สมาคมฯ,ทีมตบสาวไทย,โค้ชอ๊อต เขามีเรื่องอะไรกันรู้ป่ะ?
หลังจากที่ทำให้ชาวไทยทั้งประเทศได้มีความสุขแบบไม่มีข้อกำหนดกับการคว้าแชมป์เอเชียมาครองอย่างยิ่งใหญ่ และ เป็นการคว้าแชมป์สมัยที่ 2 ของประวัติศาสตร์วอลเลย์บอลไทย
มันยังมีเรื่องตื้นหนาบางที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นให้ได้ติดตาม เพราะเขามีเรื่องกันอีกมากมายที่เรายังไม่รู้
ผมใช้เวลานานมากๆกับการที่จะเตรียมเรื่องนี้ให้ได้เข้าสู่เรื่องราวที่เป็นความจริง โดยปราศจากการปรุงแต่งทุกๆอย่าง
จนวันนี้ผมคิดว่ามันเหมาะสมที่ผมจะสามารถนำมาสื่อสารต่อให้กับแฟนวอลเลย์บอลชาวไทยได้ทราบกัน เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเรามาเริ่มต้นกันเลยดีกว่า!
ท่านรู้จักสมาคมวอลเลย์บอลมากน้อยแค่ไหน? หลายท่านคงเคยได้ยินแต่ชื่อสมาคม บางท่านอาจจะรู้จักเป็นอย่างดี แต่ก็เชื่อว่าหลายท่านทราบเพียงแค่ผลงานของทีมแต่ยังไม่เคยได้รู้จักกับสมาคมอย่างแน่นอน
"สมาคมกีฬาวอลเย์บอลแห่งประเทศไทย" เวลาพิมพ์แบบนี้ทีไรรู้สึกว่าเป็นทางการตลอด แต่สมาคมนี้ไม่มีอะไรที่เป็นทางการมากมาย
ทุกคนในสมาคมทำงานกันอย่างเปิดเผยไม่มีความลับต่อกันในการทำงาน เรื่องการเงินไม่เคยปิดบังสามารถให้ตรวจสอบได้ทันทีทุกครั้งที่มีการประชุม และทุกครั้งที่มีงานเล็กใหญ่ทุกคนต่างก็จะมาช่วยกันอย่างเต็มที่
โฉมหน้าของนายกสมาคม นายสมพร ใช้บางยาง
วันที่ 21 กันยายนที่ผ่านมาหลังจากที่ทีมตบสาวไทยคว้าแชมป์ได้สำเร็จ เป็นที่ทราบกันดีว่ามีการเดินแก้บนของนักกีฬาจากสนามไปที่พัก ผมเองก็ได้โอกาสร่วมเดินในครั้งนี้ แต่ก็เดินเรียบๆเงียบๆด้านหลังตามขบวนไป เจตนาเพื่ออยากมีส่วนในความทรงจำครั้งนี้ แต่ว่าผมไม่ได้เดินคนเดียวเมื่อมีชายสูงอายุเดินอยู่ข้างๆ ตอนแรกไม่รู้ว่าใครพอมองชัดๆ อ้าว...ท่านสมพร นายกสมาคมนี่หว่า
ท่านสมพรทักผมก่อนเลยว่า มาเดินกับเขาด้วยเหรอนี่ ผมแค่ยิ้มๆแล้วก็ตอบว่าครับ และก็ถามกลับไปด้วยคำถามเดียวกัน ท่านตอบกลับมาว่า"เอาด้วย! เดินด้วยกันนี่ล่ะ ตอนแรกไม่รู้ว่าจะเดินวันนี้ เพราะมัวแต่ไปนั่งสมาธิ แต่ว่าวันนี้เดินก็เดินด้วยเลย" ..... นั่งสมาธิ??? นั่งตอนไหน นั่งทำไม ผมงงเลยถามไปว่าท่านนั่งทำไมครับ ท่านตอบว่านั่งตอนไทยแข่งนัดชิง เดินขึ้นเดินลง ระหว่างที่นั่งดูกับห้องรับรอง มันตื่นเต้นจนไม่รู้จะทำไง
555 ผมฮา ฮาตรงที่ท่านเป็นคนง่ายๆ คุยสบายๆ แบบนี้ และในระหว่างการเดินผมก็ไม่พลาดที่จะถามถึงเรื่องราวต่างๆ และได้คำตอบจากท่านมาหลายเรื่อง ผมรู้สึกว่าการเดินครั้งนี้คุ้มค่าสำหรับผมมากๆ เพราะเรื่องราวแผนงานของสมาคมมีแต่เรื่องราวที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นการจัดประชุมสัมนาโค้ชทั่วประเทศ,แผนงานสร้างทีมเอทีมบี,โครงการปั้นเด็กสูง,การพัฒนาทีมชาย,ส่งเสริมทีมชายหาด,แผนงานซีเกมส์,เอเชี่ยนเกมส์,ชิงแชมป์โลก สรุปว่าทุกอย่างอยู่ในกระบวนการดำเนินงานทั้งนั้น
ผมมีอีกคำถามคือเรื่องตำแหน่ง หากหมดวาระไปจะทำไง ท่านบอกว่าผมก็ต้องทำตามกฎของสมาคม เรามีหน้าที่ทำงานในช่วงที่มีตำแหน่งก็ทำให้มันดีที่สุดให้สมกับการได้รับการไว้วางใจ หากหมดวาระก็ยินดีที่จะให้คนอื่นมาสานต่อ เพราะเราโปร่งใสในการทำงานทุกเรื่อง ..... ผมว่าเป็นเรื่องที่โชคดีของวงการวอลเลย์บอลจริงๆ
...................................................
มาต่อกันที่เรื่องของทีมตบสาวไทย เรื่องนี้ค่อนข้างใช้เวลาในการเข้ามาอยู่กับทีม หลังจากที่ผมพึ่งก้าวเข้ามาอยู่ในวงการแค่ปีกว่าๆ แต่ผมก็ได้รวมรอบและสังเกตุการณ์มาโดยตลอด แต่ขอเล่าช่วงที่ได้ไปอยู่ในเหตุการณ์ 1 วัน ขอการโชว์ตัว
งานโชว์ตัวของนักกีฬาที่ถือว่าเป็นวันที่หนักที่สุดคือวันที่ 27 กันยายนที่ผ่านมาเพราะต้องออกไปร่วมงานของการไฟฟ้าตั้งแต่ 8 โมงเช้า ต่อด้วยพบนายกตอน 10 โมงที่ทำเนียบรัฐบาล ก่อนที่จะแวะงานแถลงข่าวของโรงพยาบาลกรุงเทพตอน 11 โมง และมาทานข้าวเที่ยงที่บ้านคุณสุวัจน์ จากนั้นออกเดินทางพบท่านบรรหารตอนบ่าย ทุกงานใฃ้เวลาไม่นานจะประมาณ 30 นาที แต่ที่นานคือการที่ต้องถูกรุมถ่ายรูป ทำไงได้เพราะเป็นคนของประชาชนไปแล้วซึ่งทุกคนก็ไม่มีอาการปฎิเสทแต่อย่างใด
การเดินทางยังไม่หยุดเท่านั้นเมื่อต้องเดินทางต่อไปที่จ.นครราชสีมา สถานที่ทีมตบสาวไทยคว้าแชมป์ พอทุกคนประจำการขึ้นรถตู้ได้เพียงแค่ 10 นาทีเท่านั้น ผมนั่งดูแต่ล่ะคน(เฉพาะคันที่ผมนั่ง) ท่าทางเพลียมากๆ และ ก็หลับแบบไม่ต้องห่วงสวยกันเลย เพราะว่าต้องตื่นแต่เช้ากันมาแล้วต้องเดินทางติดๆกัน ผมไม่รู้จะบรรยายยังไงว่าสิ่งที่เขาทำอยู่ ที่หลายๆคนได้เห็นฉากหน้าที่มารุมขอถ่ายรูป มารุมขอจับมือ เบื้องหลังมันน่าสงสารแค่ไหน แต่รู้ไหมครับว่าเขาทุกคนพร้อมและเต็มใจที่จะทำ
อาการเหนื่อยถูกโยนทิ้งเมื่อล้อรถตู้จอดและประตูถูกเปิดออก ทุกคนกลับมายิ้มแย้มแจ่มใสอีกครั้งต่อหน้าแฟนๆ ขึ้นรถแห่ขบวนแห่อ้อมเมือง ก่อนที่จะมาเจองานมีทแอนด์กรี๊ดที่เอ็มซีซีฮอลล์ และ เป็นไปตามคาดเมื่อฮอลล์แทบแตกคนมาขอถ่ายรูปเยอะมากๆ สงสารนักกีฬาก็ตอนที่กำลังจะกินข้าวล่ะครับ กำลังจะตักเข้าปากก็โดนขอถ่าย 555+ จนมันถึงขั้นที่ต้องเอากระดาษมาปิดหน้านักกีฬา (หน่อง) เพื่อให้คนถอยและได้กินข้าว แต่ก็กันได้ไม่นาน อีกคนที่หน้าสงสารคือบะหมี่เหมือนจะเมาแฟลชถึงขั้นที่เอามือปิดตาไปพักนึงเลย แต่ทุกคนก็ยังยิ้มได้..... ^^
ผมขอตัดเรื่องราวตรงนี้มาที่การพูดขอบคุณของกัปตันกิ๊ฟที่เป็นตัวแทนของทีมตบสาวไทย เขากล่าวประโยคนึงไว้ที่มันทำให้ผมรู้สึกขนลุก " ขอบคุณทุกๆคนที่เป็นกำลังใจให้กับเรา ไม่ว่าเราจะแพ้หรือชนะ ทั้งที่มาชมที่ในสนามและที่ส่งกำลังใจมาจากทางบ้าน พวกเราทุกคนได้รับมันแล้ว ขอบคุณทีมงานสต๊าฟโค้ชทุกคน และ ขอบคุณสมาคมที่นายกเคยบอกและสอนพวกเราไว้ว่า ให้เราเล่นเพื่อชาติ แล้ววันนึงชื่อเสียงและเงินทองก็จะตามมาเอง"
มาที่เรื่องสุดท้ายสำหรับเรื่องของโค้ชอ๊อด คนๆนี้ผมออกตัวก่อนนะครับ ไม่ได้จะมาเลียหรือยกย่องอะไร เพราะผมก็เคยโดนแกจัดหนักมาแล้วตอนเป็นนักข่าวใหม่ๆ แต่วันนี้ผมกล้าที่จะพูดได้เต็มปากเต็มคำ หลังจากที่ขอแกมานานว่าอยากจะเข้าไปดูการประชุมทีมอยากรู้ว่าทำอะไรกันบ้างวางแผนไงเตรียมการยังไง และ วันนี้ผมก็ได้โอกาสนั้นแล้ว....
เรื่องราวที่โค้ชอ๊อดเล่าให้ผมฟังนั้นเป็นเรื่องราวจาก 16 ปีที่ผ่านถึงการทำงาน การปั้นสอนนักกีฬา หลากหลายประสบการณ์ที่แกเล่าเป็นฉากๆ ผมถามโค้ชอ๊อตว่า 16 ปีที่แล้วกับตอนนี้รู้สึกแตกต่างกันอย่างไร โค้ชอ๊อตบอกว่าสิ่งที่เปลี่ยนมีเยอะ การทำงาน ทีมงาน และ ความกดดัน
มันเป็นความกดดันในทางที่ดีต่อการทำงานของเรา ที่เราพยายามจะผลักดันให้ทีมของเราเข้ามาอยู่ระดับนานาชาติ จุดเปลี่ยนสำคัญคือการที่เราชนะญี่ปุ่นในปี 2001 ของการแข่งขันม.โลก มันทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปเยอะ
และทำให้ทีมถูกเชิญไปแข่งเวิลด์กรังปรีซ์ แต่ไปแล้วก็แพ้ ไม่ชนะทีมใด สิ่งที่ได้ปลอบใจคือเซตจากบราซิล (แต่บราซิลตอนนั้นยังไม่เก่ง) มีโค้ชของเยอรมันที่เดินมาบอกว่า ครั้งแรกก็เป็นแบบนี้ล่ะ จนทำให้เราต้องทำงานอย่างหนักในปีต่อๆมา อีกอย่างโค้ชอ๊อตบอกว่า 16 ปีที่ผ่านมา วรรณา บัวแก้ว คือคนที่ฟิตที่สุดในทีม เขาวิ่งระยะทาง 2,000 เมตร ใช้เวลาเพียงแค่ 8 นาที เศษๆเท่านั้น
อีกอย่างโค้ชอ๊อตบอกว่าการได้อันดับที่ 13 ของเวิลด์กรังปรีซ์ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย แต่มันเป็นเรื่องที่ดี ที่นักกีฬาดาวรุ่งเราได้ประสบการณ์ ส่วนนักกีฬาเก่าได้เพิ่มความมั่นใจ นอกจากนั้นโค้ชอ๊อตได้เปิดแผนการเล่นของทีมและการทำข้อมูลคู้ต่อสู้ให้ดู ผมได้แต่ทำหน้าหมางง แล้วโค้ชก็บอกว่า "เชื่อไหมนักกีฬาทีมเราเก่งเขาจำได้หมดว่าต้องเล่นอย่างไร คู่แข่งจะมาแบบไหน " จนสุดท้ายแล้ว(รวบเลยแกโม้ให้ฟังเยอะพิมพ์ไม่ไหว 555+ ) โค้ชอ๊อตบอกความลับอย่างนึงให้ฟังว่า "ผมไม่เก่ง แต่มีคนที่เก่ง มาทำงานร่วมกับผม จนทำให้ประสบความสำเร็จ"
และนี่คือเรื่องที่ทั้งสามส่วน สมาคม,นักกีฬา,โค้ช ที่เขามีเรื่องราวอีกมุมที่เราไม่ได้เห็นนอกจากฉากหน้าของความสำเร็จ แต่นี่ก็เป็นมุมของการทำงานของผมที่ได้ไปซึมซับมาเล่าต่อให้ได้ทราบกัน....สวัสดี
### เอก ประวิตร ###