โอ้......เชส
ฟุตบอล : ระหว่างกำลังตามข่าวในวงการลูกหนังยุโรปของฝ่ายข่าวต่างประเทศ สายตาของผมก็เหลือบไปเห็นหัวข่าวเล็กๆ ข่าวหนึ่ง ที่แม้จะพาดหัวสั้นๆ ว่า "แมนฯ ยูฯ เตรียมล่าเชสจริงจัง"
แต่มันก็สะกิดใจยิ่งนักเพราะในเนื้อข่าวระบุว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยอดทีมของศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ กำลังจริงจังกับการตามล่าตัว เชส ฟาเบรกาส กองกลางของ บาร์เซโลน่า ทีมยักษ์ใหญ่ลา ลีกา สเปน มาร่วมทีม โดยพร้อมทุ่มเงินกว่า 35 ล้านยูโร (1.4 พันล้านบาท) รวมทั้งให้ค่าเหนื่อยแบบคูน 2 เป็น 2 แสนปอนด์ (9 ล้านบาท) ต่อสัปดาห์ และหลังจากข่าวดังกล่าวหลุดออกมาได้ไม่นาน เดวิด มอยส์ กุนซือของทัพ "ปีศาจแดง" ก็ออกมายืนยันว่าข่าวการยื่นซื้อ "เชส" ของทีมตัวเองนั้นเป็นความจริงทุกประการ
จากไอ้หนูเบอร์ 57 เดี่ยวนี้กลายนักเตะเบอร์ 4 ผู้ยิ่งใหญ่ แต่อย่า อย่า ทำให้ผิดหวังนะเชส
มันเลยทำให้ผมแอบสบถในใจว่า "เชส" คงไม่ทำให้ อาร์เซน่อล อดีตทีมของเขาในลีกผู้ดีต้องผิดหวังอีกครั้งเป็นรอบที่ 2 หลังจากเคยทำครั้งแรกเมื่อตอนตัดสินใจตีจากทีมไปเมื่อปี 2011 ที่ผ่านมา และหากกองกลางรายนี้ตกลงใจย้ายมาร่วมถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด จริงในอนาคตข้างหน้า นี่ก็ไม่ใช่นักเตะคนแรกของ อาร์เซน่อล ที่สร้างความช้ำใจให้เหล่า "เดอะ กูนเนอร์ส"
เพราะหากลองไล่เรียงประวัติศาสตร์กันให้ดีมีนักเตะ อาร์เซน่อล หลายคนทีเดียวที่ได้ดีกับทัพปืนใหญ่ แต่สุดท้ายก็ย้ายไปร่วมทีมอื่นเมื่อครั้งอดีตที่ผ่านมา ซึ่งวันนี้ "อารมณ์คมคาย" จะลองไล่ชื่อให้ดูกันเป็นคนๆ ไป
แอชลี่ย์ โคล (อาร์เซน่อล ไป เชลซี 2006)
แบ็กซ้ายผู้ถูกปลุกปั้นจากทีมเยาวชนของ อาร์เซน่อล รายนี้แจ้งเกิดอย่างเต็มตัวกับการก้าวขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่เมื่อปี 1998 เขาคือมิติใหม่ของแบ็กแดนผู้ดี เพราะจากที่ครั้งอดีตแบ็กทัพ "สิงโตคำราม" ต้องเป็นประเภทรับแน่น ไม่ค่อยรุก "โคลหื่น" วิวัฒนาการตัวเองมาเป็นแบ็กจอมบุก แถมยังสามารถวิ่งกลับไปช่วยเกมรับได้อย่างทันท่วงที ที่สำคัญมีท่าไม้ตายกับการสกัดจากเส้นประตูเป็นอีกหนึ่งอาวุธที่ใช้ในเกมรับได้อย่างชะงัด
แต่แล้วเมื่อความสำเร็จของ อาร์เซน่อล หยุดนิ่งลงกับการคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ เมื่อปี 2005 เจ้าตัวเหมือนจะทำนายอนาคตได้ว่าทีมในถิ่นลอนดอนเหนือจะไม่สามารถประสบความสำเร็จใดๆ ได้อีก จึงเริ่มตีตัวออกห่าง โดยเริ่มจากการมีข่าวว่าเจ้าตัวแอบคุยลับกับตัวแทนของ "สิงห์บลูส์" เกี่ยวกับเรื่องรายละเอียดส่วนตัวเมื่อตกลงกันได้เป็นที่เรียบร้อย จึงให้ เชลซี ยื่นข้อเสนอทาบทามมา และเมื่อเวลานั้นมาถึงก็ไม่มีความจำเป็นใดๆ อีกที่จะย้ายออกไปซบอกอริร่วมเมือง ทำเอาแฟนบอลอาร์เซน่อล แค้นจุกอกจนถึงทุกวันนี้เลยทีเดียว
วิลเลี่ยม กัลลาส (อาร์เซน่อล ไป ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 2010)
นี่คือนักเตะคนเดียวที่ได้ลงเล่นกับ 3 บิ๊กทีมของกรุงลอนดอนอย่าง เชลซี, อาร์เซน่อล และท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ จริงๆ แล้วแนวรับเลือดน้ำหอมรายนี้เกเรมาตั้งแต่ครั้งค้าแข้งกับ เชลซี เมื่อปี 2006 แล้ว เพราะทั้งที่เหลือสัญญาใน สแตมฟอร์ด บริดจ์ ถึงปี 2007 แต่ก็งอแงไม่ยอมต่อสัญญาใหม่ ทำให้ เชลซี พ่วงเจ้าตัวเป็นข้อเสนอแลกตัวกับ แอชลี่ย์ โคล และได้ย้ายมาอยู่กับ อาร์เซน่อล ในที่สุด
คงไม่ต้องพูดถึงวีรกรรมว่าน่าขำขนาดไหน ร้องไห้กลางสนามก็เคยมาแล้ว งอแงเพราะไม่ได้สวมปลอกแขนกัปตันก็มี แต่ความแสบของ กัลลาส ไม่ได้มีเท่านี้ เพราะก่อนอำลาจากถิ่นเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม เจ้าตัวขอสัญญาฉบับใหม่กับ อาร์เซน่อลแบบ 2 ปี โดยมีค่าเหนื่อยสูงถึง 8 หมื่นปอนด์ (3.6 ล้านบาท) ต่อสัปดาห์ ธรรมชาติของทีมอย่าง อาร์เซน่อล กับนักเตะที่มีอายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไปจะต่อสัญญาแบบปีต่อปี ดังนั้น อาร์เซน่อล จึงปฎิเสธต่อสัญญาฉบับใหม่ให้ เจ้าตัวก็ปล่อยให้ตัวเองหมดสัญญา จากนั้นก็เซ็นสัญญาร่วมทีม สเปอร์ส ซึ่งเป็นอริแบบสุดโต่งกับ อาร์เซน่อล ในที่สุด ประมาณว่าถ้าร่วมงานกันไม่ได้ ก็เป็นศัตรูให้รู้แล้วรู้รอดกันไปเลย
ซามีร์ นาสรี่ (อาร์เซน่อล ไป แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2011)
เป็นนักเตะที่แฟนบอลอาร์เซน่อล เกลียดเข้าไส้รายหนึ่ง เพราะในปลายฤดูกาล 2010/11 เขาคือนักเตะที่การันตีอนาคตของตัวเองว่ายังต้องการค้าแข้งกับ อาร์เซน่อล ต่อไป รวมทั้งยืนยันชัดเจนว่ามิได้เป็นนักเตะที่เล่นฟุตบอลเพราะเงิน เขาสร้างผลงานกับ อาร์เซน่อล จนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลทั้งนักเตะยอดเยี่ยมประจำปีของลีก และรางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปี
แต่แม้จะพลาดไปหมดในทุกรางวัล แต่เขาก็ยังได้รับโหวตให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมของสโมสรในฤดูกาลดังกล่าว อย่างไรก็ตามเมื่อ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยื่นข้อเสนอทาบทามเข้ามาในสนนราคา 25 ล้านปอนด์ (1.12 พันล้านบาท) พร้อมให้ค่าเหนื่อยเกือบ 2 เท่าในสัญญา 4 ปี นาสรี่ ก็กระโดดตะครุบทันทีแบบไม่ลังเล
ทำให้เกมระหว่าง อาร์เซน่อล กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในสนามเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ต้องระอุทุกครั้ง เพราะไม่ใช่แค่แฟนบอล แต่เพื่อนร่วมทีมรายอื่นๆ ก็หมั่นไส้และก็อยากจัดให้กองกลางรายนี้ไม่น้อยไปกว่ากันเลยทีเดียว
โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ย์ (อาร์เซน่อล ไป แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2012)
นี่คือตัวอย่างของภาษิตไทยที่ว่า "ยื่นหอกให้ศัตรู" อย่างแท้จริง เพราะ "อาร์วีพี" กำลังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมกับ อาร์เซน่อล อยู่แท้ๆ หลังคว้าตำแหน่งดาวซัลโวในฤดูกาล 2011/12 แต่เพียงเพราะเขาเหลือสัญญากับทีมอีกเพียงปีเดียวทำให้มีแต้มต่อที่จะเจรจากับ อาร์เซน่อล ได้ เพราะหากเจ้าตัวไม่ยอมต่อสัญญา แล้วทีมไม่ขายออก ก็เท่ากับไม่ได้อะไรเลย เสียไปเปล่าๆ
ใจจริงแล้ว ฟาน เพอร์ซี่ย์ พยายามแล้วกับการให้ อาร์เซน่อล การันตีความสำเร็จในอนาคต แต่เป็นทีมดังกรุงลอนดอนเองที่ไม่ชัดเจน ทำให้เมื่อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทาบทามมาด้วยค่าตัว 24 ล้านปอนด์ (1.08 พันล้านบาท) ก็เลยจำต้องปล่อยตัวหอกดัตช์รายนี้ออกจากทีมไป และเขาก็ตอกย้ำความช้ำใจให้เหล่าแฟนๆ "เดอะ กันเนอร์ส" ด้วยการพา แมนฯ ยูฯ คว้าแชมป์ลีก รวมทั้งคว้าตำแหน่งดาวซัลโวของลีกเป็นปีที่ 2 ติดต่อกันอีกด้วย
ที่ผ่านมา ฟาเบรกาส เคยพูดคำหนึ่งเมื่อตอนที่เขาย้ายไปอยู่กับ บาร์เซโลน่า มีใจความว่า "ชีวิตผมมีผู้มีพระคุณอยู่ 3 คน พ่อ, แม่ และอาร์แซน เวนเกอร์" แต่ไม่ว่าคำพูดจะดูสวยหรูแค่ไหน เชส ก็ยังย้ายออกจาก เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ไปอยู่กับ บาร์ซ่า อยู่ดี ทุกวันนี้เขาเป็นได้แค่นักเตะในระบบโรเตชั่นของยอดทีมลีกแดนกระทิง ทำให้ แมนฯ ยูฯ หวังจะดึงตัวเขามาร่วมทีม อยากรอดูอยู่เหมือนกันว่า เชส จะแทนคุณ เวนเกอร์ เหมือน 4 คนที่ผมเอ่ยมาหรือไม่