เปิดตัวคนรับเช็ค 7 ใบซัด“สรยุทธ”โทร.สั่งให้ช่วย เสนอ 2% -เสร็จงานจ่ายไม่ครบ
สำนักข่าวอิศรา เปิดตัว“พิชชาภา เอี่ยมสอาด”คนรับเช็ค 7 ใบซัด“สรยุทธ”โทร.สั่งให้ช่วย เสนอจ่ายค่าตอบแทน 2% บอกมีอะไรจะไม่ทิ้ง ทำงานเสร็จจ่ายไม่ครบ อ้าง“ไร่ส้ม”ทุ่มสูงลิ่วล่อคน อสมท เร่ขายโฆษณา
นางพิชชาภา เอี่ยมสอาด พนักงาน บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ได้ให้ปากคำต่อ ป.ป.ช.กรณีร่วมกันทุจริตเงินค่าโฆษณาส่วนเกิน 138 ล้านบาทว่านายสรยุทธ สุทัศนะจินดา เจ้าของบริษัท ไร่ส้ม จำกัด รู้เรื่องดีและเป็นผู้ขอให้ช่วยเหลือบริษัท ไร่ส้ม จำกัด
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า นางพิชชาภา เอี่ยมสอาด พนักงาน บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ได้ให้ปากคำต่อ ป.ป.ช. กรณีที่มีการกล่าวหาว่าให้การช่วยเหลือบริษัท ไร่ส้ม จำกัด ให้โฆษณาเกินเวลาโดยไม่ต้องชำระราคาค่าโฆษณาเกินเวลาว่า ปฏิบัติหน้าที่รับเป็นผู้รับคิวโฆษณาของบริษัท ไร่ส้ม จำกัด และการที่ บริษัท ไร่ส้ม จำกัด มีโฆษณาเกินเวลาในรายการคุยคุ้ยข่าวมาโดยตลอดนั้น
ขอยืนยันว่านายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ต้องทราบดีเพราะ
1.นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับตน(นางพิชชาภา) โดยตรง โดยใช้โทรศัพท์ของเลขานุการส่วนตัวของนายสรยุทธ ชื่อเล่นว่าคุณแก้ว โดยขอให้ช่วยเหลือไม่ต้องแจ้งโฆษณาส่วนเกินเวลาของบริษัท ไร่ส้ม จำกัดให้กับทางอสมท และเพื่อเรียกเก็บเงินค่าโฆษณาส่วนเกินดังกล่าวจากบริษัท ไร่ส้ม จำกัด โดยนายสรยุทธรับปากกับตนว่าจะจ่ายค่าตอบแทนให้กับตนในจำนวนร้อยละ 2 ของค่าโฆษณาเกินเวลาที่บริษัท ไร่ส้ม จำกัด ไม่ต้องชำระให้กับ อสมท
เมื่อตนดำเนินการช่วยเหลือตามที่นายสรยุทธและเลขาฯของนายสรยุทธ คือ คุณแก้วขอร้องแล้ว ในช่วงแรกนายสรยุทธก็จ่ายเงินค่าตอบแทนตามที่รับปากไว้ โดยนายสรยุทธลงนามจ่ายเป็นเช็คของธนาคารธนชาต สาขาพระรามสี่ และให้คุณแก้ว ฝากไว้กับพนักงานของ อสมท ชื่อนางศิริทิพย์ (จำนามสกุลไม่ได้) เป็นผู้นำมามอบให้กับตนอีกทอดหนึ่ง
โดยนายสรยุทธได้จ่ายเงินให้ตนประมาณ 8 ครั้ง ซึ่งทั้ง 8 ครั้งดังกล่าวก็ไม่ได้จ่ายให้ตนอย่างสม่ำเสมอ หรือตามจำนวนที่รับปากไว้ และเหตุที่ตนไม่ได้เรียกร้องให้จ่ายตามจำนวนที่ตกลงกันไว้เนื่องจาก เห็นว่าเป็นการตกกะไดพลอยโจน ช่วยเหลือนายสรยุทธไปแล้ว จึงยอมๆกันไป
@อ้าง “สรยุทธ” คืนเงิน 138 ล้าน จำนนหลักฐาน
2.เนื่องจากรายการคุยคุ้ยข่าว เป็นรายการสด และนายสรยุทธเป็นพิธีกรดำเนินรายการทุกวัน ดังนั้นนายสรยุทธย่อมทราบดีว่ารายการที่ออกอากาศในแต่ละวันมีโฆษณาทั้งหมดกี่โฆษณา เป็นโฆษณาตามเวลาจำนวนเท่าใด และในส่วนที่เกินเวลาจำนวนเท่าใด
นายสรยุทธย่อมทราบว่าในแต่ละวันรายการมีรายได้จากโฆษณาจำนวนเท่าใด เป็นรายได้จากโฆษณาตามเวลาปกติเท่าใด และเป็นรายได้จากโฆษณาส่วนเกินเวลาเท่าใด เพราะเงินค่าโฆษณาก็เป็นรายได้เพียงทางเดียวของบริษัท ไร่ส้ม จำกัด
จึงเป็นไม่ได้ที่นายสรยุทธจะไม่ทราบเรื่อง ดังที่อธิบายไปแล้ว
3. หลังจากที่ บริษัท อสมท ได้ตรวจพบว่า บริษัท ไร่ส้ม จำกัด มีโฆษณาส่วนเกินเวลาในรายการคุยคุ้ยข่าว แต่ไม่แจ้งและชำระค่าโฆษณาเกินเวลาดังกล่าวให้ อสมท
นายสรยุทธได้บอกให้เลขาฯคือคุณแก้ว มาขอร้องให้ตนทำการลบรายการโฆษณาส่วนเกินของรายการคุยคุ้ยข่าวในใบคิวโฆษณา
โดยบอกกับตนว่า “พี่สรยุทธ ขอร้องให้ช่วยเหลือ” และบอกอีกว่า หากมีอะไรนายสรยุทธก็จะช่วยเหลือไม่ทอดทิ้งอย่างแน่นอน
ตนจึงทำการลบรายการโฆษณาส่วนเกินของรายการคุยคุ้ยข่าวในใบคิวโฆษณาบางส่วนแต่ไม่ทั้งหมด ตามที่นายสรยุทธ และเลขาฯร้องขอ แต่ภายหลังเมื่อ อสมท ได้ตรวจสอบอย่างเป็นระบบก็ให้นายสรยุทธมาชำระค่าโฆษณาเกินดังกล่าวให้กับทาง อสมท และตนทราบภายหลังว่านายสรยุทธ ได้ยินยอมชำระค่าโฆษณาส่วนเกินให้กับทาง อสมท.ในทันที
เพราะจำนนต่อหลักฐาน
@ซัด “ไร่ส้ม” ทุ่มจ่ายค่าตอบแทนล่อคน อสมท
นางพิชชาภาให้การว่า สำนึกว่ากระทำผิดสร้างความเสียหายแก่ทางราชการ และ อสมท และต้องการเห็นความเป็นธรรมในสังคม
นอกจากทำงานให้ อสมทแล้ว ยังเคยหาโฆษณามาขายให้กับบริษัท ไร่ส้ม จำกัด เพื่อโฆษณาในรายการคุยคุ้ยข่าว ประมาณ 2 ครั้ง ทั้งนี้ เนื่องจากบริษัทไร่ส้ม จำกัด จะจ่ายค่าตอบแทนให้กับผู้ที่หาโฆษณาให้บริษัทไร่ส้ม จำกัด ในอัตราร้อยละ 30 ของค่าโฆษณาที่ได้รับ
ในขณะที่ อสมท จ่ายในอัตราร้อยละ 20 ของค่าโฆษณาที่ได้รับเท่านั้น ทำให้พนักงานของ อสมท.ซึ่งมีหน้าที่หาโฆษณาให้กับ อสมท นำโฆษณาไปขายให้กับบริษัท ไร่ส้ม จำกัด แทนที่จะนำมาขายให้กับทาง อสมท ตามหน้าที่ของตน
ซึ่งการทำธุรกิจดังกล่าวของบริษัท ไร่ส้ม จำกัด เป็นการเอาเปรียบ อสมท ไม่ดำเนินธุรกิจอย่างตรงไปตรงมา
สำหรับเงินค่าขายโฆษณาหรือค่าคอมมิชชันที่เคยขายโฆษณาให้กับทาง บริษัท ไร่ส้ม จำกัด จำนวน 2 ครั้ง ดังกล่าว บริษัท ไร่ส้ม จำกัด จ่ายเป็นเช็คของธนาคารธนชาต สาขาสี่พระรามสี่ ต่างหาก ไม่เกี่ยวกับเงินค่าช่วยเหลือที่นายสรยุทธ และเลขาฯ (คุณแก้ว) จ่ายให้เป็นเงินค่าจ้างประสานงานโฆษณา กรณี บริษัท ไร่ส้ม จำกัด โฆษณาเกินเวลา
กล่าวคือ เป็นการจ่ายคนละครั้งและเช็คคนละฉบับไม่เกี่ยวข้องกัน