งลำดับต้นๆที่จะตกชั้น เพราะพวกเขาเลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นในไทยลีกแบบอาศัยโชคเล็กน้อย

เนื่องจากคู่แข่งแย่งอันดับ 3 ในปีนั้นอย่าง สงขลา, นครปฐม และ แอร์ฟอร์ซ ยูไนเต็ด ต่างพากันฟอร์มตกในช่วง 3-4 เกมหลัง ทำให้ เชียงราย ยูไนเต็ด แซงปาดหน้าคว้าตั๋วขึ้นไทยลีกมาได้แบบหวุดหวิด

แม้จะได้เลื่อนชั้น แต่ “กว่างโซ้งมหาภัย” ก็มีปัญหาตามมาอีกมาย ทั้งเรื่องของสนามแข่งขันที่ไม่มีเป็นของตัวเอง ต้องไปยืม ม.แม่ฟ้าหลวง ใช้แข่งขัน อีกทั้งยังมีปัญหาในเรื่องงบประมาณการทำทีม

เนื่องจาก เชียงราย ยูไนเต็ด เป็นทีมขนาดเล็ก  ไม่สามารถซื้อตัวดาวดังมาร่วมทัพได้ ทำให้ทรัพยากรที่มีอยู่ค่อนข้างจะจำกัด

ทว่าการมี “เตโก้” สเตฟานโน่ คูกูร่า กุนซือชาวบราซิลเป็นแม่ทัพใหญ่ ทำให้ฟอร์มการเล่นของพวกเขาไม่ธรรมดา อีกทั้งยังได้ฟอร์มการเล่นของนักเตะต่างชาติหลายรายเข้ามาพยุงทีมไว้

จนทำให้ “กว่างโซ้งมหาภัย” มีผลงานติดลมบน สามารถสยบเสียงวิจารณ์และขยับไปรั้งอันดับกลางตารางได้อย่างสมภาคภูมิ ดังนั้นทีมงานไทยลีกออนไลน์จึงขอยกให้ เชียงราย ยูไนเต็ด คือทีมที่มีผลงาน “เจ๋ง” ที่สุดเป็นอันดับ 3 ในไทยลีกปีนี้

ต่อกันที่ทีมผลงาน “เจ๋ว” เป็นอันดับ 2 ทีมงานไทยลีกออนไลน์ขอเลือก “โลมาฟ้าขาว” พัทยา ยูไนเต็ด มาครองตำแหน่งนั้น เนื่องจากในปีนี้ พัทยา ยูไนเต็ด หักปากกาเซียน และเค้นฟอร์มเก่งจนขึ้นมารั้งอันดับที่ 5 หรือ “ท็อปไฟว์” ของตารางคะแนนไทยลีกได้อย่างน่าเหลือเชื่อ

โดยเครดิตต้องยกให้ทีมงานบริหารและกุนซือคนเก่งอย่าง “โค้ชหนุ่ย” เฉลิมวุมิ สง่าพล ที่แม้จะเข้ามาคุมทัพในช่วงเลกที่ 2 ต่อจาก “โค้ชจุ่น” จตุพร ประมลบาล และไม่อาจจะเสริมทัพได้มากนักเนื่องจากงบประมาณที่จำกัด แต่ “โค้ชหนุ่ย” กลับสามารถพาทีมไต่จากอันดับที่ 14 จนมารั้งอันดับที่ 5 ได้อย่างยอดเยี่ยม

โดยเฉพาะอย่างยิ่งฟอร์มในช่วงเลกที่ 2 ซึ่งต้องบอกว่า พัทยา ยูไนเต็ด ไม่เป็นสองรองใคร โดยพวกเขาสามารถเก็บชัยชนะได้ถึง 7 แมตช์ เสมออีก 6 แมตช์ และแพ้เพียง 2 แมตช์เท่านั้น ทำให้ฟอร์มของ “โลมาฟ้าขาว” ในปีนี้ เป็นที่พูดถึงในวงกว้าง และตัวของ “โค้ชหนุ่ย” เอง ก็มีชื่อลุ้นชิงตำแหน่ง “ผู้ฝึกสอนยอดเยี่ยม” แห่งปีอีกด้วย

ดังนั้นตำแหน่งทีมฟอร์ม “เจ๋ง” อันดับที่ 2 ทีมงานไทยลีกออนไลน์จึงเต็มใจมอบให้กับ พัทยา ยูไนเต็ด ไปครองอย่างสมศักดิ์ศรี

สุดท้ายก็มาถึงทีมผลงาน “เจ๋ง” อันดับที่ 1 ซึ่งคงเป็นทีมใดไปไม่ได้นอกจาก “ปราสาทสายฟ้า” บุรีรัมย์ พีอีเอ แชมป์ไทยพรีเมียร์ลีก ทีมล่าสุด

ต้องบอกว่าฤดูกาลนี้ “ปราสาทสายฟ้า” ทำผลงานได้คงเส้นคงวา และยอดเยี่ยมมาโดยตลอดตั้งแต่เปิดซีซั่น ซึ่งลูกทีมของ “โค้ชแต๊ก” อรรถพล ปุษปาคม คือทีมที่มีสถิติดีที่สุดในทุกด้าน

ไม่ว่าจะเป็นทีมที่ชนะมากที่สุด 24 นัด แพ้น้อยที่สุดเพียงนัดเดียวต่อศรีสะเกษฯ, ยิงประตูได้มากที่สุด 59 ลูก และเสียประตูน้อยที่สุดเพียง 12 ลูกเท่านั้น

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ บุรีรัมย์ พีอีเอ มีผลงาน “สุโค่ย” ในปีนี้คงต้องยกให้ บรรดานักเตะต่างชาติ ที่ต่างก็มีฝีเท้าและโชว์ฟอร์มได้เด็ดดวงทุกราย ไม่ว่าจะเป็น ฟร็องค์ โออ็องซ่า, แฟรงค์ อาชีมปง, แอนเดอสัน ดอส ซานโตส, เอควาล่า เฮอร์แมน และ โจเซฟ โอบาม่า

ส่วนนักเตะสัญชาติไทยเองก็ทำผลงานได้น่าประทับใจทั้ง สุเชาว์ นุชนุ่ม, ศิวรักษ์ เทศสูงเนิน, รังสรรค์ วิวัฒน์ชัยโชค และธีรทร บุญมาทัน ต่างสามารถเค้นฟอร์มเก่งออกมาจนช่วยให้ “ปราสาทสายฟ้า” ซิวแชมป์ไทยลีกไปครองได้

นอกจากนั้นการมีผู้บริหารใจป้ำอย่าง เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสร ที่พร้อมอัดฉีดเงินจำนวนหลายล้านบาทเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ อีกทั้งการได้แรงหนุนจากกองเชียร์ที่เข้ามาส่งเสียงให้กำลังใจเรือนหมื่นในทุกนัดที่เล่นในบ้าน นิว ไอโมบาย สเตเดี้ยม ส่งผลให้ในปีนี้ไม่มีทีมไหนจะสู้ บุรีรัมย์ พีอีเอ ได้

ไม่เพียงเท่านั้น ในฤดูกาลนี้ “ปราสาทสายฟ้า” ยังอาจจะเป็นทีมแรกที่สามารถคว้า “ทริปเบิ้ลแชมป์” ฟุตบอลในประเทศมาครองได้ เพราะเวลานี้พวกเขากำลังรอชิงชนะเลิศ โตโยต้า ลีกคัพ กับทีม การท่าเรือไทย เอฟซี ในวันที่ 4 ก.พ.อยู่ นอกจากนั้น บุรีรัมย์ พีอีเอ ยังอยู่ในเส้นทางลุ้นแชมป์ มูลนิธิไทยคม เอฟเอคัพ ซึ่งตอนนี้ผ่านมาถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายแล้ว และเมื่อมองดูคู่แข่งทุกทีม ต้องบอกว่า บุรีรัมย์ พีอีเอ มีโอกาสสูงที่จะเก็บชัยได้ทั้งหมด

จากเหตุผลที่กล่าวไป ตำแหน่งทีมฟอร์มเจ๋งที่สุดแห่งปี คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธชื่อ “บุรีรัมย์ พีอีเอ” ที่เวลานี้พวกเขาได้เปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์วงการลูกหนังไทยไปอีกก้าวหนึ่งแล้ว
   
นัทนัลโด้ และทีมงานไทยลีกออนไลน์

ติดตามข่าวกีฬารอบโลกได้ที่นี่ http://sport.sanook.com/

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook