มติวิปรัฐถกแก้รธน.ที่มาสว.20-21สค.-วิปค้านเมินคุย3ฝ่าย
มติวิปรัฐบาล ถกแก้รัฐธรรมนูญ ที่มา ส.ว. 20 - 21 ส.ค.นี้ มั่นใจ ผ่านฉลุย เชื่อ ไม่ขัดแย้งทางการเมือง ขณะยึด มติ กมธ. วิสามัญ ขณะที่ มติวิปฝ่ายค้าน ไม่เข้าร่วมประชุมวิป 3 ฝ่าย ย้ำ ค้านแก้ไขรัฐธรรมนูญ หวั่นลักไก่ถก 3 ฉบับรวด
นายอำนวย คลังผา ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล หรือ วิปรัฐบาล ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมว่า มติวิปรัฐบาลให้มีการประชุมร่วมรัฐสภา ในวันที่ 20-21 ส.ค.นี้ ตั้งแต่เวลา 09.30 น. ซึ่งจะหยิบยกร่างการแก้ไขที่มาของสมาชิกวุฒิสภา ฉบับของ นายสามารถ แก้วมีชัย ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ขึ้นมาพิจารณา โดยกำหนดกรอบเวลา จำนวน 2 วันนี้ ให้เสร็จสิ้น ซึ่งเป็นหน้าที่ของประธานสภาฯ ที่จะควบคุมเวลาในการอภิปรายของสมาชิก โดยปฏิเสธว่า การแก้ไขที่มาของ ส.ว. จะผิดเจตนารมณ์แห่งรัฐธรรมนูญ ฉบับ 2550 รวมถึง ไม่ตอบว่า การเปลี่ยนที่มาของ ส.ว. นั้น ไม่ได้หวังว่า จะเป็นการขัดขวาง ส.ว. ที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลแต่อย่างใด แต่ยืนยันว่า มาจากการเสนอมติของคณะกรรมาธิการวิสามัญ ขณะที่ มั่นใจว่าจะราบรื่นผ่านไปได้ด้วยดี ไม่เพิ่มบรรยากาศความขัดแย้งทางการเมืองขึ้นอีก และจะไม่มีปัญหาเหมือน มาตรา 68 ในวาระแรกที่มีการยื่นศาลรัฐธรรมนูญ จนการพิจารณาต้องชะงักไป
อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทราบว่า มติวิปฝ่ายค้าน จะไม่เข้าร่วมการประชุม วิป 3 ฝ่าย ในบ่ายวันนี้ แต่จะขอยึดกำหนดการประชุมเดิม เพื่อกำหนดกรอบการประชุมร่วมรัฐสภาในวันพรุ่งนี้
มติวิปค้านไม่ร่วมถกวิป3ฝ่ายค้านแก้รธน.
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) แถลงข่าวภายหลังการประชุม โดยปฏิเสธที่จะเข้าร่วมประชุมวิป 3 ฝ่าย เพื่อกำหนดกรอบการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ในการอภิปรายร่างแก้ไขรัฐธรรมนูบแบบรายมาตราทั้ง 3 ฉบับ ในวาระ 2 เพราะที่ผ่านมาฝ่ายค้านไม่ได้เวลาอภิปรายตามที่ตกลงไว้ ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์ที่จะเข้าร่วมประชุม ทั้งนี้มองว่าเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รัฐบาลมีเป้าหมายแก้ไขทั้งฉบับ และเพื่อประโยชน์ส่วนตน ซึ่งอาจนำไปสู่การรวมอำนาจศาลในอนาคต ขณะเดียวกันมีความกังวลว่าอาจมีการพิจารณารวดเดียวทั้ง 3 ฉบับ เห็นได้จากการบรรจุระเบียบวาระ
อย่างไรก็ตาม วิปฝ่ายค้าน ยืนยันที่จะอภิปรายคัดค้านอย่างถึงที่สุดในวันพรุ่งนี้ เพราะมีจุดยืนไม่เห็นด้วย และขอเรียกร้องให้มีการถ่ายทอดสดผ่านทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (NBT) ด้วย
ปชป. หวั่นรัฐบาลลักไก่แก้ไขรัฐธรรมนูญ
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 20 สิงหาคมนี้ ที่จะนัดพิจารณาที่มาของ ส.ว. ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ ไม่แน่ใจว่าจะพิจารณาเพียงมาตราเดียวเท่านั้น เนื่องจากเห็นว่ายังมี มาตรา 68, 237 และ 190 ที่คณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว บรรจุอยู่ในวาระการประชุมด้วย จึงเกรงว่ารัฐบาลเสียงข้างมากจะมีการลักไก่พิจารณาไปในคราวเดียวกัน ทั้งนี้ยังมองว่า การแก้ไขที่มาของ ส.ว. มีนัย เพราะหากแก้ไขได้สำเร็จ จะเปรียบเสมือนการผูกขาดประเทศ และการที่ ส.ว.เลือกตั้ง บางส่วน กับ ส.ส.พรรคเพื่อไทย เข้าชื่อเสนอร่างแก้ไขเหมือนเป็นการเอื้อประโยชน์กัน ซึ่งจะส่งผลกระทบกับการทำหน้าที่ของ ส.ว. ที่สามารถแต่งตั้ง และถอดถอนองค์กรอิสระได้ จนกลายเป็นว่า องค์กรอิสระต้องรับใช้เสียงข้างมากทางการเมือง พรรคประชาธิปัตย์เอง โดยเฉพาะ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ขอแปรญัตติในประเด็นนี้เสนอให้ ส.ว. รักษาความเป็นกลาง
นอกจากนี้ นายองอาจ ยังตำหนิการทำหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี ที่ไม่ให้ความสำคัญในการเข้าร่วมประชุมสภาฯ ยังเดินทางไปทำภารกิจต่างประเทศ ทั้งที่วิปรัฐบาล ก็ได้แจ้งวาระการประชุมไว้ก่อนแล้ว
'ไพจิต'เมินฝ่ายค้านไม่ร่วมหารือวิป3ฝ่าย
นายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย และในฐานะรองประธาน คณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล หรือ วิปรัฐบาล เปิดเผยกับสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ถึงการประชุมวิปรัฐบาลวันนี้ ว่า ที่ประชุม จะขอให้ประธานรัฐสภา ควบคุมการประชุมร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวันพรุ่งนี้ เนื่องจากการประชุมเพื่อพิจารณาร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2557 ที่ผ่านมา มีการอภิปรายซ้ำซ้อน และเกิดการประท้วงเป็นจำนวนมาก จึงอยากให้การประชุมจบตามเวลาที่ได้กำหนดไว้
ทั้งนี้ หากการประชุมวิป 3 ฝ่ายในวันนี้ ทางฝ่ายค้านไม่ร่วมประชุมด้วย ทางวิปทั้ง 2 ฝ่ายจะเดินหน้าประชุมก่อน แล้วจะรายงานผลการประชุมให้วิปฝ่ายค้านทราบ และหากทางวิปฝ่ายค้านมีข้อกังวลในส่วนใด ขอให้เจรจาอย่างตรงไปตรงมาได้ ส่วนเนื้อหาในการประชุมพรุ่งนี้ ยังอยู่ในเนื้อหาของที่มาของ ส.ว. เพียงร่างเดียว ส่วน ม. 68, 237 และ 190 นั้น คิดว่าต้องปล่อยให้ผ่อนคลายไปอีกสักระยะ เพราะยังมีข้อขัดแย้งอยู่
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
วิสุทธิ์ยันถกแก้รธน. 2วันจบ-จ่อถกงบ57ต่อ22ส.ค. http://www.innnews.co.th/shownews/show?newscode=473352