10 เรื่องที่ห้ามพลาดในหนังสืออัตชีวประวัติของ 'เซอร์ อเล็กซ์'

10 เรื่องที่ห้ามพลาดในหนังสืออัตชีวประวัติของ 'เซอร์ อเล็กซ์'

10 เรื่องที่ห้ามพลาดในหนังสืออัตชีวประวัติของ 'เซอร์ อเล็กซ์'
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ฟุตบอล : 'อัตชีวประวัติของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน' เป็นหนึ่งในหนังสือที่คอบอลตั้งหน้าตั้งตารอคอย ชีวิตการคุมทีมของกุนซือแห่ง ''ปีศาจแดง'' แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รวมถึงเรื่องราวความลับทั้งหลายที่ไม่เคยมีใครรู้มากว่าสามทศวรรษกำลังจะถูกเปิดเผยออกมาแล้ว

หนังสือของบรมมหากุนซือชาวสก็อตผู้นี้มีความหนากว่า 400 หน้า แต่ถ้าคุณไม่มีเวลาพอก็อย่าได้กังวล ต่อไปนี้คือ 10 เรื่องที่คุณจะพลาดไม่ได้ และทาง CNN ได้รวบรวมมาให้ดูกัน


เฟอร์กูสัน พูดถึง 'เวย์น รูนี่ย์'



เฟอร์กูสันและทีมงานของยูไนเต็ดต่างก็ประทับใจในพรสวรรค์ของ เวย์น รูนี่ย์ เมื่อครั้งยังอยู่ในวัยเยาว์ ในรายงานของแมวมองกล่าวถึงหัวหอกดาวรุ่งเมื่อครั้งที่ยังเล่นอยู่กับเอฟเวอร์ตันไว้ว่า  “นี่คือนักฟุตบอลที่กำลังลงเล่นให้กับทีมที่เล็กเกินกว่าความสามารถ”(เปรียบเทียบว่ารูนี่ย์มีพรสวรรค์เกินอายุ)
 
ท่านเซอร์เล่าว่าปีศาจแดงพยายามออกล่าตัวรูนี่ย์ถึงสองครั้ง เมื่อตอนที่เขาอายุ 14 และ 16 ปีแต่ถูกหัวหอกดาวรุ่งปฏิเสธ และหันไปฝากอนาคตไว้กับ เอฟเวอร์ตัน โดยให้เหตุผลว่า เขาเป็น เอฟเวอร์โตเนี่ยน โดยสายเลือด
 
“นี่คือนักเตะที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา” คือข้อความที่ เฟอร์กูสัน ใช้อธิบายหัวหอกร่างอวบเมื่อตอนที่รูนี่ย์ ย้ายมาร่วมทีมเมื่อปี 2004 แต่ท่านเซอร์ก็ยังกล่าวถึงรูนี่ย์ว่า “เขาไม่ใช่คนที่เรียนรู้ได้เร็ว แถมยังไม่ค่อยจะฟิตอีกต่างหาก”
 
ในปี 2010 ดาวยิงทีมชาติอังกฤษเคยแนะนำให้ เฟอร์กูสัน คว้าตัว เมซุต โอซิล ที่ตอนนั้นกำลังค้าแข้งอยู่กับ แวร์เดอร์ เบรเมน ก่อนที่ดาวเตะทีมชาติเยอรมันจะย้ายไป เรอัล มาดริด ในที่สุด โดยท่านเซอร์ได้บอกกับรูนี่ย์ไว้ว่า “ไม่ว่าสโมสรจะคว้าใครมาร่วมทีมก็ตาม มันไม่ใช่เรื่องของแกสักหน่อย”


เฟอร์กูสัน พูดถึง 'รอย คีน'
 


 รอย คีน อดีตกองกลางพันธุ์แกร่งลงเล่นให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในช่วงปี 1993 – 2005 และเขาก็ได้เป็นกัปตันของทีมด้วย
 
“เขาเป็นนักเตะที่มีอิทธิพลมากเหลือเกินในห้องแต่งตัวตลอดช่วงเวลาที่เราทำงานด้วยกัน รอย ได้รับมอบหน้าที่จากผมในการทำให้ห้องแต่งตัวเต็มไปด้วยกำลังใจที่เต็มเปี่ยม” เฟอร์กูสันกล่าวถึงคีน
 
แต่เนื่องจาก กองกลางพันธุ์ดุเป็นนักเตะที่ชอบที่จะประณามนักเตะคนอื่นๆ ที่เขาคิดว่าไม่ซื่อตรงกับสโมสร และเมื่อความสัมพันธ์ของเขากับทีมจบลง มันก็กลายมาเป็นความหายนะของคีนด้วยเหมือนกัน
 
ท่านเซอร์บอกว่า ดาวเตะไอร์แลนด์มักจะออกมาตำหนินักเตะเยาวชนบางคนของทีมผ่านการให้สัมภาษณ์  MUTV อยู่เสมอ
 
“สิ่งที่ผมสังเกตเห็นได้ตอนเถียงกับเขาก็คือ ตาของเขาหรี่เล็กลง เล็กลงมากๆ จนผมกลัวที่จะมองมัน และผมเองก็มาจากกลาสโกว์ นะ”
 
“ส่วนที่แข็งที่สุดในร่างกายของเขาคือลิ้น(เปรียบเทียบกับเรื่องการพูด) เขามีลิ้นที่ร้ายกาจที่สุดแบบที่คุณคาดไม่ถึงเลยล่ะ”
 
คีนย้ายออกจาก แมนฯ ยูไนเต็ด ก่อนที่จะเซ็นสัญญากับ กลาสโกว์ เซลติก สโมสรในวัยเยาว์ของตัวเอง ลงเล่นให้กับทีมใหม่เพียง 10 เกม และตัดสินใจเลิกเล่นในปี 2006


เฟอร์กูสัน พูดถึง 'เดวิด เบ็คแฮม'


 

ทั้งเฟอร์กูสันและเบ็คแฮ่มต่างก็รีไทร์จากวงการฟุตบอลเมื่อจบฤดูกาล 2012 – 13 เช่นเดียวกัน “เขาออกจากปารีสเหมือนๆ กับที่ผมออกกจากยูไนเต็ด”
 
เมื่อครั้งที่เบ็คแฮม ย้ายออกจากทีมปีศาจแดง และไปร่วมทีม เรอัล มาดริด ในปี 2003 กุนซือชาวสก็อตก็ได้เปิดเผยถึงสาเหตุที่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ขาดสะบั้นลง
 
หลังจากความพ่ายแพ้ต่ออาร์เซน่อล 0 -2 ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2003 เฟอร์กูสัน เตะรองเท้าเฉี่ยวหน้าปีกทีมชาติอังกฤษ และทิ้งรอยแผลไว้ที่ตาข้างซ้าย นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ดาวเตะรูปหล่อตัดสินใจยุติเส้นทางการค้าแข้งที่ยูไนเต็ดในที่สุด
 
ท่านเซอร์ยังกล่าวอ้างว่า เบ็คแฮ่มเสียสมาธิจากการตกเป็นที่สนใจของสื่อมวลชนที่ตามเขาไปทุกที่ “สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่บอล  มันน่าอาย เพราะเขาควรที่จะได้อยู่ที่ยูไนเต็ดเมื่อตอนที่ผมออกไป”
 
เฟอร์กูสันยังยกย่องอดีตกัปตันทีมชาติอังกฤษถึงความดื้อดึงและการใช้ชีวิตในวงการฟุตบอลได้ยาวนาน แต่ก็สงสัยว่าเบ็คแฮ่มคงจะเสียใจไม่น้อยที่ออกจากยุโรปไปเล่นกับ ลอสแองเจลิส แกแล็กซี่ ในปี 2007 “บางช่วงในชีวิต เขาคงอยากจะบอกว่า ผมได้ทำสิ่งที่ผิดพลาดลงไปซะแล้ว ”
 
น่าเสียดายที่หนังสือเล่มนี้ไม่ได้มีการกล่าวอ้างไปถึง วิคตอเรีย ภรรยาคนสวยของเบ็คแฮ่ม แต่กระนั้นท่านเซอร์ก็ได้พูดเรื่องนี้ไว้ในงานเปิดตัวหนังสือ “ปัญหาใหญ่สำหรับผมก็คือ เขา(เบ็คแฮ่ม)ตกหลุมรักวิคตอเรีย และนั่นก็เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่าง”


เฟอร์กูสัน พูดถึง คดีเหยียดสีผิว ระหว่าง 'หลุยส์ ซัวเรซ' และ 'ปาทริซ เอวร่า'




คดีเหยียดสีผัวอันโด่งดังระหว่าง หลุยส์ ซัวเรซ และ ปาทริซ เอฟร่า ก่อนที่ดาวเตะจากหงส์แดงจะโดนลงโทษไม่ให้ลงแข่งขันถึง 8 เกม และเฟอร์กูสัน ก็ได้ออกมาวิจารณ์ถึงวิธีการที่ เคนนี่ ดัลกลิช ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลในยุคนั้นใช้รับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว
 
เหตุการณ์ที่ ซัวเรซ ปฎิเสธที่จะจับมือกับ เอฟร่า ในเกมที่ทั้งสองทีมหวนกลับมาเจอกันอีกครั้งในฤดูกาล 2011 – 2012 ทำให้ท่านเซอร์ลุกเป็นไฟ
 
“ลิเวอร์พูลกล้าใส่เสื้อที่มีข้อความสนับสนุน ซัวเรซ ผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ไร้สาระที่สุด ”
 
“สโมสรระดับลิเวอร์พูลสมควรที่จะทำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับเรื่องนั้น แต่สุดท้ายเขา(ซัวเรซ)ก็ได้กลับมาเล่นเหมือนเดิม ผมกล้าบอกเลยว่า ซัวเรซ สร้างความเสื่อมเสียให้กับ ลิเวอร์พูล และมันคงจะฉลาดกว่าหากว่าทางสโมสรจะกำจัดเขาออกไปซะ”


เฟอร์กูสัน พูดถึง งานในทีมชาติอังกฤษ

 

กุนซือชาวสก็อตกล่าวอ้างว่าเขาเคยได้รับข้อเสนอให้คุมทีมชาติอังกฤษถึงสองครั้ง ทั้งในปี 1999 และในปี  2001 แต่มันไม่ใช่งานที่เขารู้สึกสนุกที่จะทำเลยแม้แต่น้อย
 
“ไม่มีทางเด็ดขาดที่ผมจะพิจารณาถึงการรับงานคุมทีมชาติอังกฤษ คุณจินตนาการถึงเรื่องนั้นได้ด้วยเหรอ? ผมเป็นชาวสก็อตนะ ”
 
“ผมมักจะเล่นมุกตลกว่าผมอยากจะรับงานแล้วก็ทำให้พวกเขาตกต่ำลง เอาให้พวกเขาเร่วงไปอยู่ที่อันดับ 150 ของโลก แล้วสก็อตแลนด์ก็อยู่ที่ 149 ดีมั้ยล่ะ “


เฟอร์กูสัน พูดถึง 'คริสเตียโน่ โรนัลโด้'


 

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า โรนัลโด้ คือ “นักเตะที่เป็นของขวัญชิ้นเยี่ยมที่สุดที่ผมเคยได้ร่วมงานด้วย”
 
“เขาอยู่เหนือกว่านักเตะคนอื่นๆ ที่ผมเคยร่วมงานสมัยอยู่ที่ยูไนเต็ด”
 
โรนัลโด้ ย้ายไป เรอัล มาดริด ด้วยค่าตัวสถิติโลกถึง 80 ล้านปอนด์ ในปี 2009 เป็นการย้ายทีมที่ เฟอร์กูสัน บอกว่าเป็นความชาญฉลาดของมาดริด
 
“มันเป็นแนวทางที่ ฟลอเรนติโน่ เปเรซ  ประธานสโมสรของพวกเขา ใช้เพื่อบอกโลกว่า เราคือ เรอัล มาดริด เราคือทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”
 
แต่ดูเหมือนว่า เฟอร์กูสัน จะรู้สึกแย่ไม่น้อยที่ต้องปล่อยดาวเตะชาวโปรตุเกสออกจากทีมไป และบอกกับโรนัลโด้ไปว่า “ฉันอยากจะยิงแกมากกว่าที่จะขายแกไปให้กับคนประเภทนั้นในตอนนี้”


เฟอร์กูสัน พูดถึง 'บาร์เซโลน่า' และ 'ลีโอเนล เมสซี่'


 

ในปี 2009 และ 2011 เฟอร์กูสันต้องทนเห็นทีมของเขาพ่ายแพ้ต่อ บาร์เซโลน่า ในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบชิงชนะเลิศ
 
ในสายตาของท่านเซอร์ บาร์ซ่า เป็นทีมที่ดีกว่า และเขาก็พูดถึงทีมจากแคส้นกาตาลันว่าเป็น “ทีมที่ดีที่สุดที่เคยได้ลงเล่นกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด”
 
นอกจากนี้กุนซือชาวสก็อตยังชื่นชม ลิโอเนล เมสซี่ ผู้ที่ได้รับบัลลงดอร์ถึง 4 สมัยว่าเป็นกุญแจสำคัญของ บาร์เซโลน่า
 
“เมสซี่มีบางอย่างที่มหัศจรรย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เขาได้บอลอยู่ที่เท้า มันเหมือนกับตกลงมาที่เตียงที่ทำจากขนสัตว์ ”
 
“นักเตะคนอื่นๆ ที่ต้องเผชิญหน้ากับ ลิโอเนล เมสซี่ ต่างก็ต้องหวาดกลัวเขา ผมไม่ได้อิจฉา บาร์เซโลน่า หรอกนะ อาจจะเสียใจบ้างเมื่อเราแพ้เขา แต่เรื่องอิจฉาไม่มีแน่นอน”



เฟอร์กูสัน พูดถึง 'สเวน โกรัน อีริคส์สัน'


 

เฟอร์กูสัน ประกาศว่าจะรีไทร์เป็นครั้งแรกในเดือนพฤษภาคม ปี 2002 แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจกลับมาต่อสัญญากับทางสโมสร
 
ในช่วงฤดูกาล 2001 – 2002 บอร์ดของยูไนเต็ดมองหาผู้สืบทอดตำแหน่งกุนซือปีศาจแดง และคนที่ถูกเล็งไว้ในตอนนั้น ท่านเซอร์เปิดเผยว่าเป็น สเวน โกรัน อีริคสัน
 
“เราได้ผู้ที่จะมารับงานต่อจากผม สเวน โกรัน อีริคสัน กำลังจะกลายเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ผมยังจำได้เลยว่าผมเคยถามพอล สโคลส์  ‘เฮ้ สโคลซี่  แกคิดว่าอีริคสันจะได้อะไรบ้างที่นี่?’  แต่สโคลซี่ตอบผมไม่ได้เลย”


เฟอร์กูสัน พูดถึง 'โชเซ่ มูรินโญ่'


 

เมื่อกุนซือชาวโปรตุเกสก้าวเข้ามาคุมบังเหียนเชลซีในปี 2004 เฟอร์กี้เล็งเห็นแต่แรกว่า มูรินโญ่ จะกลายมาเป็นคู่แข่งคนสำคัญของ แมนฯ ยูไนเต็ด ในการคว้าแชมป์
 
“โชเซ่ก้าวเข้ามาที่นี่ ทำงานกับลูกน้องพร้อมด้วยเงินจำนวนมากมาย เชลซีดีขึ้นมาก ผมไม่เคยเอาชนะเกมที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ ได้เลยนับตั้งแต่เขาเข้ามา ”
 
ทั้งนี้ มูรินโญ่ได้หวนกลับมาร่วมงานกับเชลซีอีกครั้งหลังจากที่ได้แชมป์มากมายกับอินเตอร์ มิลาน และ เรอัล มาดริด


เฟอร์กูสัน พูดถึง 'แมนเชสเตอร์ ซิตี้'


 

ในเกมสุดท้ายของฤดูกาล 2011 – 2012 เฟอร์กูสันต้องทนเห็นทีมของเขาถูก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คู่อริร่วมเมืองคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกตัดหน้าไปในนาทีสุดท้ายของเกม
“เราเป็นแชมป์ได้สามสิบวินาที หลังสัญญาณนกหวีดเป่าจบเกม ด้วยความสัตย์จริง นักเตะของผมรู้ดีว่าทำพลาด และจะไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ”
 
ท่านเซอร์ยอมรับว่ามันเป็นความพ่ายแพ้ที่แสนเจ็บปวด และเคธี่ ภรรยาของเขาเองก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน “เคธี่บอกว่า ‘นี่เป็นวันที่แย่ที่สุดในชีวิตของเธอ และฉันก็ไม่อยากจะรับรู้มันอีกแล้ว’”
 
“ผมอยากจะด่าตัวเอง แต่ผมเห็นความเศร้าโศกของภรรยาแล้ว ผมบอกไปว่า ‘เคธี่ ชีวิตของเรามันเยี่ยมอยู่แล้ว และเราก็มีช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมในตอนที่เราประสบความสำเร็จ’”
 
“เธอบอกว่า ’ฉันรู้ แต่ฉันจะไม่ออกไปไหน มีแฟนบอลซิตี้มากมายเหลือเกินที่หมู่บ้านแห่งนี้’ ”
 
ในฤดูกาล 2013 เคธี่ก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไปเมื่อยูไนเต็ดเป็นฝ่ายทิ้งห่างซิตี้ถึง 13 คะแนน และคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกไปครองได้สำเร็จ ถือเป็นแชมป์ลีกครั้งที่ 20 ของสโมสร

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook