ยุติธรรม?
เชื่อเหลือเกินว่าบทลงโทษห้ามลงสนาม 10 เกมของ หลุยส์ ซัวเรซ
คงเป็นอะไรที่รุนแรงเกินไปในสายตาของ "เดอะ ค็อป" ทั่วทั้งโลก
4 นัดที่เหลือในซีซั่นนี้จะไม่มีเงาของ "คิง หลุยส์" เช่นเดียวกับอีก 6 แมตช์ในฤดูกาลถัดไป
ซึ่งยังไม่รู้เลยว่าจะต้องเจอกับงานหนักแค่ไหนอีกต่างหาก
นี่ยังไม่รวมข่าวลือรายวันเกี่ยวกับการย้ายทีม ซึ่งการถูกเพ่งเล็งและลงโทษแบบหนักหน่วงกว่าเค้าเพื่อน อาจจะเป็นตัวกระตุ้นชั้นยอด ด้วยซ้ำไป (เหยียดผิวเหมือนกัน ซัวเรซ แบน 8 เทอร์รี่ แบน 4)
ต่อให้ใครต่อใครจะบอกว่ามัน "จำเป็น" เพียงใดที่ต้องรั้ง ดาวยิงทีมชาติอุรุกวัย ไว้ในถิ่นแอนฟิลด์ต่อไป
แต่ครั้งหนึ่ง ซัวเรซ ก็เลือกที่จะย้ายจาก อาแจ็กซ์ ที่กำลังไปได้สวย มายังรัง "หงส์แดง" เพราะตอนนั้นมีคดีกัดคอ อ็อดมาน บั๊คคาล ต้องโดนแบน 7 แต่ยังชดใช้โทษไม่หมดมาแล้ว
แล้วทำไมครั้งนี้เค้าจะทำอีกไม่ได้ ในเมื่อต้องนั่งแกร่วนานเกือบ 6 เดือน จึงจะได้ลงสนามอีกครั้ง
คาร์ราเกอร์ พยายามจะปกป้องเพื่อนร่วมค่ายว่า เค้ายอมโดนคู่แข่งกัดแขน ดีกว่าเข้าสกัดแบบโหดร้ายจนมีสิทธิ์ขาหัก
คาร์ร่า เคยขาหักมาแล้วจากการกระโดดเสียบของ ลูคัส นีล ทำให้ต้องพักนาน 6 เดือน
ย่อมใช่ แต่กระนั้น เจตนาในขณะที่กระทำต่างหาก ที่ถูกมองว่าสมควรในการพิจารณาคดีของเขาในครั้งนี้
การกระโจนเข้าหาบอลพร้อมกัน อาจเกิดความผิดพลาดได้ แต่การจงใจก้มลงไปกัดดื้อๆ เนี่ยสิ
ลองเปรียบเทียบโทษของ ซัวเรซ กับแข้งอื่นๆ ที่ต่างก็ต้องชดใช้กับความขาดสติของตัวเองกันดูครับ
12 เกม - ดันแคน เฟอร์กูสัน (กลาสโกว์ เรนเจอร์ส) เฮดบัตต์คู่แข่ง ปี 1994
11 เกม - เปาโล ดิ คานิโอ (เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์) ผลักผู้ตัดสิน ปี 1998
10 เกม - เควิน คีแกน (ลิเวอร์พูล) กับ บิลลี่ เบรมเนอร์ (ลีดส์) แลกหมัดกัน ปี 1974
เดวิด พัตตัน (เซาธ์แฮมป์ตัน) ผลักผู้ตัดสิน ปี 2005
9 เกม - พอล เดวิส (อาร์เซน่อล) ชกคู่แข่ง ปี 1998
แฟร้งค์ ซินแคลร์ (เวสต์บรอม) ชนศีรษะกับผู้ตัดสิน ปี 1992
8 เกม - หลุยส์ ซัวเรซ (ลิเวอร์พูล) เหยียดผิว ปี 2011
เบน แธตเชอร์ (แมนฯ ซิตี้) ศอกใส่คู่แข่ง ปี 2006
มาร์ค เดนนิส (คิวพีอาร์) สะสมใบแดงครบ 11 ใบในอาชีพค้าแข้ง ปี 1987
จะเห็นได้ว่าทั้งหมดล้วนอยู่ในข่าย "จงใจ" ทั้งสิ้น
เพียงแต่ โทษ ที่ออกมานั้น หากพิจารณาเป็นเรื่องของจำนวนเดือน ก็จะหลุดไปไกลถึง 6 เดือน ซึ่งน้อยกว่าเมื่อครั้งที่ เอริค คันโตน่า กระโดดถีบยอดอกแฟนบอลเพียงแค่ 3 เดือนเท่านั้น
แถมถ้าเทียบกับเหตุการณ์เมื่อเร็วๆ นี้อย่างการประทับรอยสตั๊ด เซร์คิโอ อเกวโร่ ไว้บนต้นขาของ ดาวิด หลุยส์ ก็ยังไม่มีบทลงโทษใดๆ ตามมาด้วยซ้ำ
เห็นจะจริงอย่างที่ กุสตาโว่ โปเยต์ บอกไว้ว่า เอฟเอ ช่าง 2 มาตรฐานเสียจริง
แต่ก็นั่นแหละ โลกนี้ไม่เคยมีสีขาวล้วนหรือดำล้วน อยู่แล้ว
สีเทาๆ แบบนี้ต่างหากที่ปกคลุมพวกเราในทุกวันนี้
เรื่องโดย : มะงิ้ง