ปชป.จี้จับบึ้มรามฯสร้างความมั่นใจให้ปชช.

ปชป.จี้จับบึ้มรามฯสร้างความมั่นใจให้ปชช.

ปชป.จี้จับบึ้มรามฯสร้างความมั่นใจให้ปชช.
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

'องอาจ คล้ามไพบูลย์' จี้ รัฐบาลเร่งหามือบึ้มรามคำแหง43/1 ด้าน รองผบช.น. เผย คดีคืบเร่งสอบCCTVหาเค้าฟอร์จูนเนอร์ หลังพบหายไปจากกล้อง ส่วน พท. แย้ม มีพวกปล่อยข่าวล้มรัฐ ขณะที่ สันติบาล วอนปชช.อย่าตื่นข่าวลือ-สั่งเข้มการข่าว

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า หลังเกิดเหตุระเบิด ซอยรามคำแหง 43/1 และมีการเพิ่มกำลังอารักขานายกรัฐมนตรี คุมเข้มสถานที่สำคัญและเกิดข่าวลือจะมีการก่อเหตุตามแหล่งชุมชน ทำให้ประชาชนหวั่นวิตกมากขึ้น ดังนั้น จึงขอให้รัฐบาลหาตัวคนผิดมาลงโทษ เพื่อให้ประชาชนเกิดความมั่นใจและไม่ทำให้เกิดความตื่นตระหนก

 

ตร.สันติบาลส่งทีมตามข่าวป่วนกรุงยันไร้มูลบึ้ม

พ.ต.อ.มณฑล บัวจีบ ผกก.6 กองบังคับการสันติบาล 1 บช.ส. เปิดเผยกับ สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า ตามที่เกิดระเบิดขึ้นที่ ปากซอยรามคำแหง 43/1 และมีกระแสต่อมาว่า อาจมีการก่อเหตุวางระเบิดปั่นป่วนในกทม. หลายจุดนั้น เรื่องดังกล่าว กก.6 มีหน้าที่ดูแลเรื่องการข่าวความมั่นคงในเขต กทม. อยู่แล้ว ได้ส่ง เจ้าหน้าที่ตำรวจด้านวิเคราะห์ข่าว เข้าร่วมประชุมกับ ตำรวจท้องที่ และคอยป้อนข้อมูลให้ตลอดเวลา ซึ่งยืนยันว่า ณ ขณะนี้ การข่าวไม่มีเหตุสร้างสถานการณ์ในพื้นที่ กทม. แต่อย่างใด โดยทาง ตำรวจสันติบาล ซึ่งมีความชำนาญเรื่องการข่าว ทำงานสนองตอนโยบายของรัฐบาล ที่ระบุว่า ข่าวเรื่องการปั่นป่วนนั้น ไม่มีมูลความจริง และทางตำรวจสันติบาลเอง ไม่เคยที่จะระบุข้อมูลในรูปแบบนี้อย่างแน่นอน

 

คดีบึ้มรามฯคืบ - เร่งสอบCCTV หาเค้าฟอร์จูนเนอร์

พล.ต.ต.ปริญญา จันทร์สุริยา รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล  เปิดเผยกับ สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ถึงความคืบหน้าติดตามคดี คนร้ายก่อเหตุลอบวางระเบิด บริเวณปากซอยรามคำแหง 43/1 เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม ที่ผ่านมาว่า ขณะนี้คดีมีความคืบหน้า แต่ทั้งนี้จะต้องขอเวลาในการเรียกชุดคลี่คลายคดี เข้ามาสรุปในรายละเอียดต่าง ๆ ทั้งทิศทางแนวทางการติดตามของคดี รวมถึงบุคคลต้องสงสัยที่พบ ซึ่งยังตอบไม่ได้เพราะยังไม่ชัดเจนเท่าที่ควร นอกจากนี้ การตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดที่พบรถยนต์โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ใกล้กับจุดที่เกิดเหตุนั้น พบว่ารถเป้าหมายคันดังกล่าว ได้หายออกไปจากกล้อง จึงจะต้องเร่งตรวจสอบเพิ่มเติม เพื่อหาความเชื่อมโยงว่า รถเป้าหมายหายไปจากจุดไหน และไปโผล่ที่กล้องจุดใด ซึ่งจะต้องขอระยะเวลาเพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้ทำงาน

สำหรับการเฝ้าระวังหลังเหตุระเบิดนั้น การข่าวขณะนี้ยังไม่มีอะไรน่าวิตก เนื่องจากทางตำรวจนครบาล ได้ให้เจ้าหน้าที่ตำรววจ ออกตรวจตราถี่ เพิ่มเข้มข้นตามสถานที่สำคัญทางราชการ รวมถึงจุดที่มีประชาชนพลุกพล่าน อาทิ ป้ายโดยสารรถสาธารณะ

 

สันติบาล วอน ปชช. อย่าตื่นข่าวลือโซเชียล-สั่งเข้มการข่าว

พลตำรวจโทสฤษฎ์ชัย เอนกเวียง ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล กล่าวถึง ความคืบหน้าด้านการข่าว จากกรณีเกิดเหตุระเบิดซอยรามคำแหง 43/1 ว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องหลายฝ่ายกำลังสืบสวนและอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน รวมไปถึงตรวจสอบกล้องวงจรปิด เพื่อหาเบาะแสผู้ต้องสงสัย ซึ่งทางตำรวจสันติบาล ก็ได้ทำงานควบคู่ไปกับนครบาล เพื่อคลี่คลายคดี โดยได้ทำการสืบสวนหาข่าวทุกมิติ ไม่เฉพาะแต่ผู้ต้องสงสัย 2 ราย ที่ปรากฏในภาพจากกล้องวงจรปิด แต่ยังมีการเชื่อมโยงไปถึงกลุ่มต้องสงสัยอื่น ๆ ด้วย ซึ่งยืนยัน
ขณะนี้ยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่า เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นมาจากกรณีใด

ส่วนเรื่องที่มีการปล่อยข่าวผ่านทางโซเชียลเน็ตเวิร์ก ทำนองว่าจะเกิดสถานการณ์ป่วนในพื้นที่กรุงเทพฯนั้น พลตำรวจโทสฤษฎ์ชัย กล่าวว่าเป็นเพียงข่าวลือที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ ขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนกและผู้เสพข่าวต้องตรวจสอบที่มาที่ไปของแหล่งข่าวก่อน

นอกจากนี้ พลตำรวจโทสฤษฎ์ชัย ยังกล่าวด้วยว่า เป็นปกติที่เมื่อเกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้น เจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องเพิ่มมาตรการในการปฏิบัติงาน ซึ่งในส่วนของสันติบาลได้สั่งการให้เพิ่มความเข้มข้นในการลงพื้นที่หาข่าว

 

พท. แย้ม มีพวกปล่อยข่าวล้มรัฐเตรียมสั่งสอบ

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวทางโซเชียลเน็ตเวิร์ก ห้ามประชาชนเดินห้างสรรพสินค้าว่า จะมีการวางระเบิดเกิดขึ้นนั้น จากการตรวจสอบพบว่า เป็นการปล่อยข่าวที่ต้องการให้กระทบความเชื่อมั่นของประชาชน ดังนั้นจึงขอความร่วมมือจากประชาชน อย่าส่งข้อความดังกล่าวต่อกันไป เพื่อไม่ให้นักท่องเที่ยวตื่นตระหนก ทั้งนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เพิ่มความเข้มงวดในการรักษาความปลอดภัยในจุดสำคัญอย่างเต็มที่ จึงขอให้ประชาชนมั่นใจ

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีความพยายามปล่อยข่าวตลอดเวลา เพื่อให้กระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาล โดยพรรคเพื่อไทยจะประสานงานให้หน่วยงานด้านความมั่นคงตรวจสอบว่า ข่าวที่ปล่อยออกมานั้นเกี่ยวข้องกับกลุ่มหน้ากากข่าวหรือไม่ เนื่องจากกลุ่มนี้ประกาศตัวตนอย่างชัดเจนว่า เป็นกลุ่มที่ต่อต้านการทำงานของรัฐบาล

 

 


แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook