จดหมายเปิดผนึกถึงแฟนบอลชาวไทยจาก บอ.บู๋
หลังจากนายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ออกมาเขียนจดหมายถึงแฟนบอลชาวไทยชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องราวการดำเนินงานของบริษัทไทยพรีเมียร์ลีก จำกัด ผ่านทางเว็บไซต์ของสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด โดยใช้หัวเรื่องว่า "ผมจะไม่หยุดค้นหาความจริง"
ล่าสุดก็ได้มีจดหมายเปิดผนึกถึงแฟนบอลชาวไทย โดย บอ.บู๋ หรือ นายบูรณิจฉ์ รัตนวิเชียร คอลัมนิสต์ชื่อดัง ซึ่งออกมาชี้แจงโต้ตอบกับนายเนวิน ชิดชอบ โดยมีข้อความในจดหมายดังนี้
ก่อนอื่นต้องขอบอกว่าคอลัมนิสต์ลูกหนังต่างประเทศอย่างผมเป็นคนหนึ่งที่รักบอลไทย ติดตามดูบอลไทยทุกรายการมาตลอดตั้งแต่เล็กๆ เพราะสมัยก่อนบ้านอยู่แถวสนามศุภชลาศัย ไม่ได้เพิ่งมาบ้าบอลไทยตามกระแสนิยมเอาตอนนี้ ผมปลาบปลื้มและมีความสุขมากที่บอลไทยได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม แต่เมื่อองค์กรของผมตกเป็นจำเลยของสังคมลูกหนังไทย - ผมก็ต้องปกป้ององค์กรของตัวเองด้วยความบริสุทธิ์ใจ ล่าสุดบริษัทผมประกาศถอนตัวไปเรียบร้อย ซึ่งเข้าใจว่าแฟนบอลไทยจำนวนหนึ่งคงจะสบายใจมากยิ่งขึ้น แต่ผมยังมีเรื่องที่ไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไหร่
เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่าเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมเขียนในเฟซบุ๊คของตัวเองว่ามีนักเตะเมืองทองฯ 2 คนถูกบางสโมสรขอตัวไปฟรีๆ ก่อนที่ข้อความในเฟซของผมจะถูกลากไปลงตามเว็บบอร์ดต่างๆ มันก็เลยเป็นที่มาของ ข้อ 7. (และอาจรวมถึงข้อ 6) ที่บรรจุอยู่ในเนื้อความของจดหมายเปิดผนึกอันลือลั่นฉบับนั้น ส่งผลให้ชื่อของผมโดนเอาไปรุมกระทืบอย่างสนุกสนานตามเว็บบอร์ดต่างๆ
ว่าแล้วผมขอชี้แจงดังนี้
1). เมื่อถูกเรียกร้องหาหลักฐาน (ตามสูตรสำเร็จของพวกพี่ๆ นักการเมืองผู้น่ารัก) ผมอยากถามกลับว่า...หลักฐานอะไร... หลักฐานอะไรเหรอครับ? ผมไม่มีหรอกครับหลักฐาน อย่าลืมว่าผมเป็นแค่นักข่าว ไม่ใช่ตำรวจ ไม่ใช่ทนายความ ไม่ใช่ผู้จัดการทีม ไม่ใช่ผู้อำนวยการทีม และไม่ใช่เจ้าของทีม คือผมรู้มาอย่างไร (จากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้สำหรับผม) ผมก็ถ่ายทอดไปตามนั้น โดยมิได้ใส่สีตีไข่เพิ่มเติมตามจรรยาบรรณของนักข่าว - เวลานักข่าวการเมืองเขียนแฉนักการเมืองว่าโกงกินลงหนังสือพิมพ์ ผมก็ไม่เห็นเขาเอาหลักฐานมาลงประกอบ - การ์ตูนล้อการเมืองเขียนล้อเลียนนักการเมือง ผมก็ไม่เห็นเขาต้องเอาหลักฐานมาประกอบ
หรืออย่างนักข่าวที่อังกฤษเวลานำเสนอข่าวว่ามีการโยกย้ายทีมที่มีเงื่อนงำ ยกตัวอย่างตอนที่ เชลซี ฉกตัว จอห์น โอบี มิเคล ไปร่วมทีม ทั้งที่เซ็นสัญญากับ แมนฯ ยูไนเต็ด ไปแล้ว ผมก็ไม่เห็นนักข่าวที่นั่นเขาเอา "ใบสัญญา" หรือ "ใบโอนย้าย" มาแสดงให้เห็นในเนื้อข่าวที่นำเสนอ ดังนั้น ถ้าถามหาหลักฐาน - หลักฐานของนักข่าวอย่างผมคือการรับรู้มาจาก "แหล่งข่าว" แต่เมื่อมีการยืนยันว่าไม่ได้ขอฟรีๆ แถมระบุว่าเสียเงินซื้อทุกตัว
ดังนั้นเพื่อความแน่ใจ ผมจึงสอบถามไปทางสโมสร เมืองทอง ยูไนเต็ด อีกครั้งว่าตกลงมันเป็นอย่างไรกันแน่ ก่อนได้ความว่าเคยมีผู้เล่นของเมืองทองฯ ย้ายไป บุรีรัมย์ ทั้งหมด 4 คน
1.จักรพันธ์ แก้วพรม: แบ็คขวาของ เมืองทอง ยูไนเต็ด ชุดแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีก 2010 ฟอร์มการเล่นกำลังร้อนแรง เมื่อถูกขอซื้อตัวหลังจบฤดูกาลนั้น แน่นอนว่า เมืองทอง ยูไนเต็ด ย่อมไม่อยากขาย แต่จำเป็นต้องขาย (ด้วยความเกรงใจ) ตกลงราคากันได้ที่ 3 ล้านบาท (สามล้านบาท) แต่ถึงตอนนี้ (วันที่ 11 เมษายน 2555) เพิ่งได้รับเงินเพียงแค่ 1 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 2 ล้านบาท ยังไม่ได้รับอย่างแน่นอน
2. อดิศักดิ์ ไกรสร: กองหน้าดาวรุ่งที่โด่งดังจากการเล่นให้โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน สถาบันเก่าของผมเอง ผมจึงติดตามดูฟอร์มของนักเตะผู้นี้ตั้งแต่ในจตุรมิตรสามัคคีเมื่อ 3 ปีก่อน กระทั่งถูกยืมตัวไปเล่นให้ เอฟซี ภูเก็ต (เมืองทอง ยูไนเต็ด ปล่อยให้ เอซี ภูเก็ต ยืมตัวไปเล่นและเพาะบ่มประสบการณ์)
ผมมีความรู้สึกว่าสไตล์การเล่นใกล้เคียงกับ ธีรศิลป์ แดงดา กระทั่งหลังจากนัดชิงชิงชนะเลิศเพลย์-ออฟ เลื่อนชั้นขึ้น ด.1 ระหว่าง เอฟซี ภูเก็ต กับ บุรีรัมย์ เอฟซี ก็มีโทรศัพท์มาสู่ขอ นอกจากจะเป็นเด็กอีสาน เหตุผลอีกประการประมาณว่าเพื่อเป็น "ของขวัญปีใหม่" จึงจำต้องปล่อยไปด้วยความเกรงใจเหมือนเดิม เมื่อเด็กเด็กไปแล้ว วันหนึ่งเขาโทร.กลับมาบอกว่าไม่อยากอยู่ที่นั่น (เพราะเหมือนเข้าค่าย) แต่เพราะรับปากว่าจะให้ไปแล้ว หากกลับคำ เดี๋ยวจะเสียผู้ใหญ่ซะเปล่าๆ
3. ชาคริต ระวันประโคน: ไหนๆ ก็เอา อดิศักดิ์ ไกรสร ไปแล้ว เมืองทอง ยูไนเต็ด ก็เลย "แถม" กองหน้าดาวรุ่งผู้นี้ให้ไปฟรีๆ อีกคน เพราะคาดว่าไม่นานคงโดนขอไปอีกเหมือนกัน เนื่องจากเจ้าตัวเป็นชาวบุรีรัมย์โดยกำเนิด
4. อุกฤษณ์ วงศ์มีมา: ผู้รักษาประตูดาวรุ่งเยาวชนทีมชาติ เป็นตัวสำรองของ กวิน ธรรมสัจจานันท์ ชุดแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีก เมื่อ 2009 โดนสู่ขอไปร่วมทีมแบบไม่มีค่าตัวอีกเช่นกัน ด้วยเหตุผลว่าเป็น "ของขวัญ" โทษฐานที่กระโดดเข้าสู่วงการลูกหนังครั้งแรก อนึ่ง ผมต้อง "ขอโทษ" นักเตะทั้ง 4 คนนี้ด้วย หากการชี้แจงของผมนั้นอาจทำให้พวกเขาลำบากใจ สรุปว่านักเตะทั้ง 4 คนนี้ที่ย้ายจาก เมืองทอง ยูไนเต็ด มีการจ่ายเงินซื้อแค่คนเดียว คือ จักรพันธ์ แก้วพรม แต่ถึง ณ ขณะนี้ (วันที่ 11 เมษายน 2555) ทางสโมสรเมืองทอง ยูไนเต็ด ยืนยันอย่างหนักแน่นกับผมว่าได้เงินมาเพียงแค่ 1 ล้านบาทเท่านั้น ส่วนอีก 2 ล้าน ยังไม่ได้รับอย่างแน่นอน
ทั้งหมดคือสิ่งที่นักข่าวอย่างผมสอบถามจากทางสโมสรเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ไม่ได้คิดขึ้นเอง ไม่ได้แต่งขึ้นเอง ไม่ได้โมเมมั่วซั่ว แถมตอนที่ถูกลากไปลงในบางเว็บบอร์ด ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับเจ้าแห่งข้อมูลบอลไทยประจำเว็บบอร์ดนั้นยังออกมารับรองว่าข้อมูลที่ผมลงในเฟซตัวเองเป็นความจริงทุกประการ แถมขยายข้อมูลเพิ่มให้ผู้อ่านได้รับรู้อีกต่างหาก แต่หลังจากมีข้อ 7. ของจดหมายเปิดผนึกถึงแฟนบอลฉบับนั้น พี่แกหายไปไหนไม่ทราบเหมือนกัน?
อย่างไรก็ตาม หากยืนยันว่ามีหลักฐานซื้อตัวนักเตะทั้ง 4 คนนี้ ในรูปแบบของเอกสาร โดยจ่ายเงินซื้อทุกคน (ทั้ง 4 คน รวมถึง ชาคริต ระวันประโคน) ไม่ได้มาฟรีๆ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็นำหลักฐานมาแสดงได้นะครับ แม้ผมจะไม่รู้ว่าจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่ามัน เป็นหลักฐานที่ "ถูกต้อง" แต่หากนำหลักฐานมาแสดงว่าซื้อจริงๆ เสียเงินจริงๆ มันก็เพื่อความถูกต้องและโปร่งใสของสโมสรคุณเองนั่นแหละ
สำหรับผมในฐานะนักข่าว ผมรู้มาแบบไหน ผมก็นำเสนอตามที่ผมรู้แบบนั้นอย่างที่เรียนให้ทราบนั่นแหละครับ ใครจะหาว่าผมแถอีก อันนี้ก็สุดแล้วแต่ อย่าลืมว่าที่สำคัญมันเป็นเรื่องของ 2 สโมสรที่รู้ดีที่สุดแน่นอนว่าต่างฝ่ายต่างย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าความจริงเป็นอย่างไร
ส่วนแฟนบอลทั่วไปที่อ่านจดหมายเปิดผนึกฉบับนี้จะเชื่อข้อมูลฝั่งไหนมากกว่ากัน จะเชื่อในสิ่งที่ผมนำมาถ่ายทอดหรือไม่ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับ "วิจารณญาณ" ของแต่ละท่าน ผมเชื่อว่าทุกคนมีอะไรที่เรียกว่า "วิจารณญาณ" เพียงแต่บางครั้งก็ไม่ค่อยชอบใช้กันเท่านั้นเอง
2. ไม่มีบรรทัดไหนในเฟซบุ๊คของผมเลยนะครับที่ผมระบุว่าแฟนบอลไทยโง่ อันนี้ท้าพิสูจน์ได้จากข้อความในเฟซบุ๊คผมที่ถูกลากไปลงในเว็บบอร์ดนั้น ผมไม่ได้ทำเป็นเลี่ยงบาลีด้วยนะครับ ผมเรียก เว็บบอร์ดแห่งหนึ่งว่า "เว็บบอร์ดโง่ๆ" (ด้วยอารมณ์เหมือนกินร้านอาหารเห่ยๆ อาหารก็ไม่อร่อย เด็กเสริฟขี้เกียจแล้วผมบอกเพื่อนว่า ร้านอาหารโง่ๆ)
ซึ่งหากมันสร้างความระคายเคืองหรือทำให้เข้าใจผิดคิดว่าผมหมายถึงแฟนบอลไทยทุกคนที่เข้าไปเล่นในนั้น ผม "บอ.บู๋" ขออภัยมา ณ ที่นี้อย่างจริงใจด้วย - เหตุที่เรียกแบบนั้น เพราะทุกครั้งที่ชื่อของ บอ.บู๋ โดนลากเข้าไปปู้ยี่ปู้ยำ ส่วนใหญ่จะเข้ามาจิกหัวด่าด้วยความเกลียดชัง และด้วยอคติ แบบว่าเอาสะใจที่ได้ด่าไอ้ บอ.บู๋ มากกว่าการใช้เหตุและผลในการวิจารณ์
เพื่อสะท้อนให้ผมนำกลับไปปรับปรุงคุณภาพในการทำงานของตัวเอง มิหนำที่เข้ามาจิกหัวด่าทำอย่างกับผมไปปล้นฆ่าข่มขืนใครมา โดยผ่านนามแฝงที่คนส่วนใหญ่อาจจะไม่รู้จักใบหน้าค่าตาหรือตัวตนที่แท้จริง บ่อยครั้งที่คนในนั้นเอาความพิการทางหูของผมมาล้อเลียน เรียกผม บอ.บู๋ หูหนวกบ้าง บอ.บู๋ หูดับบ้าง (ล่าสุดในกระทู้นั้นก็มีครับ ซึ่งผมเฉยๆ เพราะอยู่กับมันได้ ไม่มีปัญหา) แต่อยากถามว่านี่เหรอครับการกระทำของผู้ที่เจริญแล้ว
และโดยไม่เว้นแม้แต่ในกระทู้ที่นำ "จดหมายเปิดผนึกถึงแฟนบอลชาวไทย" มาลงเอาไว้ แฟนบอลบางท่านที่เป็น "อีแอบ" อยู่ในเฟซบุ๊คผม นำบทสนทนาระหว่างผมกับเพื่อนที่ผมเขียนว่า "สส***อะไรเล่นซอคเก้อร์ซัค" ซึ่งมันไม่เกี่ยวอะไรกับท่านประธานสโมสรนั้นเลยครับ คือคุยกันเรื่องอื่น แต่เขากลับก็อปปี้ เฉพาะจุดนี้ไปลง โดยมีเจตนาสื่อให้คนอื่นเข้าใจผิดคิดว่าผมด่าคู่กรณีด้วยคำหยาบคาย ถามว่านี่คือสิ่งที่ลูกผู้ชายเขาทำกันเหรอครับ??? ผมถูกด่าว่าเป็นหมา ถูกด่าว่าหน้าตัวเมีย แต่นี่หรือครับสิ่งที่คนบางคนในเว็บบอร์ดนั้นปฏิบัติกับผู้ที่ตัวเองด่าว่าหมา ว่าหน้าตัวเมีย???
3. ผมคิดว่าแฟนบอลจำนวนมิใช่น้อยเข้าใจและใช้เหตุผลในการแยกแยะเรื่องต่างๆ ได้ ขอบคุณครับที่รับฟัง ที่เข้าใจ และที่เป็นกำลังใจให้กัน ส่วนแฟนบอลจำนวนหนึ่งที่ไม่พยายามจะทำความเข้าใจ ปิดหู ปิดตา ไม่รับฟังอะไรทั้งสิ้น ในเมื่อตั้งกำแพงแบบนั้น ผมก็จนปัญญาที่จะทำให้พวกเขาเข้าใจในความบริสุทธิ์ใจของผมเอง
จึงเรียนมาเพื่อทราบ
ขอแสดงความนับถือ
บอ.บู๋
ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์สยามกีฬา สตาร์ซอคเก้อร์
ที่มา : FB บ.บู๋
credit - http://www.thailandsusu.com/webboard/index.php?topic=233790.0
ลิ้งค์ข่าวที่เกี่ยวข้อง - จัดเต็ม!เนวินร่อนจดหมาย 9ข้อ ถึงแฟนบอลไทย