ข่าวดี!บังยีเตรียมเจรจาเอเอฟซีเพิ่มโควต้าลุยชปล.
สโมสรใน สปอนเซอร์ ไทยพรีเมียร์ลีก เตรียมเฮ บังยี รับจะไปเจรจาเอเอฟซีเพิ่มโควตาลุยศึกเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีกเป็น 1 บวก 2 ทีมในฤดูกาลหน้า แม้การแข่งขันสูงจากทุก ๆ ชาติในเอเชีย แต่ยังเชื่อว่าด้วยผลงานของสโมสรจากไทยที่เหนือกว่าทุกทีมในอาเซียน จะทำให้ เอเอฟซี หันมาพิจารณา
“บังยี” นายวรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากการที่สมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย (เอเอฟซี) ได้ส่งเจ้าหน้าที่มาประเมินมาตรฐานของ 6 สโมสรในศึก “สปอนเซอร์ ไทยพรีเมียร์ลีก” เมื่อสัปดาห์ก่อน ประกอบด้วย 3 สโมสรที่ขึ้นชั้นมาจากลีกดิวิชั่น 1 หรือ “ยามาฮ่า ลีกวัน” คือ บีบีซียู เอฟซี, ชัยนาท เอฟซี และ พัทยา ยูไนเต็ด ส่วนอีก 3 สโมสร ได้แก่ อีสาน ยูไนเต็ด, ทีทีเอ็ม เชียงใหม่ เอฟซี และ วัวชน ยูไนเต็ด ขณะที่อีก 12 สโมสรในจะต้องส่งเอกสารข้อมูลเพิ่มเติมให้กับเอเอฟซีอย่างครบถ้วนภายในวันที่ 19 ต.ค. โดยเอเอฟซีจะประกาศผลการประเมิน ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ในวันที่ 27-29 พ.ย. ซึ่งแต่ละสโมสรจะต้องได้ 600 คะแนน จากคะแนนเต็ม 1,000 คะแนน จึงจะผ่านประเมิน แล้วนำผลไปเปรียบเทียบกับมาตรฐานของลีกประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย เพื่อจัดโควตาเข้าไปแข่งขันในเอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก อย่างไรก็ตาม ตัวแทนจาก เอเอฟซี ที่มาประเมินมาตรฐานสโมสรของไทย ได้กล่าวชื่นชมว่าลีกอาชีพของไทยมีการพัฒนาขึ้นไปจากปีที่แล้วอย่างมาก พูดได้ว่าผิดหูผิดตำไปเลยทีเดียว ทั้งในส่วนของการจัดการแข่งขัน และในส่วนของสโมสรต่าง ๆ
นายวรวีร์ กล่าวอีกว่า จากเดิมเราได้โควต้าจาก เอเอฟซี 1 บวก 1 คือทีมแชมป์ “สปอนเซอร์ ไทยพรีเมียร์ลีก” จะได้โควต้าผ่านเข้าไปเล่นในรอบแบ่งกลุ่มเอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก โดยอัตโนมัติ ส่วนแชมป์ “มูลนิธิไทยคม เอฟเอคัพ” จะไปเตะเพลย์ออฟก่อน และถ้าหากตกรอบเพลย์ออฟ จะได้สิทธิ์เล่นถ้วยเอเอฟซีคัพ แต่ด้วยผลงานของสโมสรต่างๆ ของไทยในทั้ง 2 รายการ สามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็น “ปราสาทสายฟ้า” บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด แม้จะตกรอบแรกเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก แต่ก็สามารถเปิดบ้านเอาชนะคาชิว่า เรย์โซล จากญี่ปุ่น 3-2 และบุกไปชนะ กวางโจว เอเวอร์แกรนด์ 2-1 ขณะที่ในศึกเอเอฟซี คัพ 2011 “กิเลนผยอง” เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ก็เข้าถึงรอบรองชนะเลิศ เช่นเดียวกับฤดูกาล 2012 นี้ “ฉลามชล” ชลบุรี เอฟซี ผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศเช่นกัน ดังนั้นตนเองในฐานะเป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริหารของเอเอฟซี จะนำเหตุผลดังกล่าวไปเจรจากับ เอเอฟซี ให้เพิ่มโควตาแก่สโมสรจากประเทศไทยเป็น 1 บวก 2 ในฤดูกาล 2013 คือ แชมป์จาก “สปอนเซอร์ ไทยพรีเมียร์ลีก” จะเข้าไปเล่นในรอบแบ่งกลุ่มเอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก ทันที ส่วน รองแชมป์ “สปอนเซอร์ ไทยพรีเมียร์ลีก” และแชมป์จาก “มูลนิธิไทยคม เอฟเอคัพ” จะได้สิทธิ์ไปเล่นเพลย์ออฟ เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก แต่ถ้าไม่เข้ารอบ ก็จะได้สิทธิ์ไปเล่น เอเอฟซี ถึงแม้ว่าจะมีการแข่งขันสูงจากทุก ๆ ชาติในเอเชีย แต่ตนเชื่อว่าด้วยผลงานของสโมสรจากไทยที่เหนือกว่าทุกทีมในอาเซียน จะทำให้ เอเอฟซี หันมาพิจารณาอย่างละเอียด
นายกสมาคมลูกหนัง กล่าวอีกว่า ช่วงที่ผ่านมาการทำหน้าที่ของผู้ตัดสินทั้งในศึก “สปอนเซอร์ ไทยพรีเมียร์ลีก” และ “ยามาฮ่า ลีกวัน” มักจะมีปัญหาอยู่บ่อย ๆ หลายครั้งเป็นความผิดของผู้ตัดสิน ซึ่งหากพบว่าใครทำหน้าที่ผิดพลาดก็มีการลงโทษกันไปตามระเบียบ แต่ผู้ตัดสินส่วนใหญ่ก็ตั้งใจทำหน้าที่เป็นอย่างดี ตอนนี้ตนกำลังเจรจากับผู้สนับสนุนหลายๆ รายให้มาสนับสนุนคณะกรรมการผู้ตัดสิน รวมทั้งเพิ่มค่าทำหน้าที่ในแต่ละนัด ก่อนหน้านี้ฤดูกาล 2011 ผู้ตัดสินได้ค่าตอบแทนเพียง 4,700 บาท ต่อนัด แถมต้องนั่งรถไปเอง ส่วนฤดูกาล 2012 ได้เพิ่มค่าตอบแทนการทำหน้าที่เป็น 10,000 บาท ต่อนัด พร้อมทั้งได้รับการสนับสนุนจากสายการบินแอร์เอเชีย ให้ผู้ตัดสินเดินทางด้วยเครื่องบินของแอร์เอเชียได้ สำหรับในฤดูกาล 2013 คาดว่าผู้ตัดสินจะได้ค่าตอบแทนเป็น 12,000 บาทต่อนัด พร้อมสวัสดิการอื่น ๆ อีก แต่คงเป็นช่วงเลกที่สอง ตอนนี้ยังรอการเจรจากับผู้สนับสนุนอยู่
“ผมเห็นใจบรรดาผู้ตัดสิน ที่ต้องทนกับแรงกดดันมากมาย และเจอปัญหาเยอะ การทำหน้าที่แต่ละนัดก็ต้องได้รับผลตอบแทนคุ้มค่า ซึ่วการเพิ่มค่าตอบแทนให้ผู้ตัดสินจะรวมไปถึงการทำหน้าที่ในฟุตบอลยามาฮ่า ลีกวัน กับฟุตบอล เอไอเอส ลีกภูมิภาค ดิวิชั่น 2 ด้วย แต่คงจะลดหลั่นลงไปตามลำดับ นอกจากนั้นผมจะผลักดันให้มีการก่อตั้งสถาบันผู้ตัดสินฟุตบอล ขึ้นอย่างเป็นทางการ เพื่อสร้างผู้ตัดสินดาวรุ่งรุ่นใหม่ รวมทั้งการส่งเสริมให้เป็นอาชีพอย่างเต็มตัว เหมือนอย่าง เจลีก ของญี่ปุ่น คือมีเงินเดือนประจำ สามารถยึดเป็นอาชีพเลี้ยงครอบครัวได้” นายวรวีร์ กล่าว.