"2 มาตรฐาน" เป็นวลีเปรียบเทียบที่ถูกนำไปใช้ในหลายสถานการณ์ หลายเรื่องราว และหลายวงการ ใช้กันบ่อยครั้งมากจน wikipedia เวอร์ชั่นไทยแลนด์มีระบุความหมายไว้ว่า "สองมาตรฐาน (อังกฤษ: double standard)"
เป็นประเด็นการเปรียบเทียบในการจัดการหรือใช้ระบบ แนวทาง หรือ มาตรฐาน ในกลุ่มเป้าหมายสองกลุ่มอย่างแตกต่างกัน สองมาตรฐาน ถูกนิยมเรียกกับการแก้ปัญหาที่ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม
โดยการจัดการปัญหาในเรื่องๆเดียวกัน แต่ต่างเป้าหมาย ทำให้ได้รับผลลัพธ์ที่ต่างกัน เช่นการตอบรับของเจ้าหน้าที่กับกลุ่มคนรวยและกลุ่มคนจน ซึ่งไม่เท่ากัน และยามนี้ผมขอหยิบมันมากล่าวถึงในคอลัมน์ "อารม์คมคาย" ของผม
เพราะมันเกิดขึ้นในเกมการแข่งขันของศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปิดบ้านพ่ายต่อ เชลซี แบบเฉือนหวิว 1-0 เมื่อคืนวันอาทิตย์ (5 พ.ค.) ที่ผ่านมา
ซึ่งค่อนข้างชัดเจนว่า "2 มาตรฐาน" จริงๆ
เกมกำลังจะจบด้วยเสมออยู่แล้ว มาต้า ดันยิงแฉลบเข้าประตูไปอย่างเจ็บแสบ
แม้ผมจะไม่ใช่คนที่ปลาบปลื้มในทีมอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่ก็ค่อนข้างยอมรับในความเก่งฉกาจของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กุนซือของพวกเขาพอสมควรเลยทีเดียว
ผมเชื่อว่านี่อาจเป็นกุนซือลูกหนังที่มีฝีมือดีที่สุดในโลก ละเอียดที่สุดในโลก และมีแท็กติกรวมทั้งการแก้เกมที่แยบคายกว่าเพื่อนร่วมอาชีพคนไหนๆ ในโลกลูกหนังปัจจุบันนี้
เพราะมิเช่นนั้นเขาคงไม่สามารถพาทีม "เร้ด เดวิลส์" คว้าความสำเร็จได้อย่างมากมาย รวมทั้งเพิ่งจะคว้าแชมป์ในฤดูกาลปัจจุบันได้สำเร็จเป็นสมัยที่ 20 ของ แมนฯ ยูฯ เป็นแน่แท้ อย่างไรก็ตามการจัดขุมกำลังในเกมพ่าย เชลซี คาบ้านของ "เฟอร์กี้" ก็ทำให้ผมรู้สึกเคลือบเคลืองใจว่ามีนัยยะอันใดซ่อนเร้นหรือไม่
เพราะจริงอยู่ที่ทัพ "สิงห์บลูส์" คือทีมที่เป็นด้วยนักเตะฝีเท้าดีในระดับแถวหน้าของโลก คือทีมที่มีเงินมหาศาลจาก โรมัน อบราโมวิช เจ้าของสโมสรชาวรัสเซียที่มั่งคงกับคอนเซ็ปท์ "เงินซื้อความสำเร็จได้"
และเป็นทีมที่มีกุนซือจอมแท็กติกอย่าง ราฟาเอล เบนิเตซ ที่ว่ากันว่าเป็น "ของแสลง" ของ เฟอร์กี้ มากที่สุด แต่ด้วยสถานการณ์ต่างๆ ณ เวลานี้ รู้สึกในหัวใจจริงว่าจัด 11 ผู้เล่นตัวจริงแบบนั้นออกมาได้อย่างไร
อุตส่าห์ปรบมือต้อนรับผีแดงชุดใหญ่
ย้อนไปราว 1 สัปดาห์ก่อนนี้ เฟอร์กี้ ยกพลผีแดง ไปเยือนถิ่นเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ของ "ปืนใหญ่" อาร์เซน่อล อีกหนึ่งทีมใหญ่ของลีกสูงสุดแดนผู้ดี ที่กำลังลุ้นพื้นที่ฟุตบอลยุโรปอยู่แบบเต็มตัว
ด้วยการแย้มพรายก่อนเกมการแข่งขันจะเริ่มขึ้นว่าพร้อมจะส่งผู้เล่นใน ระบบโรเตชั่นลงเล่นในเกมดังกล่าว แต่ถึงเวลาปรากฏว่า "มาเต็ม" เป็น 11 ตัวหลักที่ใช้ในทีมชุดคว้าแชมป์ลีกในฤดูกาลนี้
ไม่ว่าจะเป็น โรบิน ฟาน เพอร์ซี่, ไมเคิ่ล คาร์ริค หรือ เวย์น รูนี่ย์ เป็นต้น ซึ่งผมไม่แปลกใจมีความรู้สึกว่ามีความเป็น "มืออาชีพ" สูงด้วยซ้ำ
แต่ในเกมกับ เชลซี ที่ฤดูกาลนี้พวกเขาเจอกันมาก่อนถึง 4 ครั้งชนะได้เพียงแค่เกมเดียวในช่วงที่ผ่านมากลับใช้นักเตะอย่าง อันแดร์สัน, อันโตนิโอ วาเลนเซีย หรือ ทอม เคลฟเวอร์ลี่ย์ ยืนในตำแหน่งตัวจริง แม้ว่าจะเล่นในรังเหย้าอย่าง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ก็เถอะ
แต่การจัดตัวผู้เล่นเช่นนี้ก็ดูจะดูถูกทีมที่โมเมนตัมยอดเยี่ยมแบบ เชลซี มากเกินไป หรือมีอะไรมากกว่านั้นกันแน่
เฟอร์กี้ส่งลูกกระจ๊อกลงเอาประสบการณ์และแพ้คาโอลด์แทร็ฟฟอร์ด
สมมติฐานแบบคิดเข้าข้างตัวเองของผมแอบคาดเดาสถานการณ์ในหัวไปต่างๆ นานา เริ่มตั้งแต่ แมนฯ ยูฯ เป็นแชมป์ไปแล้ว เลยสับเปลี่ยนหมุนเวียนนักเตะที่ไม่ค่อยได้ลงมามีส่วนร่วม
แต่ก็มีคำถามกลับมาว่าไหงในเกมกับ อาร์เซน่อล ดันมาเต็ม, เฟอร์กี้ เชิดชูกุนซืออย่าง โชเซ่ มูรินโญ่ ยอดโค้ชโปรตุกีสของ เรอัล มาดริด ว่าเป็นกุนซือมากฝีมือที่มีสัมพันธ์อันดีต่อกัน
ส่วน
"เฮียเครียด" ก็กำลังมี
ข่าวว่าพร้อมลา
"ชุดขาว" ในช่วงซัมเมอร์หน้านี้ และเตรียมจะกลับมารับงานในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ อีกครั้ง, เฟอร์กี้ เคยเปรยว่าถ้า มูรินโญ่ กลับมาพรีเมียร์ลีก อังกฤษ คงสนุกมากกว่านี้
เชลซี เปลี่ยนโค้ชแน่เพราะไม่มีใครเอา "ราฟา" แม้จะทำผลงานได้ดีเพียงใดก็ตาม, ชัยชนะในเกมที่พบกับ แมนฯ ยูฯ จะเป็นการปูทางชั้นเยี่ยมสำหรับการพา เชลซี จบอันดับ 3 หรือ 4 ในลีกเพื่อคว้าสิทธิ์ไปเล่นใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลหน้า
มูรินโญ่ อาจไม่มาหาก เชลซี ไม่ได้ไป ชปล.
บิงโก!! ของขวัญผูกโบว์ชิ้นใหญ่จาก เฟอร์กี้ แด่ มูรินโญ่ คือตั๋วไป ชปล. (สมมติฐานทั้งหมดเกิดจากความคิดของผมเองล้วนๆ)
ใครอ่านถึงตรงนี้อาจร้องดังๆ ออกมาว่า "บ้าไปแล้ว" ผมก็ยอมรับตรงนี้อีกนะครับมันเป็นเรื่อง "นานาจิตตัง" ใครก็คิดกันได้ไม่ใช่หรือ??
พูดเรื่องสมมติไปแล้ว มาพูดถึงสถานการณ์จริงกันหน่อยดีกว่า ณ จุดๆ นี้ (ทพเสียงแบบพริตตี้ตามห้างด้วย) เชลซี เบียดขึ้นมารั้งอันดับ 3 ของลีกมี 68 คะแนนนำที่ 4 อย่าง อาร์เซน่อล เพียงคะแนนเดียว
ส่วนอันดับ 5 คือ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ตามมาติดที่ 65 คะแนน
โดยทั้ง "สิงห์" และ "ไก่" แข่งน้อยกว่า "ปืน" อย่างไรก็ตาม 2 ทีมนั้นยังมีโปรแกรมต้องเจอกันเอง
ในขณะที่ อาร์เซน่อล ต้องชนะในทุกเกมที่เหลือเท่านั้น จึงจะมีโอกาสลุ้นเข้ารอบแบบเต็มตัว สะดุดพลาดแม้แต่เกมเดียว ปีหน้าเตรียมเล่น ยูโรปา ลีก ได้เลย
อุตส่าห์ขึ้นไปที่ 3 หายใจสบายๆ แล้วนะ พอผีแพ้ เชลซี เลยทำเอาผมต้องเครียดและแช่งให้สเปอร์สแพ้เชลซีไปเลย
ผมเชื่อว่า เฟอร์กี้ คงไม่ถึงขั้นไม่รู้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันนั้น อะไรเป็นอะไร และถ้าหากจะอ้างว่ายังเหลือโปรแกรมอีก 2 นัดที่ค่อนข้างหนักก็ต้องบอกว่า "ทุเรศ" เต็มที
หรือจะใช้เหตุผลว่าต้องส่งผู้เล่นลงให้ครบเพื่อจะได้รับเหรียญพรีเมียร์ลีกกันถ้วนหน้า แต่หากไล่เรียงรายชื่อแล้วดูจะมีแต่ อเล็กซานเดอร์ บุทเนอร์ และ อันเดอร์ส ลินเดอการ์ด เพียง 2 รายเท่านั้นที่ยังลงเล่นไม่ถึง 10 เกมในฤดูกาลนี้ (กฎใหม่เปลี่ยนเหลือแค่ 5 เกม)
และผมคงไม่ตีโพยตีพายอะไรหากผลการแข่งขันดังกล่าวมันไม่กระทบกระเทือนทีมอื่น
โดยเฉพาะทีมรักของผมเอง แม้ เฟอร์กี้ จะออกมาบ่นอุบด่ากราด ดาวิด ลุยซ์ กรณีเรียกใบแดงใส่ ราฟาเอล หรือโจมตี ฮาเวิร์ด เว็บบ์ ว่าเข้าข้างทีมเยือนก็ดูจะ "โคตรไม่เนียน" เสียนี่กระไร
เอาเถอะครับทีใครทีมัน อย่าให้ อาร์เซน่อล อยู่ในสถานการณ์ที่ได้เปรียบบ้างก็แล้วไป
ส่วน "สเปอร์ส" ที่สถานการณ์เป็นรองกว่าก็ตัวใครตัวมันนะคร้าบบบบบบ
อธิคม ภูเก้าล้วน : เรียบเรียง