"ทราย เจริญปุระ" เขียนถึงพ่อ "รุจน์ รณภพ" สุดซึ้ง
ถือเป็นลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริงๆ สำหรับ "ทราย เจริญปุระ" ลูกสาวของนักแสดง นักเขียนบท และผู้กำกับชื่อดัง "รุจน์ รณภพ" เพราะถึงแม้จะยังเจ็บจากแผลผ่าตัด หลังเกิดอุบัติเหตุรถชนขอบทางด่วนเมื่อช่วงเช้ามืดวันที่ 28 ต.ค.ที่ผ่านมา แต่ "ทราย เจริญปุระ" ก็เขียนจดหมายถึงคุณพ่อรุจน์ รณภพ ไว้ในเฟซบุ๊กส่วนตัวได้อย่างสุดซึ้ง เนื่องในโอกาสที่เมื่อวานนี้ (18 พ.ย.) ภาพยนต์เรื่องบ้านทรายทอง ได้ฉายในเทศกาลหนังเวิลด์ ฟิลม์ ที่จัดขึ้นที่ประเทศไทย เชื่อว่าใครที่อ่านจนจบ หลายคนจะน้ำตาซึมเลยทีเดียว โดยสาว "ทราย เจริญปุระ" เขียนถึงคุณพ่อไว้ดังนี้
คุณพ่อคะ
เมื่อวานนี้ (18.11.2556) ที่เทศกาลหนังเวิลด์ ฟิล์ม (ที่เมืองไทยก็มีจัดกับเค้าด้วยล่ะ ดีเนอะ)
เอาหนังคุณพ่อไปฉายด้วยล่ะ หนังเรื่องนั้นคือ"บ้านทรายทอง" เราเคยคุยกันถึงเรื่องนี้ พ่อบอกว่าก่อนจะตัดสินใจทำบ้านทรายทอง พ่อก็ทำหนังมาหลายเรื่อง แถมเก่งมากด้วยที่ทำแล้วเจ๊งมันได้ทุกเรื่องเหมือนกัน ฝ่ายบัญชีของบริษัทให้พ่อดูตัวแดงที่เป็นเลขอันติดลบที่ยาวเป็นพืด สะสมกันมายาวนานจากหนังหลายต่อหลายเรื่อง พี่ทรายไม่รู้ว่าตอนพ่อเห็นแถวอันยาวเหยียดของตัวแดงนั่นแล้วพ่อรู้สึกยังไง
แต่ถ้าให้พี่ทรายทาย, พ่อก็คงยักไหล่ แล้วออกไปคิดงานใหม่ๆมา เพื่อที่จะเจ๊งอีกเหมือนเคย แต่ไม่ใช่กับคราวนี้ จะด้วยอะไรก็ตาม
(ถ้าถามแม่ แม่ก็จะบอกว่าเพราะพี่ทรายที่กำลังจะคลอดออกมาจากท้องแม่นี่แหละ ที่ทำให้พ่อต้องเปลี่ยนแนวมาทำหนังแบบอื่น แนวที่ต่างจากที่พ่อเคยชอบบ้าง พ่อจะต้องประกอบอาชีพ"ผู้กำกับภาพยนตร์"ให้ได้ ไม่เฉพาะเพื่อตัวเองอีกแล้ว และพ่อไม่คิดจะกลับไปแค่เล่นหนังอย่างเดียวเหมือนเดิมอีกแล้ว พ่อเปลี่ยนสายอาชีพ มีครอบครัวอีกครั้ง แต่พี่ทรายไม่รู้จริงๆหรอกนะคะว่าเพราะอะไร พี่ทรายทายว่ามันแค่ถึงเวลาที่คุณพ่อต้องทำ-มันก็ต้องทำ-เท่านั้นเอง ไอ้เรื่องแบบนี้เราออกจะเหมือนกันอยู่)
หนังมันได้เงิน ได้ในระดับเป็นจริงเป็นจัง เป็นกอบเป็นกำ พ่อบอกพี่ทรายว่าพ่อล้างหนี้ได้จนหมด ตัวแดงในหน้ากระดาษพลันกลับมาขาวสว่างสดใส แถมพ่อยังเหลือเงินอีกก้อน ใครต่อใครก็คิดกันใหญ่ ว่าพ่อจะเอาเงินก้อนนั้นไปทำอะไร มันไม่มากขนาดจะซื้ออะไรได้ใหญ่โต แต่ก็ไม่น้อยขนาดจะมองข้าม สุดท้าย, พ่อก็ใช้เงินนั้นไปกับการซื้อตู้เย็น เป็นตู้เย็นยี่ห้อฝรั่งตู้ใหญ่เบ้อเริ่ม สีเขียว เปิดได้สองด้าน เรียกว่าแค่ตู้เย็นก็ใหญ่เกือบครึ่งครัวเล็กๆของเราแล้ว แล้วมันก็แสนจะทนทาน จนพี่ทรายโตขึ้นมามันก็ยังอยู่ดี
ถามว่าทำไมพ่อถึงตัดสินใจ ใช้เงินก้อนแรกที่ได้มาไปซื้อตู้เย็น พ่อบอกว่า"บ้านต้องเริ่มที่ครัว ลูกพ่อต้องอิ่ม" แล้วพ่อก็ยิ้ม ยิ้มอย่างคุณพ่อน่ะค่ะ ตาหยี แล้วก็ดูจะเปล่งประกายการยิ้มแย้มไปทั้งตัว
ปีที่บ้านทรายทองฉาย ปีที่บ้านเรามีตู้เย็นใหม่ เป็นปีที่พี่ทรายเกิดพอดี พ่อยืมรถของเจ้าของบริษัทหนัง มารับพี่ทรายออกจากโรงพยาบาล พ่อบอกว่าอยากให้พี่ทรายได้ใช้ของดีๆ
ปีนี้พ่อยังไม่มี เดี๋ยวพ่อจะหามาให้ ใครต่อใครก็ล้อ ว่าให้พ่อเอาตู้เย็นมารับลูกเถอะ ดูจะเห่อกันเหลือเกิน
พ่อตั้งชื่อพี่ทรายว่า"ทราย" มาจากหนังที่พ่อทำและฉายในปีนั้น บ้านทรายทอง พ่อบอกมันเป็นหนังที่เปลี่ยนชีวิตพ่อ และพี่ทรายก็เหมือนกันนะลูก พี่ทรายเปลี่ยนชีวิตของทั้งพ่อและแม่ พี่ทรายเป็นลูกพ่อ พี่ทรายต้องเข้มแข็ง ลูกพ่อต้องแข็งแรง ลูกพ่อต้องรู้จักที่ทาง รู้จักตัวเองและรู้รักษาสิทธิ์ของตัวเอง พี่ทรายเป็นพี่คนโต พี่ทรายต้องดูแลน้อง
พ่อคะ
ตอนนี้ทรายดูแลใครไม่ได้เลย สังขารกลายเป็นเรื่องอึดอัดน่ารำคาญ รุงรังวุ่นวายเหลือเกิน แต่ถ้าพ่อยังอยู่ เราก็คงคุยกันเรื่องอื่น เรามันเป็นแบบนี้กันตลอดอยู่แล้ว เรื่องแต่ละเรื่องเป็นแค่เรื่องเรื่องหนึ่งของชีวิต เราเป็นคนนั้นคนนี้มาตลอดอาชีพการงาน เราไม่เคยต้องยึดอะไรไว้ใช่มั้ยคะคุณพ่อ พ่อไม่เคยฝากฝังอะไรกับทราย และทรายก็ไม่เคยรับอะไรจากพ่อ เรื่องบางเรื่องก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องเอามาพูดกันให้พร่ำเพรื่อ พี่ทรายเชื่อว่าถ้าคุณพ่อยังอยู่ตอนนี้ เราก็คงทำเป็นเฉยๆกันเรื่องอุบัติเหตุ หาเรื่อง หามุมขำๆของมันเอามาเล่นกัน
แล้วก็เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นๆ นึกถึงที่คนชอบถามพ่อว่าตั้งชื่อลูกว่าทราย ที่มาจากบ้านทรายทองทั้งที ทำไมไม่ตั้งชื่อจริงเป็นพจมานหรือหญิงเล็กหญิงใหญ่ ทำไมผ่ามาเป็นอินทิรา ซึ่งก็ไม่ได้คล้ายหรือแม้แต่จะเฉียดชื่อจริงของพ่อแม่ หรือที่มาของหนังแต่อย่างใด พ่อตั้งชื่อจริงพี่ทรายตามชื่ออินทิรา คานธี นายกรัฐมนตรีหญิงของอินเดีย พ่อว่าเธอเท่จริง ๆ พ่ออยากให้ลูกเท่บ้าง ก็เท่นะคุณพ่อ แต่ตอนเค้าโดนยิงตายนั่นพี่ทรายยังเด็กมาก
พอพี่ทรายโตขึ้นมาเรายังเอามาล้อกันเลยว่าพ่อน่าจะตั้งชื่อพี่ทรายว่าอินทิรา และชื่อน้องชายเป็นผู้นำอื่น ๆ ที่โดนยิงตายเหมือนกัน พ่อจะได้มีเรื่องแปลก ๆ ไว้เล่าให้ใครต่อใครฟังเหมือนที่พ่อชอบ แต่ถึงเค้าจะตายคนก็จำเค้าได้เยอะเนอะคุณพ่อ คนเราจำกันได้ด้วยอะไรหลาย ๆ อย่าง บางคนก็จำการตาย บางคนก็จำการอยู่ แต่พ่อกับพี่ทรายนี่ดูแปลก ๆ ตายหรืออยู่มันดูไม่สำคัญเท่ากับการที่เราต่างก็รู้กันดีว่าเรามีกันเสมอ
จดหมายนี้ออกจะฟูมฟายไม่เข้าท่าจังเลย ถ้าเราคุยอะไรแบบนี้กันแค่ซักครึ่งทาง พ่อคงโบกไม้โบกมือให้เปลี่ยนเรื่อง หรือไม่ก็เอาคำอะไรซักอย่างในนี้มาทำตลกเหมือนเคย ก่อนจะถามว่า"ถ้าจะไม่หายค่อยมาอวด" เราเป็นคนอย่างนั้นกันเนอะ พี่ทรายไม่รู้หรอกว่าพี่ทรายจะหายได้แค่ไหน แต่เอาเป็นว่าจะดีที่สุดไม่ให้พ่อโห่เอาได้ก็แล้วกัน ชีวิตมันมีไว้ใช้ จะหักจะพังแค่ไหนเราก็ใช้มันไป สนุกกับมัน ยิ้มกับมันเหมือนที่เราเคยยิ้มให้กัน ตาหยี แล้วก็ดูจะเปล่งประกายรอยยิ้มไปทั้งเนื้อทั้งตัว
บ้านทรายทองทำมาหลายรอบแล้ว บางรอบเราก็เคยดูด้วยกัน แต่น่าแปลก, ที่เวอร์ชั่นที่เราไม่เคยได้ดูด้วยกันเลยคือเวอร์ชั่นของคุณพ่อ ก็ไม่เป็นไรหรอกเนอะ เพราะสำหรับพี่ทราย "บ้านทรายทอง"มีแค่เวอร์ชั่นเดียว คือเวอร์ชั่นของเราสองคน แล้วเมื่อวานนี้ที่หนังฉาย คนตบมือให้หนังเวอร์ชั่นของเรากันเต็มโรงเลยนะคะ พี่ทรายอยากมาบอกคุณพ่อแค่นี้แหละ
คิดถึงมาก ๆ
พี่ทรายเอง
ทั้งนี้ รุจน์ รณภพ หรือ สุรินทร์ เจริญปุระ อดีตนักแสดง นักเขียนบท ผู้กำกับภาพยนตร์ และผู้กำกับละครโทรทัศน์ ผลงานที่สร้างชื่อเสียงคือภาพยนตร์เรื่อง บ้านทรายทอง ฉบับที่ จารุณี สุขสวัสดิ์ และพอเจตน์ แก่นเพชร นำแสดง เมื่อ พ.ศ. 2522 นอกจากนี้ ยังเป็นบิดาของนักร้องและนักแสดง คือ ใหม่ เจริญปุระ และวิภาวี เจริญปุระ (เกิดกับวินีย์ สนธิกุล) และ ทราย เจริญปุระ (เกิดกับสุภาภรณ์ เจริญปุระ)
รุจน์ รณภพ ป่วยเป็นโรคเบาหวาน และโรคเส้นเลือดในสมองตีบ และมีอาการของโรคพาร์กินสัน และถึงแก่กรรมเมื่อเช้าวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2552 ที่บ้านพักในจังหวัดนนทบุรี
อัลบั้มภาพ 7 ภาพ