ศิษย์พระมิตซูโอะ เผยเหตุใกล้ชิด สุทธิรัตน์ รักษาเบาหวาน-สเต็มเซล ส่งรถตู้รับถึงวัด

ศิษย์พระมิตซูโอะ เผยเหตุใกล้ชิด สุทธิรัตน์ รักษาเบาหวาน-สเต็มเซล ส่งรถตู้รับถึงวัด

ศิษย์พระมิตซูโอะ เผยเหตุใกล้ชิด สุทธิรัตน์ รักษาเบาหวาน-สเต็มเซล ส่งรถตู้รับถึงวัด
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

จากกรณี อดีตพระอาจารย์มิตซูโอะ ได้แถลงผ่านคลิปวิดีโอว่า ได้จดทะเบียนสมรสกับ นางสุทธิรัตน์ มุตตามระ หรือ แอน อีกทั้งยังเชื่อว่าน่าจะเป็นเนื้อคู่กันแต่ชาติปางก่อน ก่อนทั้งคู่จะเดินทางประเทศญี่ปุ่น ล่าสุดก็เกิดความคิดเห็นจากหลายฝ่าย รวมทั้งมีอดีตลูกศิษย์คนสนิท โพสต์ข้อความเชิงลึกแฉปมสึกลงในเฟซบุ๊ก

พระอาจารย์หนูพรม สุชาโต รองเจ้าอาวาส รักษาการเจ้าอาวาส วัดสุนันทวนาราม สาขาวัดหนองป่าพง ที่ 117 หมู่ 8 ต.ไทรโยค อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี กล่าวถึงกรณีที่อดีตพระมิตซูโอะ อดีตเจ้าอาวาสวัดสุนันทวนาราม สาขาวัดหนองป่าพง ออกมายืนยันว่าจดทะเบียนสมรสกับนางสุทธิรัตน์ หรือ แอน มุตตามระ แล้วจะมีผลกระทบต่อวัดหรือไม่นั้น ว่า ปัจจุบันไม่รู้ เพราะเป็นเรื่องของอนาคต ขณะนี้ยังไม่มีหน่วยงานภาครัฐและเอกชนประสานเข้ามาเพื่อขอยกเลิกการมาปฏิบัติธรรมตามกำหนดเดิม ซึ่งกิจกรรมปฏิบัติธรรมก็ยังคงดำเนินไปตามปกติเช่นกัน ขณะที่พระสงฆ์ แม่ชี และคณะทำงาน ก็ไม่ได้สอบถามหรือพูดคุยกันถึงเรื่องนี้ เพราะมองเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ต้องยอมรับตามนั้นไป ซึ่งยังคงปฏิบัติกิจวัตรประจำวันกันตามปกติ สำหรับเรื่องเงินบริจาคของวัด ทางคณะกรรมการวัดยังไม่ได้พูดคุยกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวัดสุนันทวนาราม สาขาวัดหนองป่าพง ซึ่งมีพระภิกษุ 24 รูป สามเณร 3 รูป และ อุบาสิกา 7 คน ยังคงปฏิบัติกิจวัตรประจำวันตามปกติ แต่เนื่องจากในช่วง 3 วัน ไม่มีหลักสูตรปฏิบัติธรรม จึงทำให้วัดดูเงียบเหงาลงไป ประกอบกับวัดดังกล่าวเป็นวัดป่าก็จะมีบรรยากาศที่สงบเงียบเพื่อการปฏิบัติธรรม ไม่เหมือนวัดทั่วไป

 

นายศุภมิตร แก้วงอก ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 8 ต.ไทรโยค กล่าวว่า ส่วนตัวไม่ได้ติดใจเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะขณะที่ท่านอยู่ในสมณเพศ ได้ปฏิบัติธรรม เผยแผ่พุทธศาสนา สั่งสอนให้ทุกคนสร้างแต่คุณงามความดี นอกจากนี้

ยังได้สร้างประโยชน์ให้ชุมชนอย่างมากมาย ขณะที่ท่านอยู่ในสมณเพศไม่เคยมีเรื่องทำให้เสื่อมเสียทั้งเรื่องเงินและผู้หญิง ชาวบ้านส่วนใหญ่จึงยอมรับได้กับการที่ท่านออกมาแถลง เพราะหากท่านยังอยู่ในสมณเพศแล้วแอบไปมีสีกา นั่นคือความผิดร้ายแรงอย่างมหันต์ ชาวบ้านคงยอมรับไม่ได้ และไม่ให้อภัยอย่างแน่นอน

"หลังจากข่าวของท่านได้เผยแพร่ไปตามสื่อต่างๆ มากมาย ชาวบ้านส่วนหนึ่งต่างไม่เชื่อ และรู้สึกหดหู่ โดยได้สอบถามถึงข้อเท็จจริงมามากมาย แต่ชาวบ้านบางคนรู้สึกรับไม่ได้ เนื่องจากเชื่อมั่นเลื่อมใสศรัทธาในตัวอดีตพระอาจารย์มาก จึงรู้สึกช็อก และสอบถามว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริงกันแน่ จึงต้องตอบไปว่าเป็นไปตามที่สื่อเผยแพร่ ยืนยันได้ว่าเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น พร้อมกับปลอบไปว่า เป็นเรื่องของฟ้าลิขิตก็ให้เป็นไปตามนั้น" นายศุภมิตรกล่าว

นายศุภมิตร กล่าวอีกว่า แต่ชาวบ้านบางคนก็รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้หน้าตาก็สวยดี ไม่น่ามาสึกพระอาจารย์ เลยได้ตอบไปว่า จะสึกไม่สึกอยู่ที่ตัวพระ ไม่ต้องไปโทษใคร ต้องโทษเวรกรรม พรหมลิขิต พระอาจารย์มีบุญอยู่ในผ้าเหลืองแค่นี้ก็คือแค่นี้ แต่ชาวบ้านบางคนที่ไปปฏิบัติธรรมเป็นประจำ ก็ยังคงไปปฏิบัติธรรมและทำบุญใส่บาตรตามปกติ

"สำหรับข่าวตั้งแต่วันที่ท่านลาสิกขา มีผู้ใหญ่หลายท่านในจังหวัดกาญจนบุรีสอบถามเข้ามามากมาย ซึ่งวันนั้นทราบแต่เพียงว่าท่านลาสิกขา เนื่องจากอาการป่วยด้วยโรคเบาหวาน และพยายามหาข้อมูลข้อเท็จจริง เพื่อให้ทุกคนได้กระจ่าง เนื่องจากหลายคนยังคงสงสัยและกังขา ไม่เชื่อว่าเกิดจากสาเหตุดังกล่าว แต่ก็ไม่สามารถหาคำตอบได้ กระทั่งมาเห็นภาพอดีตพระอาจารย์กับผู้หญิงตามสื่อต่างๆ จึงทราบเรื่อง" นายศุภมิตรกล่าว และว่า จากการสอบถามแม่ครัวและคนขับรถผู้ใกล้ชิดท่านทราบว่า ผู้หญิงที่ปรากฏในภาพมานั่งวิปัสสนาที่วัดแห่งนี้เมื่อประมาณ 2 เดือนที่ผ่านมา แต่ไม่มีท่าทางสนิทกันเป็นพิเศษแต่อย่างใด มีการถวายน้ำปานะและถวายอาหาร ตามปกติที่ทำกัน เนื่องจากการนั่งวิปัสสนาไม่ได้นั่งตัวต่อตัวกับอดีตพระอาจารย์ แต่จะนั่งวิปัสสนากันนับร้อยคน ฉะนั้นผู้หญิงคนนี้จึงไม่ได้มีอะไรที่ผิดสังเกตไปจากคนอื่นๆ

นายศุภมิตร เปิดเผยอีกว่า คนขับรถอดีตพระอาจารย์ไม่ได้ระแคะระคายเรื่องนี้ เพราะท่านไม่เคยปริปาก ที่ผ่านมาเวลาท่านไปทำกิจนิมนต์ที่ไหน ไม่เคยปรากฏผู้หญิงคนนี้นั่งรถไปด้วย หรือแอบนัดเจอกับผู้หญิงคนนี้ในสถานที่ที่ไปส่งท่านทำกิจนิมนต์เลย วันที่ท่านลาสิกขาแล้วเดินทางออกนอกประเทศไปนั้น ก็ได้ขับรถไปส่งที่กรุงเทพฯตามที่ท่านรับกิจนิมนต์ไว้ปกติ ทุกครั้งท่านจะสั่งให้ขับรถกลับวัดได้เลย เพราะเนื่องจากว่าจะมีญาติโยมมารับและดูแลท่านในการเดินทางต่อไปยังสถานที่ต่างๆ เอง

"ช่วงนี้มีกระแสของพระที่ไม่ดีออกมาเผยแพร่ตามสื่อต่างๆ มากมาย ทำให้ชาวบ้านขาดความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา จึงได้แต่ปลอบใจชาวบ้านไปว่าขอให้นึกว่าทำบุญใส่บาตรกับผ้าเหลือง ทำบุญให้กับปู่ ย่า ตา ยาย และบรรพบุรุษของเรา เพื่อสร้างบุญสร้างกุศลให้กับตัวเอง ให้มีความเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน มีเงิน มีทองใช้ สุขสบาย ขอให้เราตั้งใจทำบุญก็พอ ทำแล้วสบายใจ นั่นคือความสุขแล้ว" นายศุภมิตรกล่าว

 

ขณะที่ทางด้าน นายฉัตรชัย ชูเชื้อ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนา (พศ.) จังหวัดกาญจนบุรี กล่าวว่า พระครูวิมล กาญจนารักษ์ เจ้าคณะตำบลไทรโยค เขต 1 ได้พิจารณาให้ พระอาจารย์หนูพรม สุชาโต ทำหน้าที่รักษาการเจ้าอาวาสแล้ว ตั้งแต่เมื่อวันที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมา มีอำนาจเต็มในการดูแลวัดเช่นเดียวกับเจ้าอาวาส ซึ่งตนได้เข้ากราบเยี่ยมนมัสการพระอาจารย์หนูพรมเพื่อสอบถามปัญหาใดๆ หรือต้องการความช่วยเหลือใด พบว่าวัดสามารถบริหารจัดการในทุกๆ เรื่องได้ ส่วนเรื่องเงินบริจาคของวัด สำนักพุทธฯไม่เข้าไปตรวจสอบหรือยุ่งเกี่ยว เพราะเป็นเรื่องของกรรมการวัดที่จะบริหารจัดการ แต่หากมีเรื่องเกิดขึ้นจึงจะเข้าไปตรวจสอบ

"ปกติการเบิกจ่ายเป็นไปในรูปของคณะกรรมการวัดเป็นผู้พิจารณา เจ้าอาวาสไม่สามารถเบิกจ่ายได้โดยลำพัง หากเป็นเจ้าอาวาสวัดอื่นๆ ลาสิกขาก็คงเป็นเรื่องปกติ แต่เนื่องจากอดีตพระอาจารย์เป็นพระดังจึงเป็นเรื่องที่หลายคนให้ความสนใจเป็นพิเศษ ซึ่งวัดยังคงมีการบริหารงานตามปกติ มีการปฏิบัติธรรมเป็นปกติเช่นกัน ซึ่งแต่เดิมพระอาจารย์หนูพรมดูแลเรื่องนี้อยู่แล้ว เชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร" นายฉัตรชัยกล่าว

 

นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไซต์ข่าวไทยอีนิวส์ นำเสนอเฟซบุ๊ก ผู้ใช้นามว่า กุหลาบ ปากซัน โพสต์คำบอกเล่าของลูกศิษย์คนสนิทของท่าน (อดีตพระมิตซูโอะ) ระบุว่า มีโยมที่วัดบอกว่า ผญ. คนนี้วันวันเอาแต่นั่งจ้องพระอาจารย์มิตซูโอะเป็นชั่วโมง ใครเข้าไปกราบท่าน หล่อนไม่ถอยออกมา นั่งจ้องอยู่เช่นนั้นต่อมา ผญ.เสนอให้การรักษาโรคเบาหวาน ด้วยการทำ chelation โดยต้องไปทำที่ clinic ทองหล่อ ซอย 4 อาทิตย์ละ 1 ครั้ง 2 ครั้งแรกเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯเดินทางไปด้วย แต่ตัว ผญ.ไม่ได้ไป

"หลังจากนั้นเพิ่มเป็นทุก 2 วัน ไม่มีเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯติดตามไปด้วย และ ผญ.เสนอว่า ต้องไป clinic บ่อยอยู่แล้ว จึงให้คนขับรถของหล่อนมารับไปกิจนิมนต์ด้วยเลยทุกวัน ซึ่งรถที่มารับเป็นรถตู้สีขาว ติดฟิล์มดำสนิท มีกระจกกั้นระหว่างคนขับกับห้องโดยสาร ไม่สามารถมองเห็นและได้ยินห้องโดยสารได้" อดีตลูกศิษย์ระบุ และว่า ชั้นแรก เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯแจ้งท่านว่ารถคันนี้ไม่เหมาะสม จึงให้ ผช.ในวัดติดตามไปด้วย 1 คน แล้วมารู้ทีหลังว่า โดน ผญ.สั่งให้ไปนั่งกับคนขับรถ บางครั้งไปนั่งด้านหน้า 3 คน รวมคนขับเป็น 4 คน ตอนลงรถคิดว่ามากันหลายคน มาทราบภายหลังว่าทุกคนโดน ผญ.สั่งให้ไปด้านหน้าทั้งหมด

เฟซบุ๊กโพสต์อีกว่า พระอาจารย์มีกิจนิมนต์ที่ญี่ปุ่น ตั้งแต่วันที่ 2-17 พฤษภาคม (ผู้หญิงไม่ได้ไป) ตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคม ผญ.คนนี้ก็มารับพระอาจารย์ที่มูลนิธิฯ ไปทำ chelation ทุกวัน เมื่อเจ้าหน้าที่สอบถามว่าทำไมต้องไปทุกวัน ผญ.ตอบว่ามีการทำ stem cell ร่วมด้วยจึงต้องไปทุกวัน ปกติพระอาจารย์จะต้องตรวจสุขภาพที่ รพ.วิชัยยุทธ แต่ท่านปฏิเสธการตรวจสุขภาพทั้งหมด เจ้าหน้าที่มูลนิธิเห็นสิ่งผิดปกติของ ผญ.คนนี้ แต่ยังไม่ได้ดำเนินการอย่างไร พอมาคิดย้อนหลังจึงพบว่าพระอาจารย์เริ่มมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป นั่งเหม่อเก็บตัวมีอาการโมโหโกรธบางครั้ง ซึ่งท่านไม่เคยเป็นแบบนี้เลย

อดีตลูกศิษย์คนสนิทระบุอีกว่า การติดตามของเราที่จะให้ได้พบตัวท่านเพียงเพื่อจะได้เห็นกับตาว่าท่านสึกแล้วจริงหรือไม่ และจากกล้อง CCTV เราจึงบอกกับทางมูลนิธิฯว่าสึกจริงแล้วยืนยันได้ แล้วเราก็ปรึกษากันตัดสินใจไปดักรอพบท่านที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพราะได้รับแจ้งจากวัดป่านานาชาติจากแหล่งข้อมูลเดิมว่าจะเดินทางออกนอกประเทศไปฮ่องกง เช้ามืดวันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน ผมตรวจสอบแล้วว่ามีสายการบินฮ่องกงแอร์ไลน์ เช้าที่สุดคือเวลา 02:15 น. เราจึงไปถึงสนามบินในเวลาเที่ยงคืนก็ได้พบกับท่าน

"เราได้เข้าไปคุยกับท่านถามถึงเหตุผลที่สึก ท่านตอบว่าเป็นพระสอนได้แค่คนที่เคารพผ้าเหลือง ถ้าเป็นคนธรรมดาจะสอนคนได้ทุกชาติทุกศาสนา และเราขอให้ท่านอยู่ที่มูลนิธิฯต่อซัก 2-3 วัน แล้วค่อยตัดสินใจใหม่ ท่านปฏิเสธ และเราถามอีกว่าท่านสึกแล้วทำไมถึงมากับผู้หญิง ท่านตอบว่าด้วยเหตุและปัจจัย" อดีตลูกศิษย์ระบุ

อดีตลูกศิษย์ระบุอีกว่า สิ่งผิดปกติที่เราสังเกตเห็นคือมือของท่านทั้งสองข้างคล้ำแบบดำเขียวเหมือนกับช้ำมาก เฉพาะที่มือทั้งหน้ามือและหลังมือ จึงถามท่านว่า ทำไมมือของท่านดำมาก ท่านไม่สบายหรือเปล่า ท่านเก็บมือใส่กระเป๋าเสื้อแล้วบอกว่าสบายดีไม่เป็นอะไร แต่เราไม่ยอมจึงขอให้ท่านเอามือออกมาเทียบกับมือของผมก็พบว่ามือของท่านผิดปกติ แต่ท่านก็ยังยืนยันว่าสบายดี ในระหว่างที่ถามท่านแสดงอาการไม่พอใจที่มาพบท่านและพูดไล่เรากลับไป ซึ่งอาการเช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อน ท่านไม่เคยปฏิเสธใคร ดูเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน วันนั้นเรายืนมองท่านเดินจากไป

"เห็นท่าเดินที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเป็นท่าเดินที่ลากเท้าเหมือนคนอ่อนแรง ปกติจะเป็นคนที่เดินแบบยกเท้าพ้นพื้นแล้วจรดเท้าลงแบบเดินจงกรม เห็นท่ายืนรอ ผญ.แลกเงินอย่างเหม่อลอย เป็นภาพที่เรารู้สึกว่านี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่เราจะช่วยท่าน แต่จะด้วยอะไรก็ตามวันนั้นเราทำเพียงยืนดูท่านจากไปคืนนั้น" อดีตลูกศิษย์ระบุ

ความรู้สึกของผมจากการหาข้อมูลด้วยตัวเอง และการติดตามใน 3 วัน ทำให้ผมคิดตลอดเวลาว่าจะช่วยท่านได้อย่างไร ผมเชื่อว่าไม่ใช่ความรัก ไม่ใช่เนื้อคู่ ไม่ใช่คู่บุญบารมีอะไรหรอกครับท่าน ผมตัดสินใจในวันนี้ว่าจะต้องเล่าสิ่งที่ผมรู้ทั้งหมด ในฐานะลูกศิษย์คนหนึ่งที่ศรัทธาท่านและระลึกถึงบุญคุณที่ท่านทำไว้ให้กับชาวไทยอย่างล้นเหลือ" อดีตลูกศิษย์คนสนิทระบุ

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีข้อความเขียนด้วยลายมือของอดีตพระมิตซูโอะ 1 แผ่นกระดาษเผยแพร่ออกมามีเนื้อหาดังนี้ "เมื่อบ่ายวันที่ 28 มิถุนายน 2556 ผม มิตซูโอะ ชิบาฮาชิ และคุณสุทธิรัตน์ มุตตามระ ภรรยา เดินทางไปที่ทำการเขต Shizukuishi จังหวัดอิวาเตะ Iwate บ้านเกิดผม เพื่อจดทะเบียนสมรส หลังจากนั้น ต้นสัปดาห์หน้าผมและภรรยาจะเดินทางเข้า Tokyo เพื่อยื่นเรื่องการสมรสของเราต่อสถานเอกอัครราชทูตไทย กรุง Tokyo

เราทั้งสองได้ทำตามกฎเกณฑ์ทั้งทางโลก และมิได้มีการกระทำใดๆ ที่ขัดพระธรรมวินัยในทางธรรม ความรักของเราทั้งสองเกิดขึ้นโดยสุจริต ผมได้ตระหนักดีด้วยสติว่าสมควรละเพศบรรพชิต จากนี้ไปชีวิตของเราก็เหมือนกับชาติใหม่ ให้ชีวิตคู่ของเราเป็นเหมือนซากุระต้นหนึ่งที่สวยงามในสังคม

เราจะชีวิตของเราทั้งสองเพื่อประโยชน์สุขของคนอื่นต่อไป ภาพที่แนบมาด้วยเป็นภาพจากที่ทำการเขตที่เราสองคนไปจดทะเบียนสมรสกัน" ลงนาม อาจารย์มิตซูโอะ ชิบาฮาชิ วันที่ 28 มิถุนายน 2556 Shizukuishi Iwate Japan

(ที่มา: หน้า1 มติชนรายวัน 30 มิ.ย. 2556)

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook